เมื่อต้องอยู่บ้านนิ่งๆ กับ สถานการณ์โควิดในไทย

กระทู้สนทนา
- หลังจากทบทวนเรื่อง กัมมปัจจัย ใน ปัฏฐาน จบอย่างเข้าใจดีแล้ว 
- ก็มานั่งดู กระทู้ ที่ผมแปะไว้ล้วนเรื่องธรรมะ มากมายยิ่ง 
- ไม่ได้คิดอีกว่าจะต้องอะไรต่อไป เพียงแต่ตื่นขึ้นมา ก็มีหน้าที่ที่ควรทำคือ ทำความเข้าใจกับประเด็นธรรมมะที่จะทำการทบทวน ไตร่ตรองพระธรรมตามอาจารย์สอน พิจารณาที่จะนำเสนอทีละนิดทีละนิดให้คนอ่านได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ไปทีละขั้นทีละตอน จนกระทั้ง จบลงด้วยพระบาลี และคำแปลพระบาลี ความที่มีอายุย่าง 61 ปี ก็ชอบที่จะทำอะไรช้าๆให้มากขึ้น กว่าเดิมที่ปุ๊บปั๊บจะต้องได้จะต้องสำเร็จ 
- การแปะเนื้อหาพระธรรมที่มีความยากนี้ แล้วมาสาธยายให้ท่านกัลยาณมิตรที่สนใจได้สดับรับฟัง ก็ไม่คาดหมายว่า จะมีคนอ่านเลย แต่ถ้ามีคนสนใจศรัทธามีวิริยะมีความตั้งใจเหมือนกันที่จะรักษาคัมภีร์พระอภิธรรมคัมภีร์ที่3ในพระไตรปิฎกให้ยั่งยืนในตลอดที่มีชีวิตรูปรักษาในภพนี้ ขอแค่คนเดียว ก็มีกำลังใจทำให้มีความเพียรเพิ่มขึ้นมีแรงเพิ่มขึ้น จนแต่ละประเด็นยากๆ สาธยายจบลง และมีจุดหมายสั้นๆก็คือ จบสาธยายปัฏฐาน แบบทบทวนให้กับตัวเอง และเกิดประโยชน์กับกัลยาณมิตรที่มีความสนใจจะศึกษาอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แล้วก็จะไปเริ่มเรียนปฏิสัมภิทามรรคตอนที่ 30 ใหม่ ให้จบ ตอนที่ 71 และเมื่อถึงเวลาต้องสาธยายเรื่อง จิต เจตสิก รูป นิพพาน บัญญัติ ก็ถึงเวลานั้นก็อยากจะทบทวนให้กับตนเองอยู่แล้วสักครั้ง แต่ไม่คิดถึงว่าจะต้อง เป็นไปตามสมควรแก่เหตุธรรมนะครับ
- ประเด็นต่างๆ เช่น ใบไม้กำมือเดียว ฟังอาจารย์พูดถึงตอนต้นเรียนปัฏฐาน นี่แหละ กุสลาธรรมมา นี่แหละใบไม้กำมือเดียว ที่เรียนเยอะยากอยู่นี่ก็ใบไม้กำมือเดียว แค่ กุสลาธรรมมา อ้าวแล้วพวกใบไม้กำมือเดียวแบบอื่นๆหละ ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไง มันเป็นความเชื่อ ชื่อว่า มโนเอาเอง ถามไปถามมา ก็มาจากอาจารย์ เหมือนกัน แต่ผมยังมีจุดอ้างอิงเป็นหลักได้คือ ทุกสิ่งที่เรียน มีที่มาจากในพระไตรปิฎก ทั้งนั้น
- ประเด็นเรื่องกรรม ที่ว่าคนทำกรรมชั่วทำไมได้ดี เมื่อเรียนถึงตอน กัมมัสสกตาญาน ก็เข้าใจด้วยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว เช่น ในเรื่องกัมมปัจจัย ก็เข้าใจ สหชาตกัมมปัจจัย นานักขณิกกัมมปัจจัย ปกตูปนิสสยปัจจัย อนันตระปัจจัย ว่ามีอย่างไร แล้วส่งผลอย่างไร สหชาตกัมมปัจจัยใดที่รอส่งผลในชาตินี้ แต่รอแล้วส่งผลไม่ได้ ก็ตกไปเป็น อโหสิกรรมไป แต่ ด้วยสหชาตกัมมปัจจัย ที่รอส่งผลในชาติที่ 2 ไปจนถึง ชาติที่บรรลุพระนิพพาน ยังคงรอส่งผลอยู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด เมื่อเรียนเมื่อศึกษาพระธรรม ความสงสัยในเรื่องนี้ย่อมหมดไป แม้จะไม่ได้เห็นเองครบถ้วน แต่ด้วยประสบการณ์ในปวัตติกาลในภาพนี้มีตัวอย่าง และมีการได้พิจารณาไตร่ตรอง ไว้หลายตัวอย่าง เหมือน แรนด้อมแซมปลิ้ง ซึ่งมีจำนวนมากพอที่จะมีผลการวิจัยได้ว่า เป็นไปตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้โดยใช้การอนุมานเป็นหลัก นี้ก็พอได้อยู่ วิจิกิจฉา ที่มีมากมายก็ลดลงไปตั้งเยอะ มิจฉาทิฏฐิที่มีมากมายก็ลดลงไปตั้งเยอะ สีลพัตตปรามาสที่มีมากมายก็ลดลงไปตั้งเยอะแยะ สามตัวนี้หมดจดเกลี้ยงเกลาเมื่อไหร่ก็มีเฮ
- เมื่อปรารถนารักษาพระอภิธรรมไว้เท่าที่จะทำได้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ก็พึงพอใจแล้วเท่าที่จะมีเท่าที่จะทำได้
- คนก็ลำบากกันมาก ในช่วงนี้ ผมก็เคยมีช่วงเวลาที่ลำบากมากๆเหมือนกับคนที่ลำบากในช่วงนี้เหมือนกัน คือ หนี้สินมากกว่ารายรับ ตอนนั้นต้องหาเทพเทวดาเป็นที่พึ่ง อดทนกล้ำกลืนฝืนทน และอดหัวเราะไม่ได้ในความแปลกประหลาด และแล้วเมื่อมีที่พึ่งทางใจ ก็สามารถลดทีละนิด ลดความทุกข์ใจทีละนิด จนกระทั่งกลับมาเป็นปกติได้โดยใช้เวลาไม่นาน แต่พระธรรมนี่เรียนมานานแล้วตั้งแต่เด็กๆ แต่ไปหลงเชื่อพระสอนมั่วที่มีชื่อเสียงทำวัตถุมงคลขายมากมาย หลงเชื่อปุถุชนผู้แอบอ้างว่าสำเร็จทางธรรมชั้นสูงมากมาย แต่ด้วยนิสัยที่มีความศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีอัธยาศัย ในการบริจาคทานแบบหมดจดหมดกระเป๋าตังค์แบบตักบาตรพระทุกรูปที่เจอในตอนเช้าขณะกำลังบิณฑบาท แบบจ้างรถซื้อข้าวขับไปส่งข้าวให้พระในวันที่ฝนตกหนักและกลัวว่าพระจะอด ในการรักษากุศลจิตพยายามให้เกิด และพยายามไม่ให้อกุศลเกิด แต่ก็ต้านทานได้บ้างไม่ได้บ้างตามกิเลสที่สะสมไว้เยอะนะครับแต่ส่วนใหญ่จะเสร็จอกุศลจิต แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งแม้เทพเทวดาที่เหลือก็ละทิ้งแล้ว เพราะเข้าใจเรื่องกัมมัสสกตาญาน คงเหลือแต่ระลึกถึงพระคุณงามความดีของเทพเทวดา เท่านั้น แต่ไม่ไหว้แล้ว จะไหว้ก็แต่ พระภิกษุ และนึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน จะเจ้าพ่อที่ไหนๆก็ไม่ไหว้แล้ว ไหว้อย่างเดียวคือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เท่านั้น
- ยามใด ที่ได้ออกไปนอกบ้าน ด้วยการแบกเป้พเนจรบ้าง ด้วยการขับรถไปกางเต็นท์นอนในป่าในอุทยานแห่งชาติบ้าง ก็เพราะอยากลองธุดงค์ปักกลดแบบพระบ้าง ยิ่งอยู่คนเดียวในท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรในอุทยานและนั่งฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐานในตอนดึกๆแล้ว ก็รู้สึกพึงพอใจ สิ่งที่เกิดขึ้นก็เคยรู้สึกกลัวแต่เมื่อได้พิจารณาร่างกายตัวตนซึ่งมีค่าเท่ากับมดปลวกตัวเล็กๆตัวหนึ่งไม่มีคุณค่าความหมายใดแก่ใครก็ทำให้จิตสงบและสามารถนอนต่อได้อย่างมีความสุขกายสบายใจ นิสัยที่เปลี่ยนไปคือต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆ นั่งมองทิวทัศน์คนเดียว มองไปไกล นั่งรถบัสรถทัวส์รถไฟก็มองออกจากหน้าต่างไปไกลพิจารณาไตร่ตรองเรื่องราวต่างๆตามอารัมมณปัจจัย และ ปกตูปนิสสยปัจจัย
- ยามใดเมื่อมีสติมากๆ เห็น สี ก็เห็นสี ได้ยินเสียง ก็ได้ยินเสียง ได้ลิ้มรส ก็มักเผลอไผลไปเป็น อภิชฌา และ โทมนัส เสมอๆ แต่ก็ยังดีมีโยนิโสมนสิการบ้าง แต่บางครั้งก็โยนิโสไม่ติด เตลิดไปกับอารมณ์อกุศลอย่างลืมตัว แบบหมดจด แต่ในคราวหลังเมื่อมีเวลาได้สติคิดพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในแบบเล็กๆไม่สมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดเบื่อหน่าย  คลายกำหนัดในเรื่องเล็กๆนั้นได้ อย่างหมดจดสมบูรณ์ แต่เรื่องอื่นๆอีกเยอะแยะที่ยังไตร่ตรองไม่เห็นอะไรเลย ยังคงเป็น สหชาตกัมมปัจจัย ที่ทำไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นอกุศลมากกว่ากุศล 
- บางทีประเด็น อนัตตา นี่คงจะเป็นประเด็นหิวแสง จึงทำให้ปุถุชน ชอบยกมาแสดงเพื่อให้คนสนใจมากๆทั้งสนับสนุนและคัดค้าน มีทั้งถามกลับตอบกลับมีทั้งถามไปตอบมา คือผมคิดว่าเมื่อผมยังไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังไม่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองเรียนมาใช่แล้ว แต่คนอื่นเขาก็เรียนมาเขาก็ว่าใช่แล้ว แต่คนอื่นเขามโนมาเองด้วยมานะทิฏฐิว่าใช่แล้ว คือต่างคนต่างก็มีทิฏฐินะครับ เรียกว่าคนละโปรโตคอลไม่ใช่โปรโตคอลเดียวกัน เลย น่าจะไม่มีวันจะเจอกันได้ในจุดที่แต่ละท่านประสงค์ให้อีกฝ่ายหนึ่งอีกความคิดหนึ่งเข้าใจ มันก็มีสองทางเท่านั้น คือ สัมมาทิฏฐิ กับ มิจฉาทิฏฐิ เพียงแต่ว่าผมมีที่อ้างอิงเป็นหลักเป็นฐานหน่อยก็ตรงพระไตรปิฎกนี่แหละ ยิ่งเรียนด้วยสิ่งที่ว่ายากแสนยากลึกล้ำสุดลึกล้ำที่จะเข้าใจนี่แหละ ยิ่งเรียนก็ยิ่งศรัทธาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสาวก รวมทั้งนึกถึงพระคุณของพระอรรถกถาจารย์ และอาจารย์ ที่มีเมตตากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้อุตส่าห์พากเพียรค้นคว้าเพื่อแจงพระธรรมที่ยากแสนยากที่ยากจะเข้าใจให้เป็นพระธรรมที่มีช่องทางจะเข้าถึงและเข้าใจได้ทีละนิดทีละนิดและมีโอกาสจะเข้าใจอย่างหมดจดในกาลต่อต่อไป
- อ้าวพออ้างก็ต่างคนต่างอ้างจากพระไตรปิฎก บางสำนัก จาก ทวิปิฎก  หนักเข้าก็เป็นอาตมาปิฎก แต่อย่างไรก็ตามผมก็อ้างอาจารย์ อาจารย์ก็อ้างอิงอรรถกถา ผมก็ตามไปอ่านอรรถกถาไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เมื่ออาจารย์สอนแล้วไปอ่านอรรถกถาก็พอจะมีเงาๆที่อาจารย์สอนในอรรถกถา แล้วก็ไปอ่านพระบาลีพร้อมคำแปลในพระไตรปิฎก ก็ยังอุ่นใจหน่อยว่าไม่หลงทางนะแบบที่เขาชอบต่อว่าว่าเป็นเถรใบลานเปล่า
-มาเจอคนว่าผมว่าเป็นพวกงูพิษ ว่าไปว่ามาลืมดูตนเองว่าเป็นงูพิษหรือเปล่า แต่ก็ทำให้ได้สตินะ เมื่อโกรธก็รู้ว่าโกรธ ตามรู้ความโกรธนั้นด้วยสติ จนกระทั่งสติเกิดตั้งมั่นขึ้น เหมือนกับเด็กคนหนึ่งพ่อแม่ถามว่าที่โรงเรียนมีเด็กเกเรหรือเปล่า เด็กคนนั้นตอบว่าไม่มีเลยครับ พอสองสามวันผ่านไปโรงเรียนส่งจดหมายเรียกผู้ปกครองคนนั้นไปพบครูเพื่อช่วยแก้ไขลูกตนเองเกกมะเหรกเกเรลูกชาวบ้านคนอื่น เป็นต้น
-มาเจอพวกต่อว่า ว่าเป็นพวกเถรใบลานเปล่า พวกอภิธรรม ก็ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะก็ยังไม่เห็นพระนิพพานจริงอย่างเขาว่า ก็ได้แต่พิจารณาตามรู้โทสะ ใจจริงอยากจะตามไปกระทืบที่บ้านคนด่าเลย เพราะเกิดมาก็โทสะแรงจัดจ็ดอยู่แล้ว แต่มาดีขึ้นตอนศึกษาพระธรรมนี่แหละ คือแค่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเป็นเพราะความแก่ด้วยมั๊งจึงไม่เกรียนตามอารมณ์ที่กระทบนั้นๆ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า ในกาลต่อไปเมื่อผ่าน 2500 ปีไปแล้วคนก็จะฆ่ากันอย่างง่ายๆมากขึ้น ส่วนผมบังเอิญรักษาศีล รักษากายวาจาไม่ให้เกลื่อนกล่น ด้วยการสังวรกายวาจาใจ ระมัดระวังไม่ให้กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นอกุศลแล้วไปเกิดจิตตชรูปที่เป็น อปุญญาภิสังขาร เป็น สหชาตกัมมปัจจัย รอการส่งผลในชาตินี้ของชวนะดวงที่ 1 ชาติที่สองของชวนะดวงที่ 7 และชาติ 3 จนถึงชาติที่จะบรรลุพระนิพพาน ของชวนะจิตดวงที่ 2 ถึง 6 เมื่อพิจารณาแล้วก็สบายใจที่ไม่ได้มีกายทุจริตออกไป วาจาทุจริตออกไปไม่งั้นก็ต้องมีคนมากระทืบผมที่บ้านเหมือนกัน คิดแล้วก็ค่อยยังชั่วหน่อย ระมัดระวังกายวาจาไว้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย
- นึกได้ว่าเมื่อก่อนเราก็ตั้งกระทู้โง่ๆขึ้นมาเยอะเหมือนกันนะ คือยังมีโลภะ โทสะ โมหะ โง่ในภาษาพระธรรมนะครับ ดังนั้นไม่แปลกใจ ไม่ต้องแปลกใจก็ได้ เมื่อไม่เรียนพระธรรมให้จริงจังอย่างที่เชื่อได้อย่างแน่นอนว่าถูกต้องมีหลักมีฐาน ตราบนั้นก็ยังมีคำถามของตนที่แสดงความโง่ทางธรรมออกมาปรากฏต่อสาธารณชน ก็ไม่ใช่ว่าจะผมจะไม่มีกระทู้โง่ๆเพราะตราบใดที่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่หมดจดสมบูรณ์ตราบนั้นก็ยังมีโง่แบบละเอียดๆโง่แบบหยาบๆอยู่ตราบนั้น
- ชื่นชมพวกท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายที่ช่วยกันแก้ไขมิจฉาทิฏฐิบุคคลซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนเดิมๆเปลี่ยนล๊อคอินใหม่ได้กระทู้เดียวไม่ต้องไปค้นไอพีแอดเดรสก็มั่นใจเลยว่าคนเดมมุกเดิมพอโทสะเกิดก็เห็นชัด ผมก็พยายามตามไปให้กำลังใจนะครับ เพราะบางคำถามเป็นคำถามที่ยาก แต่ท่านก็ไปตอบเขาได้อย่างดีอย่างน่าชื่นชมจนผมอดทึ่งไม่ได้ เพราะผมก็อยากรุ้ว่าท่านกัลยาณมิตรที่มีความรู้มากมายหลายๆท่านจะตอบเขาอย่างไร จะได้จำเอาไว้แก้ไขตอนพวกปริพาชกมิจฉาทิฏฐิพวกนั้นตั้งคำถาม ที่จำเป็นจะต้องเข้าไปแก้ เพื่อไม่ให้ปุถุชนคนอื่นเห็นผิดตามมากมายจนรับมือไม่ไหวนะครับ พวกนี้ที่ตั้งคำถามโง่ๆนี้น่าจะเป็นพวก นิยตมิจฉาทิฏฐิเวทนียกรรม พ้นจากชาตินี้แล้วคงไปไกลจากพระพุทธศาสนา รวมถึงอลัชชีชอบกล่าวตู่คำของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นตัวแบบอย่างที่ดีของพวกตั้งกระทู้โง่ๆจำเอาคำพูดของพวกอลัชชีเหล่านี้มาแล้วมาต่อด้วยมโนเองอย่างหมดจดได้อย่างไม่รู้ตัว พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสแล้วครับว่า บางพวกก็ไม่มีอัธยาศัย มีแต่มานะทิษฐิที่หนาแน่นเกินกว่าจะเยียวยา แต่อย่างไรก็ตามครับ เหมือนผมเมื่อก่อนก็มีความคิดเห็นผิดๆอย่างนี้ แต่ด้วยความศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เหมือนกันก็จะมีสักวันที่จะเห็นทางถูก ทางผิดครับ
- เขาก็ว่าทางเขาถูก เราก็ว่าทางเราถูก ตกลงถูกทุกข้อ  อันนี้เมื่อได้ดวงตาเห็นธรรมเมื่อไหร่ ฝ่ายไหนเห็นก่อนก็ฝ่ายนั้นแหละครับ ถูก ตอนนี้เป็นกลางๆไว้ก่อนเผื่อไว้ 
- ก็คุยสนุกๆบ้างนะครับ ถ้าโกรธ ก็ตามรู้ความโกรธไป นะครับถือว่าเป็นการฝึก ตามรู้ทุกข์นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่