เหตุที่มุสลิมหลังจากท่านนบีมุฮัมมัดเสียชีวิตเกิดแตกเป็นหลากหลายกลุ่ม


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อัสสลามุอะลัยกุม

           เหตุที่มุสลิมหลังจากท่านนบีมุฮัมมัดเสียชีวิตเกิดแตกเป็นหลากหลายกลุ่ม หนึ่งในกลุ่มนั้นๆมีกลุ่มที่ตกมุรตัด ซึ่งในปัจจุบันค่อยข้างชัดเจนจากกลุ่มทั้งหมด เหตุนั้นเพราะเขาไม่เอาความเข้าใจของท่านนบีและบรรดาสาวก(ที่มาจากอัลลอฮฺอย่างบริสุทธิ์)มาเป็นสิ่งที่ยึดมั่นแต่กลับเอา ปัญญาตน ความน่าจะเป็นมาเป็นหลักและนำมาใช้หรือเข้าใจในชีวิตของเขาเพื่อความสะดวกหรือเพื่อความดูดีในสายตาคนอื่นหรือจะอะไรก็แล้วแต่ เช่น (1) กลุ่มที่เชื่อว่าอัลกุรอานไม่สมบูรณ์ กลุ่มที่มีความเชื่อเหล่านี้ตกศาสนาไปที่เรียบร้อยด้วยกับอัลกุรอานและวจนะของท่านนบีมุฮัมมัด และยังเห็นพ้องต้องกันอีกของมุสลิมที่หลงผิดในเรื่องอื่นๆว่าหากคนหนึ่งคนใดหรือกลุ่มนึงกลุ่มใดเชื่อตามคำกล่าวหาเหล่านี้ว่า(อัลกุรอานไม่สมบูรณ์ผู้นั้นหรือกลุ่มนั้นตกศาสนา)  และ (2) ผู้ใดหรือกลุ่มใดก็ตามที่อ้างว่าเป็นมุสลิมและปฏิเสธวจนะของท่านรอซูลของอัลลอฮฺ(ซุนนะห์ , หะดีษที่ถูกต้อง) ท่านนบีผู้ที่มีบุญคุณถ่ายทอดวจนะของอัลลอฮฺและได้ทำตัวเองเป็นแบบอย่างในลู่ทางของอิสลาม ผู้นั้นตกศาสนาไปแล้วซึ่งสิ่งนี้ในกลุ่มต่างๆของโลกมุสลิมเห็นพ้วงตรงกันในเรื่องนี้ กลุ่มความเชื่อนี้มีจริงๆ คือกลุ่มอัลกุรอานียูน กลุ่มที่ปฏิเสธหะดีษท่านนบีเกือบทั้งหมดที่ไม่กินกับปัญญาตนและชอบอ้างว่าซุนนะห์ของท่านนบี คือ อัลกุรอานเท่านั้น ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มักหลงในเรื่องตรรกะ ที่เห็นชัดสุดคือแยกแยะไม่ออก เช่น อัลลอฮฺทรงบอกไว้อัลกุรอานในมุสลิมละหมาด ซึ่งมุสลิมก็ทำการละหมาดตามอัลกุรอาน แต่อัลกุรอานไม่ได้บอกท่าทางการละหมาด อัลกุรอานบอกไว้ซึ่งหลักของอิสลาม ซึ่งการละหมาดนั้นผู้ที่จะสอนได้คือท่านนบีมุฮัมมัด การละหมาดมาจากท่านนบีละหมาดไว้เป็นแบบและถูกถ่ายโดยผ่านการรายงานหะดีษ
                มุสลิมทั่วโลกเมื่อละหมาดก็อ้างอิงไปถึงหะดีษตามสายรายงานถูกต้องเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งนี้คือการละหมาดที่ถูกต้อง เช่น การวางมือ การก้ม การกราบ ไม่มีมุสลิมผู้ใดเลย ละหมาดโดยปราศจากการยึดซุนนะห์ของท่านนบี ยกเว้นพวกหลง แต่กลุ่มอัลกุรอานียูน กลุ่มนี้อ้างเสมอว่าเราไม่จำเป็นต้องเรียนหะดีษ เพราะการละหมาดสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งสมาชิกกลุ่มอัลกุรอานียูนบางคนโชคดีที่เขาเกิดในครอบครัวที่ยึดมั่นในอิสลามอย่างถูกต้อง (ยึดอัลกุรอาน,หะดีษ เป็นต้น) จึงละหมาดถูกต้องตามหลักการของอิสลามและถูกต้องตามแบบอย่างของท่านนบี มิฉะนั้นแล้วหากเขาเกิดในครอบครัวของพวกหลงผิดที่ประดิษฐ์การละหมาดตามใจ(ตามปัญญา)ของเขาเองแล้วไซร้ คงละหมาดต่างกับมุสลิมโดยทั่วไป เช่น ชีอะห์ในอิหร่านที่ละหมาดผิดแปลกมาจากมุสลิมกลุ่มอื่นๆ แบบพลิกหน้าหลัง(แถมบางกลุ่มไม่ยึดกิบละหฺเดียวกันกับมุสลิมอีก) - (ซึ่งในชีวิตนี้ผมไม่เคยเห็นคนที่อ้างว่าเป็นมุสลิมจาก กุรอานียูนละหมาดมาก่อน อาจจะนั่งขัดสมาธแล้วละหมาดก็ได้) หากพวกเขาไม่ยึดการละหมาดที่มาจากการรายงานหะดีษและละหมาดโดยใช้ปัญญาเข้าอาจจะเพิ่มเติมหรือตัดทอนท่าทางของท่านนบีที่ถูกต้องไปเองก็ได้ เพราะเขาไม่ได้ยึดซุนนะห์ของท่านนบีตั้งแต่แรก (ละหมาดตามบรรพบุรุษไม่ได้การัณตีว่าคุณละหมาดถูกตามนบี สิ่งที่ยืนยันคือการเห็นการรายงานของสาวก ยกตัวอย่างหากบรรพบุรุษคุณเข้าใจท่าทางการละหมาดผิดตั้งแต่ต้นตระกูลและไม่เอามาเทียบเคียงกับผู้อื่นและจากสายรายงานหะดีษ เขาก็จะส่งต่อการละหมาดแบบผิดๆไปตั้งแต่ตอนนั้นถึงปัจจุบัน

              อีกประการกลุ่มนี้จะมีแนวคิด กินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา คือรับศาสนามาจากท่านนบีมุฮัมมัด แต่ไม่เอาคำอธิบายคำสอนของท่านนบี ความเชื่อ หลักเตาฮีดที่มาจากรอซูลของอัลลอฮฺ และชอบอ้างท่านนบีก็คนมีผิดมีถูก (มุสลิมคนใดบ้างไม่ทราบข้อนี้ว่าท่านเป็นคนที่เคยโดนอัลลอฮฺตำหนิในเรื่องที่ไม่ตั้งใจ) แต่ ! ถ้ายึดตามข้อนี้หากศาสนทูตของอัลลอฮฺผู้ซึ่งถูกปกป้องจากบาปใหญ่ ชิริก บิดอะห์ ซีนา เป็นต้น สามารถผิดพลาดด้านความเชื่อ(โดยที่อัลลอฮฺทรงปกป้องอยู่เสมอ) แล้วคุณ(กลุ่มกุรอานียูนที่กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา) ไม่คิดบ้างเหรอว่าคุณเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีการการัณตีจากอัลลอฮฺว่าจะปกป้องจะไม่มีสิทธิ์หลง ? คนกลุ่มนี้มักเถียงกับหลักศาสนาของอัลลอฮฺซึ่งมาจากท่านนบีแบบเถียงหัวชนฝา จะเข้าแค่อัลกุรอานแต่ไม่เอาผู้รู้ หรือหลักใดๆทั้งสิ้นเพราะถือว่าท่านนบีเป็นคน 

 ซึ่งเป็นการเนรคุณอย่างมากที่ท่านนบีมุฮัมมัด เอาเตาฮีดมาสอน ให้มุสลิมรู้จักอัลลอฮฺแต่กลับเนรคุณท่านนบีแต่ก็ยังยึดละหมาดหรือหลักเชื่อบางข้อแบบท่านนบี(แต่เขาจะRemix)
 คนกลุ่มนี้ไม่เอาคำอธิบายที่เกินปัญญาเขา มักไม่เชื่อในมัวยีซาตที่เป็นสิ่งเล้นลับ(อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่อัลลอฮฺมอบให้ท่านนบีต่างๆ) แต่กลับเชื่อในสวรรค์-นรก (ซึ่งย้อนแย้งมากจะเชื่อก็เชื่อไม่หมดจะปฏิเสธก็ปฏิเสธได้ไม่สุด) และประดิษฐ์วลีโลกสวยว่า ศาสนาเป็นเรื่องของความศรัทธา เป็นเรื่องของจิตใจ แต่กลับค้านกับสิ่งที่ท่านนบีสอน งง ใน งง และจะเอาคำอธิบายที่เข้าใจกับปัญญาของเขาโดยเขาจะเอาตัวเอง(ปัจเจคบุคคล)เป็นมาตรฐานว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด และพยายามอธิบายให้เป็นวิทย์ให้ได้เพราะกลัวต่างศาสนามองว่างมงาย ในข้อเท็จจริงปัญญาของเรามีไม่เท่ากัน ความเข้าใจศาสนาก็ไม่เท่ากัน ท่านนบีไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดในตัวท่านเอง แต่ท่านมีอัลลอฮฺทรงคอยชี้แนะเพื่อให้เป็นต้นแบบของทุกคน มุสลิมผู้ที่ได้อ่านกระทู้นี้โปรดถามตัวเองว่า แปลกมั้ย ? หากรับศาสนามาจากท่านศาสนทูตแต่ไม่เชื่อตามท่านศาสนทูตและยังเคลมตนอีกว่าเป็นมุสลิมในประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัด 

ซึ่งอีกประการที่ชัดเจน คือ คนกลุ่มนี้มักอ้างใช้ปัญญาในการเข้าใจศาสนา(ซึ่งในความเป็นจริง ศาสนาไม่ได้มาจากปัญญา ปัญญาใครคือบรรทัดฐานที่จะบ่งบอกว่าถูกหรือผิดในหลักศาสนา) ชอบตีความคุณลักษณะของอัลลอฮฺด้วยกับปัญญา และยอมรับโดยอ้อมๆว่าสัจธรรมนั้นมีมากกว่าหนึ่ง เช่น คุณจะเข้าใจศาสนายังไงก็ได้ แค่ยึดอัลกุรอานไว้และทำความเข้าใจด้วยตนเอง (ไม่พึ่งพาหะดีษ ไม่พึ่งพาผู้รู้ ยกตัวเองเป็นมาตรฐาน) ซึ่งหากพิจารณาดีๆแล้ว ลองให้คนโง่เบาปัญญา เข้าใจอัลกุรอานตามปัญญาของเขาสิ คนโง่คนนั้นจะเข้าใจศาสนาเหมือนคนอื่นที่ยึดปัญญาตน(ไม่โง่)เข้าใจหรือเปล่า บางอย่างอาจจะเข้าใจตรงกัน แต่ไม่ใช่ทุกข้อแน่นอน ซึ่งเป็นการบ่งบอกโดยอ้อมๆแล้วว่า อัลกุรอานฉบับเดียวกันแต่เข้าใจต่างกันอยากถามไปยังกลุ่มนี้ว่าอะไรคือบรรทัดฐานว่าสิ่งไหนถูกหรือผิด ซึ่งในอิสลามเรายึดความเข้าใจของท่านนบีเป็นหลัก ผมขอยกตัวอย่างการเข้าใจศาสนาโดยไม่เอาผู้รู้หรือความเชื่อของท่านนบี เช่น
ในอัลกุรอานอัลลอฮฺทรงมือท่านมีพระหัตน์ ซึ่งในอัลกุรอานใช้สำนวนตรงตัวเลยว่า (มือ) พวกที่อ้างว่าเป็นมุสลิมใช้ปัญญาจะตีความเป็นอำนาจ มือ=อำนาจ ซึ่งลองคิดกลับกันสิว่าทั่วไปมาเข้าใจอัลกุรอานโดยไม่ตีความ ก็แปลว่าอัลลอฮฺทรงมีมือ(ตามความเชื่อของท่านนบีและสลัฟ) ซึ่งจะเห็นว่า ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาสิ่งความเข้าใจอัลกุรอานอย่างถูกต้องความเข้าใจของท่านนบีต่างหากที่เป็นมาตรฐาน

    คนนึงใช้ปัญญาเข้าใจอัลกุรอานแต่ประโยคดังกล่าวไม่กินกับปัญญาตนเลยต้องตีความเปลี่ยน มือเป็นอำนาจ กลับอีกคนใช้ปัญญาเหมือนกันแต่ก็เข้าใจตามอัลกุรอานบอกว่าอัลลอฮฺมีมือ (เพราะปัญญาไม่เท่ากันจึงไม่คิดลึก จึงไม่ใช่สายตีความ) เป็นการยอมรับโดยตรงเลยว่าสัจธรรมของอัลลอฮฺนั้นมีมากกว่า 1 (จะเชื่อว่ามีมือหรือไม่มีมือก็ได้ ? ซึ่งในความเป็นจริงต้องมีความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งถูกหรือผิด)  ตามมติเอกฉันท์ของบรรดาปราชญ์ต่างๆมองว่าใครเชื่อเช่นนี้หรือมีแนวคิดเช่นกลุ่มนี้ ในเรื่องปฏิเสธซุนนะห์(หะดีษ) หรือหลักเตาฮีดก็การเข้าใจศาสนาต่างจากท่านนบีและสาวก(โดยตั้งใจ) คนๆนั้นเป็นกาเฟรไม่ใช่มุสลิม (เอกฉันท์จากบรรดามุสลิมกลุ่มต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะจากสลัฟ(ที่ถูกเรียกว่าวะฮาบี)เท่านั้น 
   
เพราะฉะนั้นมุสลิมท่านใดที่กำลังอ่านเว็บบอร์ดหรือชอบมาหาความรู้ในนี้ในด้านของศาสนา โปรดพิจารณาระวังUser ของคนกลุ่มเหล่านี้ด้วยครับ ที่สร้างฟิตนะห์ให้กับมุสลิมเป็นจำนวนมาก สร้างความสับสนงงงวยในหลักศาสนาของอัลลอฮฺ ทางที่ดีควรถามผู้ที่มีความรู้ในเรื่องของศาสนาโดยตรงจะดีกว่า เพราะเราไม่สามารถบอกได้เลยว่า user ที่มาตอบคำถามจะเป็นผู้รู้จริงหรือพวกตอบตามอารม (ซึ่งผมก็ไม่ใช่ผู้รู้) ผมไม่เคยเอาตัวเองเป็นมาตรฐาน ต่างกับคนกลุ่มนี้ที่เอาปัญญา(เฉพาะของเขาด้วย)เป็นบรรทัดฐานแต่กลับไม่เอาสิ่งที่ท่านนบีนำมาบอก นำมาสอนตามสิ่งที่ท่านนบีบอกว่าถูกต้องตามลู่ทางของอัลลอฮฺ

ป.ล.อิสลามไม่ได้ห้ามเรื่องใช้ปัญญาแต่ต้องอยู่ในกรอบศาสนา มีหลายครั้งที่สามารถนำคำสอนของศาสนาหรือเรื่องราวในอดีตมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง หรือบางอย่างที่ศาสนาอนุญาติให้กระทำได้แต่เราไม่กระทำเพราะบริบทไม่อำนวยก็สามารถปรับใช้กันได้ การกินเนื้อวัวในอินเดีย อิสลามอนุญาติให้กินเนื้อวัวที่ถูกต้องตามหลักศาสนาได้ในที่แห่งใดในจักรวาลก็ได้ แต่ถ้าเราดูบริบทของสังคมโดยเอาปัญญามาใช้จะพบว่าอินเดียนั้น เชื่อว่าวัวเป็นพาหนะของเทพเจ้าของเขา หากเรากินเนื้อวัวในอินเดียทำให้เกิดความไม่พอใจได้ เพราะฉะนั้นเราจึงสมควรไม่กินเนื้อวัวในที่แห่งนั้น ถึงแม้ว่าศาสนาจะอนุญาติก็ตาม เพราะการรักษาความสงบย่อมดีกว่า **สิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐานบ่งบอกการใช้ปัญญาของมุสลิม ไม่สุดโต่งอย่างไม่ดูบริบท

**ขอพี่น้องมุสลิมร่วมกันดุอาอ์ให้กับคนเหล่านี้พบสัจธรรมในอิสลาม และขอให้ดุอาอ์แก่ตัวเราไม่ให้เราหลงออกห่างจากอัลอิสลามตามแบบฉบับท่านนบีด้วยเถิด

วัสสลาม
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่