หากจะกล่าวถึงการขายบริการทางเพศแบบโบราณในประเทศญี่ปุ่น หลายท่านคงจะนึกถึง “เกอิชา” ขึ้นมาเป็นความคิดแรก …แต่แท้จริงแล้วเกอิชานั้นเป็นเพียงประเภทหนึ่งของวัฒนธรรม sex worker อันยิ่งใหญ่และซับซ้อนของญี่ปุ่น
โสเภณีจริงๆ ของญี่ปุ่น มีคำเรียกเฉพาะตัวว่า “ยูโจ” แล้วทราบไหมครับว่า การขายบริการทางเพศของญี่ปุ่นโบราณยังมี “นายโลม” หรือ “คาเงมะ” อีกด้วย?
บทความนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปเปิดมุ้ง มุดใต้เตียง ทำความรู้จักกับ ทั้งนางโลม และ นายโลมในประเทศญี่ปุ่น ว่าพวกเขามีที่มาที่ไปอย่างไร การทำอาชีพนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงจะแนะนำย่านโคมแดงชื่อดัง เผื่อใครอยากลองไปเยี่ยมเยือนถึงถิ่นกันนะครับ…
ภาพแนบ: ภาพนี้คือโสเภณีชายแต่งหญิง
*** จุดเริ่มต้นของนางโลม ***
เริ่มแรกเรามารู้จักกับ “ยูโจ” (遊女) กันก่อน คำนี้แปลตรงตัวได้ว่า “หญิงสาวผู้มอบความสุข” ซึ่งเป็นคำกว้างๆ umbrella term ใช้อธิบายกลุ่มผู้หญิงหรือนางโลมที่ให้บริการทางเพศแก่ผู้คน
ยูโจ ปรากฏครั้งแรกในสมัยเฮอัน (平安時代 ค.ศ. 794 - 1185) มีต้นกำเนิดมาจากคำว่า “มิโกะ” หญิงสาวผู้ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้า …ใช่ครับ มิโกะชุดขาวกางเกงแดงที่เรารู้จักกันดีนี่แหละ
…คือยุคนั้นศาลเจ้าชินโตมีความเชื่อว่า “การมีสัมพันธ์กับมิโกะเป็นพิธีกรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง” เลยมีการค้าประเวณีโดยมิโกะ
ปรากฏว่าผู้คนนิยม “พิธีศักดิ์สิทธิ์” ประเภทนี้มาก จนมันเกิดเป็นธุรกิจ มีมิโกะที่แยกมาขายบริการเป็นหลัก ตั้งสำนักอยู่ในบริเวณที่มีคนพลุ่กพล่าน เช่น บริเวณท่าเรือ เพื่อดึงดูดลูกค้านักเดินทาง
เวลาผ่านไปธุรกิจค้าประเวณีก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นตัวดึงดูดธุรกิจอื่นๆ เช่นร้านอาหาร หรือ ที่พัก ให้มาพึ่งบารมี
ภาพแนบ: ยูคาคุ
ต่อมาในยุคเซนโกคุ (南北朝時代 ค.ศ. 1467 - 1615) ทางรัฐบาลซึ่งเคร่งศาสนาพุทธมีนโยบายควบคุมจริยธรรม-ศีลธรรมของประชาชน เพื่อรักษาความปลอดภัย และควบคุมโรค จึงสั่งให้จำกัดการสร้างย่านโคมแดงเป็นหลักแหล่ง ให้ขึ้นทะเบียนเรียกซ่องว่าว่า “ยูคาคุ” (遊廓) ให้ยูโจอยู่รวมกันดำเนินกิจการอย่างเป็นระเบียบ
อนึ่งหากนางโลมคนไหนไม่ได้ทำงานในยูคาคุ หรือขายบริการไม่ถูกกฎหมาย จะถูกเรียกว่า ไบโจ (売女) ถือเป็นแค่นางโลมชั้นต่ำต้อย ไม่มีศักดิ์มีสิทธิ์อะไร ถูกรังแกได้ง่าย ตรงนี้การเข้าระบบจึงให้ผลประโยชน์แก่ทั้งตัวนางโลมเองและลูกค้าไปพร้อมกัน
ภาพแนบ: โยชิวาระในอนิเมะดาบพิฆาตอสูร
*** โยชิวาระ ***
เมื่อพูดถึงย่านหอโคมแดง ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยผ่านหูผ่านตา “ย่านโยชิวาระ” (吉原) มาบ้าง เพราะมันเป็นย่านอโคจรที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเอโดะ (กรุงโตเกียวในปัจจุบัน) ย่านนี้ถูกริเริ่มก่อสร้างในปี 1617 โดยบาคุฟุ หรือรัฐบาลทหารของโชกุน ซึ่งมีกฎปฏิบัติทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้…
1) ไม่อนุญาตให้สถานเริงรมย์ประกอบกิจการและ ไม่อนุญาตให้ นางโลมออกไปทำงานนอกเขตกำแพงของโยชิวาระ นอกจากได้รับอนุญาตแล้ว
2) ไม่อนุญาตให้แขกที่เข้ามาใช้บริการอยู่นานเกินกว่า 24 ชม.
3) ไม่อนุญาตให้นางโลมสวมชุดหรูหราที่ถักทอด้วยเงินและทอง ควรสวมเสื้อผ้าที่เย็บปักด้วยลวดลายธรรมดา
4) การสิ่งก่อสร้างในเขตพื้นที่นี้ไม่ควรหรูหรามากเกินไป ควรสร้างให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมโดยรวมของเอโดะ
5) หากพบบุคคลน่าสงสัยหรือมีพฤติกรรมแปลก ๆเดินเที่ยวอยู่ในย่านเขตนี้ สามารถแจ้งเขตที่อยู่ของบุคคลนั้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นซามูไร หรือพ่อค้าก็ตาม หากยังมีข้อสงสัยให้รีบแจ้งตำรวจที่ดูแลเขตนี้ทันที
ภาพแนบ: แผนผังของโยชิวาระ
โยชิวาระมีกำแพงกั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำ ด้านที่เหลือถูกล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ภายในกำแพงโยชิวาระแห่งนี้มีถนนคู่ขนานกันจำนวน 3 สาย และตรอกเชื่อมถนนสายกลางทั้งหมด 5 เส้นทาง (ดูภาพประกอบเพื่อเพิ่มความเข้าใจ)
เส้นทางที่ 1 : เอโดะโจ 1
เส้นทางที่ 2 : เอโดะโจ 2
เส้นทางที่ 3 : โคมาจิ 1
เส้นทางที่ 4 : โคมาจิ 2 (สร้างขึ้นในปี 1620)
เส้นทางที่ 5 : สุมิโจ (สร้างขึ้นในปี 1626)
ภาพแนบ: อาเงยะ
ภายในย่านนี้มีสถานบริการทางเพศ ร้านอาหาร ฯลฯ เรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทางของถนนทั้ง 5 เส้น และยังมีจุดนึงที่น่าสนใจนั่นก็คือ โรงน้ำชาที่พักรับรองสำหรับแขกที่ต้องการจะพบกับนางโลมชั้นสูง เรียกว่า “อาเงยะ” (揚屋) เนื่องจากนางโลมชั้นสูงระดับ exclusive มากๆ นั้นจะไม่อนุญาตให้แขกใหม่ไปหายังสถานที่พักของพวกเธอโดยตรงในทีแรก แต่สามารถนัดพบในที่อื่นๆ เช่นโรงน้ำชาอาเงยะ และเมื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระดับหนึ่ง จึงถือเป็นแขกประจำแล้วให้เข้าซ่องได้
ภาพแนบ: แผนที่โยชิวาระปี 1846
ต่อมาเมื่อเมืองเอโดะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1657 โยชิวาระก็เสียหายไปด้วย ทางรัฐบาลเลยตัดสินใจสั่งย้ายที่ไปก่อสร้างโยชิวาระใหม่ยังเขตอาซากุสะทางชานเมือง ดังนั้นพื้นที่ดั้งเดิมตรงนั้นจึงถูกเรียกว่า โมโตะ โยชิวาระ (元吉原) หรือ โยชิวาระเก่า ปัจจุบันคือย่านนิฮงบาฉิไม่ใช่โคมแดงอีกแล้ว ส่วนที่ใหม่เรียกว่า ชิน โยชิวาระ (新吉原) หรือ โยชิวาระใหม่ (แต่สุดท้ายเรียกแค่ “โยชิวาระ” ก็เป็นที่รู้กัน)
โยชิวาระแห่งใหม่นี้ มีพื้นที่ 94,430 ตารางเมตร (ประมาณ 59 ไร่) ล้อมรอบด้วยคูเมือง มีถนนหลักสายกลางชื่อว่า “นากาโนะโจ” เรียงรายไปด้วยต้นซากุระ มีโรงน้ำชาเป็นสื่อกลางในการติดต่อซื้อบริการกับเหล่านางโลม

ด้วยความงามอันเลื่องชื่อของเหล่าสาวๆ ทำให้ย่านโยชิวาระแห่งใหม่นี้เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม รวมไปถึงเป็นศูนย์รวมแฟชั่นชั้นแนวหน้าของสาว ๆ ยุคเอโดะ
…เนื่องจากนางโลมชั้นสูงนั้นต้องฝึกฝนศิลปะต่างๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับแขกที่เข้ามาใช้บริการ ทำให้มีการแข่งขันการฝึกฝนศิลปะเช่น การแสดง การขับร้องเล่นดนตรี การจัดดอกไม้ บทกวีเคียวกะ บทกวีไฮคุ พิธีชงชา ฯลฯ ส่งผลให้โยชิวาระกลายเป็นแหล่งที่ศิลปะหลากหลายแขนงเจริญมาก ซึ่งศิลปินเด่นๆ ก็คือตัวยูโจนั่นเอง

*** การแบ่งลำดับชนชั้นนางโลม ***
อาชีพยูโจมีระบบชนชั้นที่เข้มงวด ยิ่งเป็นนางโลมชั้นสูงราคาก็จะพุ่งขึ้นตามด้วยเช่นกัน เหล่านางโลมจึงมีการแข่งขันกันเพื่ออัพเกรดตัวเอง
จะขอกล่าวถึงสมัยที่รัฐบาลยังไม่ได้จัดระเบียบยูคาคุก่อน ในตอนนั้นลำดับชั้นของนางโลมมีอยู่ 2 ลำดับ คือ “ทะยู” (太夫) และ “ฮาชิโจโร” (端女郎)

ตำแหน่งทะยู จะต้องเป็นหญิงสาวที่มีความงามเลิศ เชี่ยวชาญทั้งศิลปะดนตรีและกวี มีความรอบรู้ สามารถต่อกลอนกับบัณฑิตชายได้ เปรียบเสมือนเป็นลำดับชั้นสูงสุดของนางโลมในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ทะยูยังถือเป็นเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นของสาวๆ อีกด้วย
สำหรับตำแหน่งฮาชิโจโรนั้นจะตรงกันข้ามกับทะยู คือมีความหมายว่า “ผู้หญิงปลายแถว” ซึ่งเป็นความหมายตามตัวอักษร เพราะนางโลมในตำแหน่งนี้จะนั่งอยู่ปลายแถว เปรียบเสมือนเป็นนางโลมลำดับต่ำ เน้นขายบริการทางเพศเป็นหลัก
ภาพแนบ: ทรงคัตสึยามะ
จะขอยกตัวอย่างทะยูที่มีชื่อเสียงนามว่า “คัตสึยามะ” นั้นเป็นผู้คิดทรงผมใหม่ ให้ทำมวยผมเป็นก้อนอยู่ตรงกลาง ก่อนทำปีกผมออกทั้งด้านซ้ายและขวา ส่วนด้านล่างของผมทำให้มีความโค้งมน ตรงมวยผมตรงกลางจะมีการประดับด้วยที่ผูกผมสีแดงหรือสีชมพู
ยุคหนึ่งทรงผมนี้ “ฮิป” มาก …ส่งผลให้สาวๆ ในเอโดะพากันทำผมทรงนี้อย่างแพร่หลาย จึงมีการเรียกชื่อทรงผมนี้ว่า “คัตสึยามะ”
ภาพแนบ: นางโลมโยชิวาระ
จากนั้น เมื่อเข้าสู่ยุคโยชิวาระ ได้มีการเพิ่มลำดับชั้นนางโลมเพิ่มขึ้นมาอีกหลายลำดับ มีการเรียงที่ซับซ้อน ในที่นี้จะขอแยกให้เข้าใจง่ายเป็นสามเกรด
1. เกรดสูง เกรดนี้จะมีคำเรียกทับซ้อนกันระหว่างคำว่าทะยู กับโอยรัน
2. เกรดกลาง เกรดนี้มีคำเรียกหลากหลาย และแบ่งย่อยๆ ไปอีกหลายชั้น เช่นโคชิโจโร ซันชาโจโร ไบชาโจโร
3. เกรดล่าง เกรดนี้มีคำเรียกว่าคิริมิเสะโจโร ซึ่งอาจจะทับซ้อนกับฮาชิโจโร
…ซึ่งทุกเกรดจะมีลำดับและความซับซ้อนของตัวเองอีกมาก ในที่นี้จะขออธิบายจากเกรดล่างก่อน
ตำแหน่งคิริมิเสะโจโระ ถือว่าศักดิ์ต่ำที่สุด แต่มีจุดขายคือราคาถูก จึงดึงดูดแขกให้เข้ามาใช้บริการมากมาย อย่างไรก็ตาม นางโลมระดับนี้จำนวนหนึ่งมักเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
…จนบางทีมีการเปรียบเทียบกับนางโลมในระดับนี้ว่า “เทบโปโจโร” (鉄砲女郎) แปลว่า “สาวมือปืน” นั่นหมายความว่าถ้าแขกได้มีความสัมพันธ์หรือได้แตะต้องพวกเธอ ชีวิตของแขกคนนั้นก็อาจสั้นลงด้วย…

สำหรับโสเภณีเกรดกลางนั้นก็เป็นที่นิยมมาก เพราะไม่เสี่ยงภัยเท่าเกรดล่าง และไม่เล่นตัวเหมือนเกรดสูง
ยกตัวอย่างโสเภณีเกรดกลางที่ได้รับความนิยมในโยชิวาระคือตำแหน่งที่เรียกว่าซันฉะโจโร โดยคำว่า ซันฉะ (散茶) ในอดีตเป็นคำเรียกของ “ผงชา”
…ที่พวกเธอถูกเรียกแบบนี้ เพราะซันฉะเป็นชาสำเร็จรูปที่ใส่น้ำร้อนดื่มได้เลย ไม่ต้องนำชาใส่ถุงแล้วค่อยๆ ชงในน้ำร้อนแบบใบชา โดยคำว่าชง, คนหรือเขย่าในภาษาญี่ปุ่นคือ “ฟุรุ” (振る) เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับนางโลมที่เป็นชาสำเร็จรูป ก็หมายถึง “การไม่ปฏิเสธลูกค้า”
ภาพแนบ: โยบิดาชิ
สำหรับนางโลมลำดับชั้นสูงสุดนั้น มีคำเรียกที่เรารู้จักกันดีว่าอีกคำว่า “โอยรัน” (花魁) ที่สามารถแปลตรงตัวได้ว่า “ดอกไม้แรกแย้ม” โดยตำแหน่งโอยรันกับทะยูนี้ค่อนข้างทับซ้อนกัน
โอยรันตัวท๊อปเรียกว่า “โยบิดาชิ” (呼び出し) แปลตรงตัวว่า “นัดหมายเพื่อออก”
แขกที่ต้องการพบตัวท๊อปจะไม่สามารถเข้ามาพบพวกเธอได้โดยตรง ต้องมีการติดต่อขอพบผ่านอาเงยะก่อนตามที่กล่าวไป ซึ่งการเป็นโยบิดาชิได้นอกจากต้องสวยเฉียบแล้ว ยังต้องเพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญา เป็นเลิศในงานศิลปะต่างๆ และมีการศึกษาดี สามารถพูดคุยประวัติศาสตร์ การเมือง กวีนิพนธ์กับไดเมียวหรือซามูไรชั้นสูงรู้เรื่อง
โยบิดาชิยังต้องมีการแต่งกายที่สง่างาม เธอจะสวมชุดผ้าไหมคลุมยาวปักลวดลายหรูหรา ศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมทำจากกระดองเต่าชั้นดี ถึงขั้นมีผู้เปรียบเปรยว่ารอบศีรษะของเธอเสมือนมีรัศมีเปล่งออกมาราวกับเทพธิดา
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** ยูโจ และ คาเงมะ นางโลมนายโลมญี่ปุ่น***
โสเภณีจริงๆ ของญี่ปุ่น มีคำเรียกเฉพาะตัวว่า “ยูโจ” แล้วทราบไหมครับว่า การขายบริการทางเพศของญี่ปุ่นโบราณยังมี “นายโลม” หรือ “คาเงมะ” อีกด้วย?
บทความนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านไปเปิดมุ้ง มุดใต้เตียง ทำความรู้จักกับ ทั้งนางโลม และ นายโลมในประเทศญี่ปุ่น ว่าพวกเขามีที่มาที่ไปอย่างไร การทำอาชีพนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง รวมถึงจะแนะนำย่านโคมแดงชื่อดัง เผื่อใครอยากลองไปเยี่ยมเยือนถึงถิ่นกันนะครับ…
ภาพแนบ: ภาพนี้คือโสเภณีชายแต่งหญิง
*** จุดเริ่มต้นของนางโลม ***
เริ่มแรกเรามารู้จักกับ “ยูโจ” (遊女) กันก่อน คำนี้แปลตรงตัวได้ว่า “หญิงสาวผู้มอบความสุข” ซึ่งเป็นคำกว้างๆ umbrella term ใช้อธิบายกลุ่มผู้หญิงหรือนางโลมที่ให้บริการทางเพศแก่ผู้คน
ยูโจ ปรากฏครั้งแรกในสมัยเฮอัน (平安時代 ค.ศ. 794 - 1185) มีต้นกำเนิดมาจากคำว่า “มิโกะ” หญิงสาวผู้ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้า …ใช่ครับ มิโกะชุดขาวกางเกงแดงที่เรารู้จักกันดีนี่แหละ
…คือยุคนั้นศาลเจ้าชินโตมีความเชื่อว่า “การมีสัมพันธ์กับมิโกะเป็นพิธีกรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่ง” เลยมีการค้าประเวณีโดยมิโกะ
ปรากฏว่าผู้คนนิยม “พิธีศักดิ์สิทธิ์” ประเภทนี้มาก จนมันเกิดเป็นธุรกิจ มีมิโกะที่แยกมาขายบริการเป็นหลัก ตั้งสำนักอยู่ในบริเวณที่มีคนพลุ่กพล่าน เช่น บริเวณท่าเรือ เพื่อดึงดูดลูกค้านักเดินทาง
เวลาผ่านไปธุรกิจค้าประเวณีก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นตัวดึงดูดธุรกิจอื่นๆ เช่นร้านอาหาร หรือ ที่พัก ให้มาพึ่งบารมี
ภาพแนบ: ยูคาคุ
ต่อมาในยุคเซนโกคุ (南北朝時代 ค.ศ. 1467 - 1615) ทางรัฐบาลซึ่งเคร่งศาสนาพุทธมีนโยบายควบคุมจริยธรรม-ศีลธรรมของประชาชน เพื่อรักษาความปลอดภัย และควบคุมโรค จึงสั่งให้จำกัดการสร้างย่านโคมแดงเป็นหลักแหล่ง ให้ขึ้นทะเบียนเรียกซ่องว่าว่า “ยูคาคุ” (遊廓) ให้ยูโจอยู่รวมกันดำเนินกิจการอย่างเป็นระเบียบ
อนึ่งหากนางโลมคนไหนไม่ได้ทำงานในยูคาคุ หรือขายบริการไม่ถูกกฎหมาย จะถูกเรียกว่า ไบโจ (売女) ถือเป็นแค่นางโลมชั้นต่ำต้อย ไม่มีศักดิ์มีสิทธิ์อะไร ถูกรังแกได้ง่าย ตรงนี้การเข้าระบบจึงให้ผลประโยชน์แก่ทั้งตัวนางโลมเองและลูกค้าไปพร้อมกัน
ภาพแนบ: โยชิวาระในอนิเมะดาบพิฆาตอสูร
*** โยชิวาระ ***
เมื่อพูดถึงย่านหอโคมแดง ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะเคยผ่านหูผ่านตา “ย่านโยชิวาระ” (吉原) มาบ้าง เพราะมันเป็นย่านอโคจรที่ใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดในเอโดะ (กรุงโตเกียวในปัจจุบัน) ย่านนี้ถูกริเริ่มก่อสร้างในปี 1617 โดยบาคุฟุ หรือรัฐบาลทหารของโชกุน ซึ่งมีกฎปฏิบัติทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้…
1) ไม่อนุญาตให้สถานเริงรมย์ประกอบกิจการและ ไม่อนุญาตให้ นางโลมออกไปทำงานนอกเขตกำแพงของโยชิวาระ นอกจากได้รับอนุญาตแล้ว
2) ไม่อนุญาตให้แขกที่เข้ามาใช้บริการอยู่นานเกินกว่า 24 ชม.
3) ไม่อนุญาตให้นางโลมสวมชุดหรูหราที่ถักทอด้วยเงินและทอง ควรสวมเสื้อผ้าที่เย็บปักด้วยลวดลายธรรมดา
4) การสิ่งก่อสร้างในเขตพื้นที่นี้ไม่ควรหรูหรามากเกินไป ควรสร้างให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมโดยรวมของเอโดะ
5) หากพบบุคคลน่าสงสัยหรือมีพฤติกรรมแปลก ๆเดินเที่ยวอยู่ในย่านเขตนี้ สามารถแจ้งเขตที่อยู่ของบุคคลนั้นได้เลย ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นซามูไร หรือพ่อค้าก็ตาม หากยังมีข้อสงสัยให้รีบแจ้งตำรวจที่ดูแลเขตนี้ทันที
ภาพแนบ: แผนผังของโยชิวาระ
โยชิวาระมีกำแพงกั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านหนึ่งติดกับแม่น้ำ ด้านที่เหลือถูกล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ภายในกำแพงโยชิวาระแห่งนี้มีถนนคู่ขนานกันจำนวน 3 สาย และตรอกเชื่อมถนนสายกลางทั้งหมด 5 เส้นทาง (ดูภาพประกอบเพื่อเพิ่มความเข้าใจ)
เส้นทางที่ 1 : เอโดะโจ 1
เส้นทางที่ 2 : เอโดะโจ 2
เส้นทางที่ 3 : โคมาจิ 1
เส้นทางที่ 4 : โคมาจิ 2 (สร้างขึ้นในปี 1620)
เส้นทางที่ 5 : สุมิโจ (สร้างขึ้นในปี 1626)
ภาพแนบ: อาเงยะ
ภายในย่านนี้มีสถานบริการทางเพศ ร้านอาหาร ฯลฯ เรียงรายอยู่ทั้งสองข้างทางของถนนทั้ง 5 เส้น และยังมีจุดนึงที่น่าสนใจนั่นก็คือ โรงน้ำชาที่พักรับรองสำหรับแขกที่ต้องการจะพบกับนางโลมชั้นสูง เรียกว่า “อาเงยะ” (揚屋) เนื่องจากนางโลมชั้นสูงระดับ exclusive มากๆ นั้นจะไม่อนุญาตให้แขกใหม่ไปหายังสถานที่พักของพวกเธอโดยตรงในทีแรก แต่สามารถนัดพบในที่อื่นๆ เช่นโรงน้ำชาอาเงยะ และเมื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระดับหนึ่ง จึงถือเป็นแขกประจำแล้วให้เข้าซ่องได้
ภาพแนบ: แผนที่โยชิวาระปี 1846
ต่อมาเมื่อเมืองเอโดะเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1657 โยชิวาระก็เสียหายไปด้วย ทางรัฐบาลเลยตัดสินใจสั่งย้ายที่ไปก่อสร้างโยชิวาระใหม่ยังเขตอาซากุสะทางชานเมือง ดังนั้นพื้นที่ดั้งเดิมตรงนั้นจึงถูกเรียกว่า โมโตะ โยชิวาระ (元吉原) หรือ โยชิวาระเก่า ปัจจุบันคือย่านนิฮงบาฉิไม่ใช่โคมแดงอีกแล้ว ส่วนที่ใหม่เรียกว่า ชิน โยชิวาระ (新吉原) หรือ โยชิวาระใหม่ (แต่สุดท้ายเรียกแค่ “โยชิวาระ” ก็เป็นที่รู้กัน)
โยชิวาระแห่งใหม่นี้ มีพื้นที่ 94,430 ตารางเมตร (ประมาณ 59 ไร่) ล้อมรอบด้วยคูเมือง มีถนนหลักสายกลางชื่อว่า “นากาโนะโจ” เรียงรายไปด้วยต้นซากุระ มีโรงน้ำชาเป็นสื่อกลางในการติดต่อซื้อบริการกับเหล่านางโลม
ด้วยความงามอันเลื่องชื่อของเหล่าสาวๆ ทำให้ย่านโยชิวาระแห่งใหม่นี้เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม รวมไปถึงเป็นศูนย์รวมแฟชั่นชั้นแนวหน้าของสาว ๆ ยุคเอโดะ
…เนื่องจากนางโลมชั้นสูงนั้นต้องฝึกฝนศิลปะต่างๆ เพื่อสร้างความประทับใจให้กับแขกที่เข้ามาใช้บริการ ทำให้มีการแข่งขันการฝึกฝนศิลปะเช่น การแสดง การขับร้องเล่นดนตรี การจัดดอกไม้ บทกวีเคียวกะ บทกวีไฮคุ พิธีชงชา ฯลฯ ส่งผลให้โยชิวาระกลายเป็นแหล่งที่ศิลปะหลากหลายแขนงเจริญมาก ซึ่งศิลปินเด่นๆ ก็คือตัวยูโจนั่นเอง
*** การแบ่งลำดับชนชั้นนางโลม ***
อาชีพยูโจมีระบบชนชั้นที่เข้มงวด ยิ่งเป็นนางโลมชั้นสูงราคาก็จะพุ่งขึ้นตามด้วยเช่นกัน เหล่านางโลมจึงมีการแข่งขันกันเพื่ออัพเกรดตัวเอง
จะขอกล่าวถึงสมัยที่รัฐบาลยังไม่ได้จัดระเบียบยูคาคุก่อน ในตอนนั้นลำดับชั้นของนางโลมมีอยู่ 2 ลำดับ คือ “ทะยู” (太夫) และ “ฮาชิโจโร” (端女郎)
ตำแหน่งทะยู จะต้องเป็นหญิงสาวที่มีความงามเลิศ เชี่ยวชาญทั้งศิลปะดนตรีและกวี มีความรอบรู้ สามารถต่อกลอนกับบัณฑิตชายได้ เปรียบเสมือนเป็นลำดับชั้นสูงสุดของนางโลมในช่วงเวลาดังกล่าว นอกจากนี้ทะยูยังถือเป็นเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นของสาวๆ อีกด้วย
สำหรับตำแหน่งฮาชิโจโรนั้นจะตรงกันข้ามกับทะยู คือมีความหมายว่า “ผู้หญิงปลายแถว” ซึ่งเป็นความหมายตามตัวอักษร เพราะนางโลมในตำแหน่งนี้จะนั่งอยู่ปลายแถว เปรียบเสมือนเป็นนางโลมลำดับต่ำ เน้นขายบริการทางเพศเป็นหลัก
ภาพแนบ: ทรงคัตสึยามะ
จะขอยกตัวอย่างทะยูที่มีชื่อเสียงนามว่า “คัตสึยามะ” นั้นเป็นผู้คิดทรงผมใหม่ ให้ทำมวยผมเป็นก้อนอยู่ตรงกลาง ก่อนทำปีกผมออกทั้งด้านซ้ายและขวา ส่วนด้านล่างของผมทำให้มีความโค้งมน ตรงมวยผมตรงกลางจะมีการประดับด้วยที่ผูกผมสีแดงหรือสีชมพู
ยุคหนึ่งทรงผมนี้ “ฮิป” มาก …ส่งผลให้สาวๆ ในเอโดะพากันทำผมทรงนี้อย่างแพร่หลาย จึงมีการเรียกชื่อทรงผมนี้ว่า “คัตสึยามะ”
ภาพแนบ: นางโลมโยชิวาระ
จากนั้น เมื่อเข้าสู่ยุคโยชิวาระ ได้มีการเพิ่มลำดับชั้นนางโลมเพิ่มขึ้นมาอีกหลายลำดับ มีการเรียงที่ซับซ้อน ในที่นี้จะขอแยกให้เข้าใจง่ายเป็นสามเกรด
1. เกรดสูง เกรดนี้จะมีคำเรียกทับซ้อนกันระหว่างคำว่าทะยู กับโอยรัน
2. เกรดกลาง เกรดนี้มีคำเรียกหลากหลาย และแบ่งย่อยๆ ไปอีกหลายชั้น เช่นโคชิโจโร ซันชาโจโร ไบชาโจโร
3. เกรดล่าง เกรดนี้มีคำเรียกว่าคิริมิเสะโจโร ซึ่งอาจจะทับซ้อนกับฮาชิโจโร
…ซึ่งทุกเกรดจะมีลำดับและความซับซ้อนของตัวเองอีกมาก ในที่นี้จะขออธิบายจากเกรดล่างก่อน
ตำแหน่งคิริมิเสะโจโระ ถือว่าศักดิ์ต่ำที่สุด แต่มีจุดขายคือราคาถูก จึงดึงดูดแขกให้เข้ามาใช้บริการมากมาย อย่างไรก็ตาม นางโลมระดับนี้จำนวนหนึ่งมักเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
…จนบางทีมีการเปรียบเทียบกับนางโลมในระดับนี้ว่า “เทบโปโจโร” (鉄砲女郎) แปลว่า “สาวมือปืน” นั่นหมายความว่าถ้าแขกได้มีความสัมพันธ์หรือได้แตะต้องพวกเธอ ชีวิตของแขกคนนั้นก็อาจสั้นลงด้วย…
สำหรับโสเภณีเกรดกลางนั้นก็เป็นที่นิยมมาก เพราะไม่เสี่ยงภัยเท่าเกรดล่าง และไม่เล่นตัวเหมือนเกรดสูง
ยกตัวอย่างโสเภณีเกรดกลางที่ได้รับความนิยมในโยชิวาระคือตำแหน่งที่เรียกว่าซันฉะโจโร โดยคำว่า ซันฉะ (散茶) ในอดีตเป็นคำเรียกของ “ผงชา”
…ที่พวกเธอถูกเรียกแบบนี้ เพราะซันฉะเป็นชาสำเร็จรูปที่ใส่น้ำร้อนดื่มได้เลย ไม่ต้องนำชาใส่ถุงแล้วค่อยๆ ชงในน้ำร้อนแบบใบชา โดยคำว่าชง, คนหรือเขย่าในภาษาญี่ปุ่นคือ “ฟุรุ” (振る) เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับนางโลมที่เป็นชาสำเร็จรูป ก็หมายถึง “การไม่ปฏิเสธลูกค้า”
ภาพแนบ: โยบิดาชิ
สำหรับนางโลมลำดับชั้นสูงสุดนั้น มีคำเรียกที่เรารู้จักกันดีว่าอีกคำว่า “โอยรัน” (花魁) ที่สามารถแปลตรงตัวได้ว่า “ดอกไม้แรกแย้ม” โดยตำแหน่งโอยรันกับทะยูนี้ค่อนข้างทับซ้อนกัน
โอยรันตัวท๊อปเรียกว่า “โยบิดาชิ” (呼び出し) แปลตรงตัวว่า “นัดหมายเพื่อออก”
แขกที่ต้องการพบตัวท๊อปจะไม่สามารถเข้ามาพบพวกเธอได้โดยตรง ต้องมีการติดต่อขอพบผ่านอาเงยะก่อนตามที่กล่าวไป ซึ่งการเป็นโยบิดาชิได้นอกจากต้องสวยเฉียบแล้ว ยังต้องเพียบพร้อมไปด้วยสติปัญญา เป็นเลิศในงานศิลปะต่างๆ และมีการศึกษาดี สามารถพูดคุยประวัติศาสตร์ การเมือง กวีนิพนธ์กับไดเมียวหรือซามูไรชั้นสูงรู้เรื่อง
โยบิดาชิยังต้องมีการแต่งกายที่สง่างาม เธอจะสวมชุดผ้าไหมคลุมยาวปักลวดลายหรูหรา ศีรษะประดับด้วยปิ่นปักผมทำจากกระดองเต่าชั้นดี ถึงขั้นมีผู้เปรียบเปรยว่ารอบศีรษะของเธอเสมือนมีรัศมีเปล่งออกมาราวกับเทพธิดา
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***