ความดันต่ำดีกว่าความดันสูง จริงหรือ??

ความดันต่ำดีกว่าความดันสูง จริงหรือ?? 
 
     “ความดันโลหิตสูง” เป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตของคนไทย คนทั่วไปจึงมักให้ความใส่ใจและความสำคัญกับความดันโลหิตสูงมากกว่า ในขณะที่ความดันโลหิตต่ำกลับถูกมองว่าไม่มีปัญหา เพราะมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตน้อยกว่า 
     แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะความดันสูงหรือความดันต่ำก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะต่างก็มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคแทรกซ้อนและปัญหาสุขภาพได้ด้วยกันทั้งคู่ ซึ่งเดี๋ยววันนี้พี่หมอจะมาเล่าทั้งเรื่องความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด รวมถึงสาเหตุ อาการ และการดูแลรักษาด้วย  
     แต่เราไปเริ่มต้นทำความรู้จักกับคำว่า “ความดันโลหิต” กันก่อนนะครับ 👇
 
ความดันโลหิตคืออะไร 🤔
     ความดันโลหิต คือ ค่าความดันของกระแสเลือดที่ส่งแรงกระทบกับผนังหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากกระบวนการของหัวใจที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากค่าความดันโลหิต คือ ความดันโลหิตสูงและความดันโลหิตต่ำ ค่าความดันโลหิตมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตรปรอท (mmHg) โดยวัดได้ 2 ค่า ได้แก่ 
     · ความดันโลหิตค่าบน คือ แรงดันโลหิตที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจเต็มที่ 
     · ความดันโลหิตค่าล่าง คือ แรงดันโลหิตที่เกิดจากการคลายตัวของหัวใจ 
 
การเตรียมตัวเพื่อวัดความดันโลหิต 
    ☑️ ก่อนวัดความดันโลหิต 30 นาที ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรือออกกำลังกายอย่างหนัก รวมถึงไม่ควรอยู่ในภาวะโกรธ วิตกกังวล หรือเครียด 
    ☑️ ควรนั่งพักก่อนการวัดความดันประมาณ 5-15 นาที โดยนั่งหลังพิงพนักเก้าอี้ เท้าทั้งสองข้างวางราบกับพื้น ห้ามนั่งไขว่ห้าง 
    ☑️ ไม่ควรพูดคุยขณะกำลังวัดความดัน 
    ☑️ ควรวัดความดันโลหิต วันละ 2 ช่วงเวลาคือ ช่วงเช้าและช่วงเย็น โดยในแต่ละช่วงเวลาให้วัดอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 นาที และควรวัดติดต่อกัน 7 วัน หรืออย่างน้อย 3 วัน  
 
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ⬆️
     ค่าปกติของความดันโลหิตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท โดยวัดจากการบีบตัวและคลายตัวของหัวใจ ความดันโลหิตสูง หมายถึง ภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงความดันในหลอดเลือดที่สูงขึ้น ซึ่งหากวัดได้ตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม แพทย์จะต้องพิจารณาจากช่วงวัยด้วย เพราะความดันโลหิตในแต่ละช่วงวัยนั้นไม่เหมือนกัน 
     โดยผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ค่าความดันโลหิตที่ยอมรับได้คือ ต่ำกว่า 150/90 มิลลิเมตรปรอท ส่วนผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 60 ปี หรือผู้ป่วยโรคเบาหวานและผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม ค่าความดันโลหิตควรต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท 
 
ตารางเทียบค่าความดันโลหิต 
     ทั้งนี้ ค่าความดันโลหิตสูงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นความดันโลหิตสูงเสมอไป เพราะค่าที่วัดได้อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ความเครียด ความตื่นเต้น หรือการดื่มชา กาแฟ เป็นต้น 
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง 
     ผู้ที่มีอาการของโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการและตรวจไม่พบสาเหตุ แต่หากมีการตรวจพบมักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคต่างๆ เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น ซึ่งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องทันท่วงทีอาจนำไปสู่ความพิการหรืออันตรายถึงชีวิตได้ นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุที่เป็นความเสี่ยงอื่นๆ อีก ได้แก่ 
     · อายุ ความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น 
     · เพศ โดยทั่วไปความดันโลหิตสูงพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นความดันโลหิตสูงเมื่ออายุ 65 ปี ขึ้นไป
     · พันธุกรรม
     · การรับประทานอาหารรสเค็มจัด 
     · การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ 
     · ขาดการออกกำลังกาย 
 
อาการของโรคความดันโลหิตสูง
     ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการผิดปกติ แม้ว่าค่าความดันโลหิตที่วัดได้จะสูงถึงระดับที่อันตรายก็ตาม บางกรณีอาจพบเพียงอาการเวียนศีรษะ ตึงต้นคอ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเช้าหลังตื่นนอน นอกจากนี้ ยังอาจพบอาการใจสั่น อ่อนเพลีย ตาพร่ามัว หรือมีเลือดกำเดาไหล แต่อาการเหล่านี้มักไม่ปรากฏจนกว่าความดันโลหิตสูงจะถึงขั้นรุนแรงหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต 
 
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตสูง
    ✅ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็ม เช่น อาหารสำเร็จรูป และอาหารหมักดอง
    ✅ งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 
    ✅ ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน 
    ✅ ทำจิตใจให้สบายๆไม่วิตกกังวลหรือเครียดจนเกินไป
    ✅ รับประทานยาและปฏิบัติตัวตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ที่สำคัญ ห้ามซื้อยามารับประทานเองโดยเด็ดขาด
 
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ 👨‍⚕️   
     หากวัดค่าความดันโลหิตได้ระหว่าง 130-139/85-90 มิลลิเมตรปรอท ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย และตรวจหาความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อที่คุณหมอจะได้ช่วยหาวิธีควบคุมความดันโลหิตให้กับเรา เช่น การปรับพฤติกรรม หรือการรับประทานยา นอกจากนี้ ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรหมั่นไปพบแพทย์เป็นประจำ เพื่อดูแลและควบคุมความดันโลหิตให้คงที่ ในทางตรงกันข้าม ถ้ารู้ตัวว่ามีความดันโลหิตสูง แต่กลับปล่อยทิ้งไว้ และไม่รีบรักษา ก็อาจทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายเสื่อมสภาพ และเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่างๆได้อีกด้วย 
     แต่หากวัดค่าความดันโลหิตได้สูงกว่า 180/110 มิลลิเมตรปรอท ต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีนะครับ เนื่องจากภาวะนี้เป็นสัญญาณของความเสียหายของอวัยวะภายในแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก แขนหรือขาอ่อนแรง การมองเห็นเปลี่ยนไป หรือพูดลำบาก 
     และแม้ว่าความดันโลหิตสูงมักจะพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก แต่เด็กเองก็มีความเสี่ยงเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือหัวใจ รวมถึงมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น รับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และขาดการออกกำลังกาย 
 
ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) ⬇️
     ในทางการแพทย์ ความดันโลหิตของผู้ใหญ่ที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท และความดันโลหิตของผู้สูงอายุที่ต่ำกว่า 100/70 มิลลิเมตรปรอท จะถูกจัดว่าเข้าข่ายความดันโลหิตต่ำ แต่หากมีค่าความดันโลหิตต่ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ แพทย์ก็อาจติดตามผลในระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปีเท่านั้น 
     อย่างไรก็ตาม แม้ความดันโลหิตต่ำจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ และไม่ถือเป็นปัญหาสุขภาพ แต่สำหรับคนจำนวนมาก ความดันโลหิตต่ำอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลมได้ ส่วนกรณีที่รุนแรง ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการหกล้ม หรือการเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน 
สาเหตุของความดันโลหิตต่ำ
     · ความดันโลหิตลดลงเมื่อยืน หรือเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร 
     · การตั้งครรภ์ เนื่องจากระบบไหลเวียนโลหิตขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความดันโลหิตมีแนวโน้มที่จะลดลง อย่างไรก็ตาม ความดันโลหิตสามารถกลับสู่ระดับปกติได้เองหลังคลอด 
     · โรคเกี่ยวกับหัวใจ เช่น โรคลิ้นหัวใจ หัวใจวาย ภาวะหัวใจล้มเหลว 
     · ผลกระทบจากโรคอื่นๆ เช่น ปัญหาที่เกิดจากการทำงานของต่อมไร้ท่อ โรคพาราไทรอยด์ ภาวะต่อมหมวกไตทำงานไม่เพียงพอ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากโรคเบาหวาน  
     · การขาดน้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนแรง วิงเวียนศีรษะ เหนื่อยล้า 
     · การสูญเสียเลือดจำนวนมาก จากการบาดเจ็บสาหัสหรือเลือดออกในร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว
     · การติดเชื้อรุนแรง
     · การขาดสารอาหาร เช่น วิตามินบี12 โฟเลตและธาตุเหล็ก ซึ่งอาจทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงได้ไม่เพียงพอ 
     · การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาสำหรับโรคพาร์กินสัน และยากล่อมประสาทบางชนิด 
 
อาการของความดันโลหิตต่ำ
     สำหรับบางคน ความดันโลหิตต่ำเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความดันโลหิตลดลงอย่างกะทันหัน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดเป็นลม ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ขาดสมาธิรวมถึงอาการช็อกและหมดสติ 
 
การดูแลตัวเองเมื่อเป็นความดันโลหิตต่ำ
    ✅ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และรับประทานอาหารแต่ละมื้อไม่ให้อิ่มเกินไป  
    ✅ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และพยายามออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
    ✅ หลีกเลี่ยงการนอนดึก เวลานอนไม่ควรหนุนหมอนที่ต่ำเกินไป
    ✅ ไม่ควรยืนนานๆ หรือเปลี่ยนอิริยาบถรวดเร็วเกินไป
    ✅ เพิ่มความระมัดระวังในการใช้ยา โดยต้องแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงปัญหาความดันโลหิตต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีผลต่อภาวะนี้ 
 
เมื่อไหร่ถึงควรพบแพทย์ 👨‍⚕️  
     หลายคนอาจมองว่าอาการวิงเวียนศีรษะหรือหน้ามืดเป็นครั้งคราวเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่อาการเหล่านี้ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคอื่นๆ ได้ ดังนั้น จึงไม่ควรชะล่าใจเกินไป ทั้งนี้ หากมีอาการวิงเวียรศีรษะหรือหน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน ก็ควรวัดความดันในท่ายืนด้วย โดยเริ่มต้นจากวัดความดันในท่านอนก่อน หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และวัดความดันภายในเวลา 1 และ 3 นาที หลังจากลุกขึ้นยืน  
     ในกรณีที่วัดความดันโลหิตตัวบนในท่ายืนได้ต่ำกว่าท่านอน แสดงว่ามีภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่า (Orthostatic Hypotension) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะและเป็นลมได้ เนื่องจากสมองได้รับเลือดไม่เพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการอื่นๆ ที่ร้ายแรงตามมาได้อีก เช่น ตัวซีด เย็น หายใจเร็วและตื้น ชีพจรเต้นอ่อนหรือเต้นเร็วผิดปกติ รวมถึงอาการช็อกด้วย 
 
     ปัญหาความดันโลหิตเป็นปัญหาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่แค่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น ดังนั้น จึงควรหมั่นวัดระดับความดันโลหิตของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และใส่ใจการกับการเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิตในร่างกาย หากเกิดอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาโดยเร็วที่สุดนะครับ ❤️❤️❤️
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่