การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาในเพศฆราวาส นั้นลำบากยิ่งเหมือนเดินทางในป่ารกชัฏ ต้องฟันฝ่าลำบากยิ่งจึงจะสำเร็จไปแต่ละลำดับ

เมื่อเทียบกับตนเองที่เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตนเองทั้งแต่อายุ 10 กว่าปี เพราะด้วยเหตุความทุกข์ทางฐานะในทางโลกและพ่อของตนเองบีบคั่น จึงเป็นทุกข์หาทางออกไม่ได้ และไม่มีมนุษย์คนใหนช่วยได้  ต้องใช้สติปัญญาและความอดทนมีขันติตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อปัญญาและความรู้ ด้วยเห็นว่าการศีกษาทางโลกนั้นแหละจะทำให้เกิดปํญญาและความรู้เจริญขึ้น แม้จะไม่มีทางเป็นไปได้เลยก็ตาม  ต่อสู้ไปศีกษาธรรมและปฏิบัติธรรมไป แม้จะโดนขัดขวางให้ต้องหยุด ก็ไม่เคยถอยแม้จะทุกข์และโดนกดดันอย่างยิ่งก็ตามก็ยังเดินไปอย่างยากลำบากยิ่งแค่การศีกษาทางโลก จนต้องเอาชีวิตแม้จะลำบากจนหรือบ้าไปเข้าแลก  พิจารณาดูว่ามันจะทุกข์กดดันขนาดใหนของการต่อสู้อย่างนี้ของเด็กคนหนึ่ง ไม่รู้จะหาใครได้ช่วยได้ พ่อตนเองก็ขัดขวางทุกทาง กฏหมายก็ไม่อนุญาติด้วยสัญชาติ มีแต่แม่คนเดียวที่ยังเฉียดเงินเล็กน้อยให้ดำเนินไปได้  

       ถ้าไม่เอาธรรมะและปฏิบัติธรรมด้วยตนเองตั้งแต่วัยเด็ก และศึกษาธรรมเพิ่มขึ้นและปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นตามวัยที่สูงขันเพื่อรักษาจิตใจด้วยธรรมและสติและสมาธิ ก็คงบ้าผิดเพียนวิปปลาสแบบพี่ชายคนโตที่อยากเรียนให้สูงๆ แต่บ้าไปเสียก่อนเพียงแค่โดนต้านจากพ่อเท่าน้น ซึ่งผมถ้าไม่มีความศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในธรรมที่พระองค์สังสอนผม คงต้องบ้าก่อนที่จะเรียนจบปริญญาตรีเสียอีก
       ผมอยู่ได้อย่างไรเมื่อต้องเป็นทุกข์และในความกดดันอย่างนั้นได้  เพราะเป็นทุกข์อย่างเนื่องๆ ติดตัวอยู่ตลอด  นี้แหละจึงทำให้ผมต้องศึกษาทางธรรมมากยิ่งขึ้นต้องปฏิบัติธรรมต้องมีสติภาวนา เพราะได้ตั้งปฏิทานไว้ว่า เมื่อระลึกได้เมื่อใดต้องภาวนาดูลมหายใจตลอด แต่เมื่อเป็นทุกข์กดดันด้วยความกลัวโดนขัดขวางไม่ให้เรียนต่อมากเกือบทุกเวลาก็ต้องเจริญสติกำหนดภาวนาโดยตลอดเช่นกันขนาดนั้น

       เฉพาะในช่วงเกือบ 4 ปี ที่ผมเรียน ป.ตรี จบใน 3 ปี ที่มีโอกาสอาจไม่ได้รับปริญญาได้ ผมจะต้องกำหนดภาวนาโดยตลอดที่ระลึกได้ และ เกือบ 6 เดือน ที่ผมเข้าวัดปฏิบัติธรรม กำหนดภาวนาเกือบตลอดแม้ในเวลาปฏิบัติธรรมและนอกเวลาที่พัก ทั้งวันทั้งคืน ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายเลย สำหรับผู้ที่อยู่ในสภาวะปกติทั่วไป แต่สำหรับผมเสมือนไฟทุกข์ไล่จี้ก้นอยู่ หรือไฟแห่งทุกข์กำลังเผาไหม้อยู่บนหัวอยู่ จนได้ฌาน ไปตามลำดับ และจนต้องสละชีวิตพร้อมกับวิปัสสนาญาณที่กำลังเจริญในสภาวะอันยิ่งยวดนั้น เกิดทุกข์อย่างยิ่งยวดซึ่งจะต้องตายไปจริงๆ จนเห็นแจ้งทั้ง อนิจจัง ที่จิตนั้นเกิด-ดับ ทุกข์ทยอยดับตามไปตามเกิด-ดับนั้น  จนสิ้นหลุดพ้นไปจาก จิตที่ดับพ้นไป หรือพ้นไปจาก รูปนามสังขารทั้งหลาย
       หลังจากนั้นผมก็ชนะทั้งตัวเอง ทั้งพ่อ และการขวางของกฏหมาย คือได้รับปริญญา พ่อยินดีเป็นอย่างยิ่งแม้เสมื่อนเป็นศัตรูกันในขณะที่ผมเรียนอยู่ก่อนหน้านั้น ท่านกลับเปลี่ยนท่าทีกับผมเลย  และภูมิใจกับผมมากที่เรียน ป.ตรี แค่ 3 ปีจบ จนพูดเยินยอผมกับคนที่แก่รู้จักไปทั่ว และเสมือรู้ว่าผมจะไม่รบกวนเงินแก่หรือแม่อีกเลย ผมต้องหากินเองได้ และได้พูดกับแม่ว่า ถ้าพ่อตายมีแต่ผมเท่านั้นที่แม่ไปพึ่งได้ พ่อคิดไกลจนขนาดนั้น เพราะตัวผมเองตอนนั้นก็ จนๆ ยังเอาตัวเองไม่รอดหากินไปเป็นเดือนๆ เท่านั้นด้วยการเป็นติวเตอร์ หางานทำให้มีเงินตามวุติ ตามความสามารถได้ยากเพราะติดอยู่ที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทย

       ผมไม่ต้องทุกข์เรื่องการเรียนแล้ว มีรายได้พออยู่กินคนเดียวได้แล้วเฉลี่ยเดือนละ 2 พันบาท + ต่อเดือน (เทียบกับ ป.ตรีแรกเข้ารับราชการ 2.2 ต่อเดือนสมัยนั้น)  ไม่คิดเก็บสะสมใดๆ คือเข้าวัดปฏิบัติธรรมทำบุญไปอย่างมีความสุข หวังว่าจะได้บวช แต่ยังขยาดกลัวด้วยการบวชครั้งแรกอยู่ ถ้ายังไม่พ้นฐานะเดิมที่คนที่มีอคติทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนสามารถทำร้ายเราได้ขนาดหนักก็ยังไม่ต้องไปบวช   เพราะด้วยเรื่องสัญชาติและการเรียนเก่ง(ถ้าเทียบคนเรียนเก่งในระดับท็อปๆ แล้วผมนี้แทบจะไม่เก่ง) จึงพอเป็นที่รู้จักไปทั่วในจังหวัดโดยที่ไม่เคยหน้าตากันมาก่อน จึงโดนผู้มีอคตินั้นทำร้ายได้โดยง่าย เมื่อจะบวชพระ พระคู่สวดพอรู้ก็เดินหนีไม่ย่อมบวชให้ ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน(อคติมันรุ่นแรงขนาดนี้ ถ้าเขามีสิทธิ์ฆ่าผม เขาคงฆ่าผมไปแล้วเพราะดันเด่นดัง เรียนเก่งแต่ไม่มีสัญชาติไทย ซึ่งภายหลังผมโดยฆ่าจริงๆ เพราะอคติของคนนี้แหละ  ผมต้องทนหัวล้านนุ่งขาวหุ่มขาวเป็นนาคอยู่อย่างนั้นในวัด ไปอีกเป็นเดือนๆ อย่างทุกข์แค้นในฐานะตนเองที่ไม่รู้ตนเองได้ทำมาก่อนแต่เมื่อใด จึงหาวัดใหม่บวชให้ได้ต้องถึงโรงพักให้ตำรวจมาจัดการให้ คนอื่นที่มีสถานะแบบเดียวกับผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลยแม้แต่คนเดียว เมื่อขอบวชพระ ทั้งบุญกรรมและวิบากต่างๆ ชั่งพาไปให้เป็นขนาดนั้นเลยที่เดียว  ยังไม่จบเมือผมได้บวชพระในอีกวัดหนึ่ง รองเจ้าอาวาสไม่อยู่ ไปทำธุระในกรุงเทพฯ  พอกลับมาได้ข่าวเกียวกับผมแต่ไม่เคยเห็นหน้าผมเลย เจอกันวันแรกผมก็เจอเลยครับ อยากให้ผมสึกเสียตั้งแต่วันแรกที่เจอ และบอกว่าถ้าแก่อยู่ในวันผมบวชแก่จะไม่ให้ผมบวชแน่นอน และยังพูดว่า ชื่อผมนั้นเป็นชื่อดูถูกคนไทย ผมก็นึกในใจนี้มันอะไรของท่านนี้  กับคนไม่เคยรู้จักเห็นหน้ากันครั้งแรกกันกลับมาอคติหนักกันขนาดนี้เลยหรือ  เพราะไม่มีสัญชาติไทยแต่เรียนเก่งดันเด่นดังในจังหวัดเขากลัวกันขนาดนี้เลยหรือ จะฆ่ากันให้ตายจากพระเลยที่เดียวแม้บวชอยู่ ไม่กลัวกรรมกลัวเวรที่ติดตามเลยหรือ?

      แล้วท่านก็พยายามอย่างมากในการที่ให้ผมสึกออกไปให้ได้  จนสุดท้ายท่านเข้ามาขอร้องให้ผมสึกด้วยเหตุผลเพียงที่ไม่น่าคิดไปได้ว่า ผมปฏิบัติธรรมกรรมฐานกันคนละแบบกับท่าน ที่เป็นมหานิกายให้ผมสึกไปเถอะ(ท่านไม่รู้ว่าท่านได้ฆ่าให้ออกจากเพศภิกษุ ทั้งที่เจ้าตัวยังไม่ประสงค์จะสึกเลย ผมนี่งงและคิดพิจารณาว่า วิบากกรรมของเรานี้มันชั่งหนักหนาสาหัสมากเชียวนะเมื่ออยู่ในแดนของกรรมที่ส่งผลพระผู้ใหญ่อื่นในวัดต่างๆ ท่านก็ไม่เป็ฯอย่างนี้แถมยังแนะนำให้ท่านหยุด ท่านก็ไม่หยุด ผมจึงเห็นว่าควรทำให้เป็นอโหสิกรรมไปเสียจบสิ้นกันไป ไม่ต้องผูกเวรผูกกรรมและก่อกันอย่างนี้ต่อไป  จึงย่อมสละให้กับผู้ขอผมจึงพูดบอกท่านว่า.
       อย่างนั้นผมก็จะ สึกให้ท่าน จะได้ไม่ต้องผูกก่อกรรมกันอย่างนี้ต่อไป   ผมก็กลับกรุงเทพฯ และปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวดต่อไปตามด้านบนจนสละชีวิตปฏิบัติอย่างยิ่งยวด จนตายจาก จิต (รูปนาม สังขาร) จากชีวิตไปจริงๆ  แล้วเกิดปัญญาขึ้นกับตนเองที่เคยกล้วว่าเราเองอาจจะบ้าแบบพี่ชายคนโตได้ ก็ผุดขึ้นมาว่า เราจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโตแล้ว ไม่ว่าจะมีความทุกข์ความกดดันยิ่งในชีวิตอย่างใด ก็ไม่บ้าอีกแล้ว
       ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตนเองเมื่ออายุประมาณ 10 ปี จนถึงเวลานั้นอายุ 23-24 ปี ก็ 13-14 ปี ในวัยเด็กและวัยศักษาทางโลกและทางธรรม บนความทุกข์และความกดดันยิ่ง แต่ด้วยเหตุแห่งทุกข์ที่เป็นทุกข์ด้วยประสงค์ความรู้และปัญญายิ่งชีวิตแลกด้วยชีวิตได้จึงต้องพิ่งพระพุทธเจ้าเป็นที่ยึดมั่นเป็นที่ศรัทธา และศึกษาธรรมปฏิบัติธรรมอย่างมากพร้อมควบคู่กับทางโลก บนความเป็นทุกข์ความคับแค้นความกดดันนั้น จนเห็นทุกข์ เห็นอริยสัจ 4 ในรอบแรก 

       ผมอยู่อย่างสงบเป็นปกติสุขโดยเพศฆราวาสไม่มีครอบครัวเป็นเวลา 2 - 3 ปี โดยไม่หวังสร้างฐานะเก็บทรัพย์สิน ไม่มีข้อสังสัยใดๆ ในธรรม แต่ยังไม่กล้าไปบวชเพราะเหตุนั้น ย่อมหนี้ไม่พ้นเรื่องความรักความใคร่ การมีแฟน(เป็นภรรยาภายหลัง) จึงกังขาในตนเองอย่างยิ่ง เรายังมีกิเลสหนักอย่างนี้เชียวหรือ?  เมื่อแต่งงานมีลูกอ่อนคนแรก แต่ด้วยไม่เคยวางแผนไว้ก่อนในการมีครอบครัวยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีกด้วยความจน ยังต้องผลักดันแฟน(ภรรยา) ซึ่งก็จน เรียนให้จบ ป.ตรี แบบเตี้ยเอุมค้อม เราเองก็หางานทำได้ยาก ถ้าตกงานชีวิตก็จะลงเหวแห่งทุกข์ ทั้งครอบครัว จิตใจก็ยังปักอยู่ในการปฏิบัติและการจะบวชพระอยู่ ยังติดข้องเช่นนั้นอยู่ กังขาในธรรมที่ปรากฏกับตนเองเป็นอย่างยิ่ง แล้วทุกอย่างก็ลงเหวในดงทุกข์จริงเมื่อผมตกงานแต่ภรรยาท้องโตและเรียนจบ ป.ตรี พอดี ยังไม่สามารถหางานทำได้ ทุกข็จนขนาดต้องแยกกันอยู่และอาศัยญาติ ผมก็ไม่มีเงินแม้จะส่งค่านมลูกถึงขนาดนั้นที่เดียว ทุกข์อย่างนั้นเกือบ 2 ปี การกังขาในธรรมของตนเองก็ค้างอยู่อย่างนั้นในทางสองแพร่ง โพธิสัตว์หรือโสดาบัน แต่ผลของธรรมที่ปรากฏแล้วและเข้าสู่ความสงบได้ ดึ่งกลับ ให้ต่อสู่กันระหว่าง 2 แพร่งนั้น จึงเกิดขังขาในธรรมและในตนเองอย่างยิ่ง  จึงเห็นว่าการพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเท่านั้นเป็นสิ่งชี้วัดได้เท่านั้น ว่ามีฐานะอย่างใดกันแน่

      และเริ่มคิดได้ว่าถ้าเราไปบวชพระ และทิ้งภรรยากับลูกคนแรก ให้ทนทุกข์ลำบากด้วยความจน ถ้าเราได้ไปบวชได้จริงๆ เราจะมีใจปฏิบัติธรรมได้โดยไม่ต้องทุกข์ที่เห็นเขาลำบากได้หรือ?  ก็ได้รู้คำตอบกับตนเองว่า เราไม่สามารถทำใจปล่อยไปเช่นนั้นได้  จึงเปลี่ยนตนเองใหม่ โดยให้เวลาและให้ใจกับการงานอาชีพเลี้ยงครอบครัวและตนเอง เท่าๆ การปฏิบัติธรรมและศีกษาธรรมยิ่งๆ ขันในการพิสูตรธรรมแห่งตนเอง คือเริ่มเห็นได้เช่นนี้ในปี พ.ศ 2531-32 หลังจากเข้าและออกสมาธิของ อุปัสมานุตสติ สมาธิ   จึงตั้งเป้าหมายวางแผนสำหรับฐานะทางโลก เมื่อเกษียณต้องมีบ้านให้เช่าเป็น passive income ทั้งที่ยังไม่มีบ้านของตนเองต้องขออาศัยเขาอยู่(เรื่องราวอยู่ในกระทู้ถัดไป ที่เป้นเรื่องทางโลก)

       และไม่ใช่ว่าแค่ปรับใจได้แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นในทันที่ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ค่อยปรับตัวไปค่อยพัฒนาทั้งความรู้และความสามารถในการทำงาน ต้องระกำลำบากไปอีกเกือบ 10 ปี(รวมทั้งได้รับสัญชาติไทยแล้ว ทุกอย่างก็พลิกจากหลังมื่อเป็นหน้ามือ) แต่ก็ยังปฏิบัติอย่างมากจนอย่างยิ่งไม่เคยทอดธุระเลยเพื่อพิสูจน์ในฐานะตนเองอย่างไรกันแน่ ด้วยการปฏิบัติธรรมในเพศฆราวาสทางโลก ที่เป็นป่ารกชัฏไปอย่างลำบากยิ่ง
       จนอายุเกือบ 52 ปีในวันที่ 14 มกราคม 2554 เกิดสะโตร็กหมดสติด้วยเส้นเลื่อดอุดตนในสมองอยางเฉียบพลัด ด้วยมีสติที่ฝึกมาดีแล้วก็มีสติรู้ทันตั้งแต่เริ่มมีอาการเชขณะเดินเข้าประตูบ้านคุมร่างกายไม่อยู่ เกิดปัญญาแวบเดียวต้องไม่ให้ตนเองล้มคว้ำทั้งยื่นอาศัยแรงที่เชนั้นแหละผลิกตัวให้หลังพิงกับประตูที่ปิดล็อกไว้พอดี แล้วยันขาที่ยังพอควบคมได้ ปล่อยให้ตัวรุดลงหลังยันประตูอยู่แต่ก็หมดสติไปก่อนที่ก้นจะถึงพืน
        เมื่อสติรู้ขึ้นมา แต่ยังไม่รู้ร่างกายรู้เพียงแต่จิตหรือใจ ที่ยังเป็นเพียงผัก รู้ แต่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และค่อยรู้สึกว่าเป็นตนตนขึ้นแต่ไม่รู้เป็นใครอะไรอย่างไร แล้วคอยเริ่มนึกได้คิดไว้ว่า เป็นเราในความมืดสลั่วนั้นไม่รู้ใดของร่างกายเลย เริ่มมีความหวั่นกลัวเกิดขึ้น แต่ก็มีสติเตือนตนเองว่า ทำใจให้สงบอย่าตื่นตกใจกลัว (ย่อ) ...  เป้นอันว่าผมเริ่มกำหนดกรรมฐานอย่างปารนีตอย่างระเอียดขึ้นตั้งแต่รับรู้ร่างกายจนเขาห้องไอชียู เมื่ออัมพฤตคลายตัวลงผมพอนั่งได้ผมก็เริ่มนั่งกำหนดกรรมฐานอย่างระเอียดปรานีตยิ่ง โดยไม่สนใจหมอหรือพยาบาลอีกแล้ว เพียรอยู่ในเวลา 3 วัน 3 คืน
       ในคำของวันที่ 4  ถึ่งซื้ง วิสังขารธรรม  สภาวะคล้ายเช่นเดียวกับเมื่อเกิดในอายุ 23-24 ปีนั้น ทั้งแต่นั้นข้อขังขาในธรรมก็ค่อยคลายลงจนหมดสิ้น พร้อมทั้งเมถุนธรรม ที่เคยทุกข์เคยบ่นเพ้อเคยเถวินหาลมๆ แล้งๆ เพราะภรรยามีปัญหาทางสุขภาพไม่สนองตอบในทางเพศได้ตามปกติ ด้วยได้เสพติดมาแล้วแบบฆราวาส ก็ค่อยคลายลดน้อยลงจนไม่ต้องทุกข์ต้องบ่นเพ้อดังเช่นก่อนแล้วนั้นเอง ซึ่งค่อยๆ เป็นไปเองตามธรรม ไม่ใช่มาเป็นหลังอายุ 60 ปีไปแล้วเพราะแก่อายุมากขึ้น
           รวมเวลาที่พิสูจน์ธรรมตนเอง ตั้งแต่อายุ 26-52 ปี เป็นเวลา 26 ปี   ในหนทางเพศฆราวาสที่เปรียบเป็นดังป่ารกชัฏอันมีขวากหนามดินอย่างลำบากยิ่งในทางธรรมแต่ในทางโลกชีวิตจากที่เริ่มจากทรัพย์สิน 0 บาทมีลูกอ่อนอีก 1  เมื่อปรับความคิดได้ แม้จะจนทุระทุเลในช่วง 10 ปี  แต่หลังจากนั้นก็ดีขึ้นเจริญขึ้นไม่เคยตกต่ำจากเดินเลย มีทรัพย์ระดับหลายล้านบาทแล้ว ลูกคนโตก็กำลังเรียนจบ วิศวคอมพิวเตอร์ ม.มหิดล และมีโอกาสได้รับเกียรติ์นิยม ส่วนภรรยาก็รับราชการระดับ ชี 7 กำลังขึ้น ชี 8 เมื่อปี พ.ศ 2554-55   
         ปัจจุบัน 62 ย่าง 63 ปี  การไม่ตกต่ำแต่เจริญขึ้นก็ดำเนินไปตามลำดับ ในฐานะคนแก่เกษียณจากงานแล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่