เชฟไทยไกลบ้าน ประสบการณ์การทำงานร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน รู้กลโกง ตอนที่ 7

สวัสดีครับกลับมาอีกแล้ว  ตอนที่ 7

ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2

ตอนที่ 5 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40562382

ตอนที่ 6 
https://pantip.com/topic/40570508/comment2-1


ตอนที่ 7

             ต่อจากตอนที่แล้ว เรื่องของเจ้าของร้านใหม่ ด้วยเหตุที่ว่า การเป็นเจ้าของร้านต้องมีความรับผิดชอบให้มากกว่าคนที่เป็นลูกจ้าง แต่เขาเห็นว่าเราสองคน เคยเป็นเจ้าของร้านนี้มาก่อน เราก็จะมีความรักและผูกพันกับร้านนี้มาก เราก็จะทำทุกๆอย่างเหมือนเดิม เขาเลยเหมือนกับว่าไว้วางใจเรามากและประกอบกับทิ้งอะไรหลายๆอย่างให้เรารับผิดชอบอีกเยอะ และบ้านเราก็อยู่ใกล้กลับร้านอีกด้วย การที่จะเดินไปที่ร้านก็เป็นเรื่องสะดวก เวลาร้านปิดหรือที่ร้านจะต้องไปเอาของแช่แข็งหรือเตรียมอาหารเพื่อจะขายในวันต่อไป เราสองคนก็จะเข้าไปทำเอง ซึ่งเราก็ทำแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เป็นเจ้าของร้านจนถึงเป็นลูกจ้างเลย การไว้วางใจมันก็จะเกิดขึ้น ซึ่งพี่ๆที่สนิทกันเขาก็จะเตือนว่า อย่าไปทำให้เขาเกินไป มิฉะนั้นเราก็จะโดนเขาเอาเปรียบเหมือนเดิม โดยที่ตัวเราเองก็ไม่คิดอะไร เวลาที่เราสามารถทำอะไรเพื่อร้านได้ เราก็จะเต็มที่กับมัน 
          และอีกประการหนึ่งคือว่า เราก็คิดถึงเจ้าของใหม่ว่า เขาอุตส่าห์มาซื้อร้านต่อจากเจ้าของเดิม แล้วทำให้เราหลุดออกมาจากขุมนรกนั้น กและเราก็สบายใจขึ้น โดยที่เราไม่คิดอะไรมาก เราสองคนก็จะปฎิบัติเหมือนเดิม ซึ่งเราสัญญาว่าเราจะทำเหมือนเดิม แต่ก็แค่อย่าลืมหนี้เก่าของเราที่เจ้าของเดิมโอนมาให้ อย่าลืมจ่ายเราเมื่อคุณพร้อมก็แค่นั้นแหละ มีบุญคุณกับเรา เราก็จะตอบแทนให้ก็เป็นวิถีคนไทยที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน 

           การทำงานก็ผ่านมาอีก 1 ปีกว่าๆ เจ้าของใหม่ก็เริ่มจะมีปัญหาครอบครัว สามีก็จะมาตกงาน ความเครียดก็เข้ามารุมเร้า ไหนจะเรื่องลูกอีก ส่วนเราสองคนก็ทำงานตามปกติ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ ที่เราไม่อยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอยอีก เรื่องก็มีอยู่ว่า

           * เจ้าของใหม่มีความคิดว่าจะขายร้านอาหารอีกแล้ว เพราะว่ามีคนไทยอีกคนหนึ่ง อยากจะมีร้านอาหาร และก็สนิทกับเราสองคน เห็นเราทำงานมาตลอด และคิดว่าอยากให้เราสองคน ทำงานด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะไปเปิดร้านหรือไปเซ้งร้านที่ไหนดี แต่พอดีเขาลองมาถามร้านนี้ ร้านนี้เขาก็มีความคิดว่าเขาอยากขายร้าน เลยปรึกษากันว่า จะขายร้านและอยากจะโอนย้ายเราสองคนให้ทำงานต่อ และโอนยอดหนี้ที่เป็นภาระมาจากเจ้าของคนแรกให้กับคนใหม่ต่อไปอีก ซึ่งเราสองคนไม่เห็นด้วยว่า ทำไมคนซื้อคนใหม่จะต้องเป็นภาระต่อไปอีก  เราสองคนเลยบอกไปว่าให้ซื้อตามราคาที่รับได้ แล้วก็ให้เขาจ่ายหนี้เรามาเลย และให้เขาขายในราคาของร้านจริงๆ ไม่ต้องมีอะไรแอบแฝง และอยากให้น้องคนใหม่ซื้อในราคาที่เหมาะสม แต่ถ้าเขาโก่งราคาเกินไป เราก็ไม่อยากให้เขาซื้อ เพราะเราอยู่ร้านนี้ เรารู้ว่าราคาสมควรจะเท่าไหร่ และของอุปกรณ์ของร้าน ก็โดนเจ้าของร้านแรก ย้อมแมวขายมาตั้งแต่แรกแล้ว คือพวกเครื่ีองครัว เตา ต็เย็น เป็นของเก่าทั้งหมด ไม่มีอะไรซื้อใหม่เลย เสื่อมสภาพทั้งหมด  แต่น้องคนใหม่ก็อยากได้ร้านนี้มาก เพราะว่ายังไงก็ขายดีอยู่แล้ว เราก็ไม่อยากให้น้องที่สนิทกับเราโดนเอาเปรียบ สุดท้ายก็อยากได้อยู่ดี 

           *หลังจากนั้น พอถึงวันที่จะต้องวางเงินกัน จัดเตรียมนับของสะต้อกทั้งหมดแล้ว จดว่ามีอะไรบ้าน น้องเตรียมเงินมาวาง พอถึงเวลาที่นัดกัน เจ้าของร้านโทรไปบอกว่า เขาไม่ขายแล้ว ทุกคนกฅ็งง แล้วก็ตกใจกันไปหมด น้องที่จะฃื้อร้านก็โทรมาร้องไห้ร้อมห่ม เพราะว่าทำเรื่องทุกอย่างไว้หมดแล้ว เตรียมเอกสาร จ้างคนทำเอกสารสัญญา และเตรียมอะไรหลายๆอย่างไว้ทั้งหมด น้องเขาเสียใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับว่าเสียดาย ผมคิดว่านะครับ สุดท้ายก็ไม่ได้ขาย ส่วนผมสองคนก็ทำงานกันต่อไป 

           *หลังจากนั้น เจ้าของร้านก็ให้ผมสองคนทำงานต่อ โดยเขาอยากจะพัฒนาร้านให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งฐานะการเงินเขาก็ถดถอย เพราะว่าปัญหาครอบครัวของเขา เขาเลยบอกผมสองคนว่า เขาจะไปขอให้พี่สาวเขาที่เมืองไทยมาช่วยลงทุนเพิ่มให้ ซึ่งผมสองคนก็คิดว่าก็ดีนะ เพราะร้านมันไปได้อยู่แล้ว เราสองคนก็คุยกับพี่สาวเขา และพี่สาวสเขาก็อยากจะมาเห็นร้านด้วยตัวของเขาเอง เขาเลยเดินทางมาสวีเดน ซึ่งเขาก็คุยกับเราสองคนว่าเขาไม่ลืมนะ เรื่องเงินที่เป็นหนี้ค้างเรา อีก 75,000 โครน เขาจะพยายามคืนให้  เราก็บอกเขาว่าเอาที่สะดวกเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งเราก็คิดว่ายังไงเราก็ยังทำงานอยู่ที่นี่ จนพี่สาวเขากลับไปเมืองไทย เราก็คุยกับพี่สาวเขาตลอด และอีกไม่กี่เดือนเราไปเมืองไทย เราก็แวะไปหาพี่สาวเขา ซึ่งเราสองคนก็คิดว่าพี่สาวเขาคุยแล้วสบายใจเพราะว่ารู้เรื่องปัญหาและการทำงานโดยเข้าใจตรงกันทุกอย่าง 

         
         (เวลาใครมาจัดงานที่ร้าน เราก็จะมีพวกแกะสลักพิเศษให้ลูกค้าด้วย)

          * หลังจากเรากลับมาจากเมืองไทย แล้วก็ทำงานต่อ เราสองคนก็จะแช๊ดคุยกับพี่สาวเขาตลอด ผ่านไปอีกหลายเดือน ปัญหาครอบครัวของเจ้าของร้านก็รุมเร้า แต่เราก็ไม่คิดว่ามันจะทำให้เขาคิดมากและเก็บสะสมไว้คนเดียว ซึ่งเขาจะแสดงออก ให้คนอื่นเห็นว่าไม่มีอะไร แต่เราสองคนทำงานอยู่ด้วยกันกับเขาเราก็จะรู้เรื่องมาตลอด 
           * เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ซึ่งเราสองคนไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น คือ หลังจากที่เราทำงานเสร็จในคืนนั้น เราสองคนก็เป็นคนปิดร้านคนสุดท้าย แล้วก็กลับบ้าน อาบน้ำ พักผ่อน ดูทีวี เราก็ไม่คิดอยากจะคุยกับใคร เพื่อที่จะนอนต่อไป เพราะดึกแล้ว เช้าวันต่อมาเราสองคนก็ตื่นเช้ามาทำงานปกติ เพื่อมาถึงที่ทำงานในเวลา 7 โมงเช้า ทำงานไปจนถึงเวลา 9 โมงเช้า สามีเจ้าของร้านโทรศัพท์มาหาผม บอกว่าเมียเขากินยานอนหลับไปเยอะมาก ประมาณ 30 เม็ด ตั้งแต่ 3 ทุ่มเมื่อคืน สามีเขาถามผมว่าเมื่อคืนคุณโทรคุยอะไรกับเมียของฉัน ผมตอบกลับไปว่า ผมกลับไปไม่ได้คุยอะไรกับใครเลย แต่เขาบอกว่าเขาเห็นเมียเขาโทรคุยกับใครก็ไม่รู้ ความจริงแล้วถ้าสามีเขาฉลาด เขาจะต้องเช็คเบอร์โทรศัพท์ได้ว่า เมียเขาโทรไปเบอร์อะไร ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เบอร์ของผมสองคน ตอนนั้นทุกคนในร้านตกใจ ทำอะไรไม่ถูก สามีเขาโทรเรียกรถฉุกเฉินให้ไปรับเมียเขาที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา 9 โมงเช้ากว่าๆแล้ว ตอนนั้น เราสองคนไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป เพื่อที่จะต้องเปิดร้านเตรียมรับลูกค้าที่จะเข้ามาตอนเที่ยง
           * พอช่วงบ่ายของวันนั้น เราก็ได้รับข่าวดีว่า เจ้าของร้านปลอดภัย คนไทยที่อยู่แถวนั้นก็มาแวะที่ร้าน ถามไถ่กันว่าเป็นยังไง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าคืนนั้น เจ้าของร้านโทรคุยกับใคร แต่ก็มีผู้น่าสงสัยอยู่คนนึง ซึ่งเป็นคนไทยที่ไปมาหาสู่ที่ร้านเป็นประจำ และสนิทกับเจ้าของร้าน ซึ่งทำท่าทีแปลกๆ และก็ร้อนรน แต่เราก็แค่สังเกตเฉยๆ และไม่ได้คิดอะไรตอนนั้น ซึ่งเราก็ต้องทำงานกันต่อไป และก็ได้รับรู้ว่าเจ้าของร้านปลอดภัยแล้ว 
          * แต่ที่เราสันนิฐานกันว่า สามีเขาบอกว่าเมียเขากินยานอนหลับไป 30 เม็ด ตั้งแต่สามทุ่มเมื่อคืน แล้วตอนเช้าเขามาเห็นเมียเขามาอาเจียนออกมาตอน 9 โมงเช้า และยังมีสติอยู่ เป็นที่สงสัยของทุกคนว่า ถ้าคนที่กินยานอนหลับเข้าไปขนาดนี้แล้ว ทำไมไม่เกิดอะไรขึ้นหลังจากยาออกฤทธิ์ในไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่ทำไมมาอาเจียนตอนเช้าแทน ซึ่งเราก็แปลกใจมากมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ที่แน่ๆ สามีเขาโทษผมสองคน หาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เมียเขา กินยานอนหลับ ซึ่งเราสองคนก็มีพยานว่าคืนนั้นเราไม่ได้โทรหาใครจริงๆ และสามารถดูในโทรศัพท์เราได้ว่าไม่มีเบอร์ของเจ้าของร้าน แต่สามีเขาก็ไม่สามารถเอาโทรศัพท์ของภรรยาเขามายืนยันกับเราหรือให้คนอื่นดูได้ว่า ภรรยาของเขาโทรหาเราจริง ซึ่งเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ 
          * ตอนนั้นผมสองคนเสียใจมาก ที่สามีเจ้าของร้าน หาว่าผมสองคนเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ ซึ่งคนไทยคนที่เราสงสัยว่าโทรคุยกับเจ้าของร้านก็หายตัวไปหลายวัน จนเขาเข้ามาที่ร้าน เราสองคนก็ไม่สบายใจ เราเลยถามเขาไปตรงๆว่า เมื่อคืนวันเกิดเหตุเขาคุยอะไรกับเจ้าของร้าน แต่เขาไม่ตอนบ แล้วก็รีบออกจากร้านไป หลังจากวันนั้นผู้หญิงคนนี้ไม่เข้ามาที่ร้านอีกเลย ทั้งๆที่รู้จักและสนิทกัน ไม่มีใครู้ได้เลย ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าของร้านตัวต้นเหตุเองก็ปิดปากเงียบไม่พูดอะไรเลย ทำให้เราสองคนรู้สึกไม่สบายใจ และสามีเขาก็จำฝังใจ โดยไปเล่าให้คนไทยและคนสวีเดนฟัง ในเรื่องที่เขาหาว่าผมสองคนเป็นต้นเหตุที่ทำให้ภรรยาเขาต้องทำแบบนี้ 

          * ตอนนี้หลายๆเรื่องถาโถมเข้ามามาก ทำให้ผมสองคนคิดจะทำอะไรสักอย่าง และผมสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ก็มีคนไทยที่เป็นผู้ใหญ่ที่นี่หลายคน ที่เชื่อในตัวผมสองคน ว่าเราไม่มีเหตุอะไรที่จะทำให้เขาคิดแบบนี้ เพราะทุกคนก็เห็นว่าเขามีปัญหาส่วนตัวเยอะ ยังไงผมสองคนก็ดีใจที่มีคนที่ให้กำลังใจเราสองคนเยอะ และเห็นว่าเราก็ทำดีที่สุดแล้ว

          * เหตุการณ์จะดำเนินต่อไปยังไง และวิบากกรรมของผมสองคนจะเป็นยังไง เดี๋ยวผมขอไปเรียบเรียงก่อนนะครับ เพราะผ่านมาหลายปีแล้ว และจะกลับมาเล่าต่อนะครับ 

         ขอบคุณมากนนะครับที่หลายๆคนส่งข้อความเป็นกำลังใจให้ผมสองคน และตอนนี้มันผ่านมาได้ถึง ณ ปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่มันเป็นความทรงจำที่อยากจะลืม แต่ก็ลืมไม่ลงจริงๆ ผมจึงอยากให้ประสบการณ์นี้อาจจะเป็นประโยชน์กับคนบางคนที่กำลังจะตัดสินใจมาอยู่ต่างประเทศ หรือทำกิจการอะไรที่เมืองไทยว่า อย่างไว้ใจคนมาก และทำอะไรควรที่จะมีหลักฐานไว้เสมอนะครับ

ดอกไม้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่