สวัสดีครับกลับมาอีกแล้ว
ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2
ตอนที่ 5 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40562382
ตอนที่ 6
* จากนี้เราทั้งสองคนก็ได้เป็นลูกจ้างเต็มตัว จากการเป็นเจ้าของก่อนหน้านั้น ทั้งสองคนก็กลายเป็นพ่อครัว แต่เราก็ยังมีเงินที่เจ้าของเก่าเขาโอนเงิน 75,000 โครน ให้กับเจ้าของใหม่ ซึ่งเป็นเงินคืนจากเจ้าของเก่า เพื่อให้เจ้าของใหม่จ่ายให้เรา เมื่อไหร่ก็ได้
* พอเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ก็เริ่มที่จะทำอะไรที่พัฒนาขึ้น เรื่องอาหารที่เพิ่มขึ้น ความหลากหลายของอาหารที่เพิ่มขึ้น และจัดกิจกรรมที่มากขึ้น เนื่องจากร้านมีพื้นที่รองรับคนได้ประมาณ 100 คน จึงมีสถานที่กว้างพอสมควร ช่วงวันเสาร์สิ้นเดือนก็จะมีการจัดบุฟเฟ่ต์กลางคืน เพื่อคนไทยและชาวต่างชาติมารับประทานอาหารและดื่ม ในช่วงเงินเดือนออก การรับจัดงานวันเกิด และมีการจัดงานในช่วงเทศกาลต่างๆ ของเมืองไทย อาทิเช่น เทศกาลสงกรานต์ วันลอยกระทง เป็นต้น เนื่องด้วยเราทั้งสองคน เมื่อสมัยอยู่เมืองไทย ทำงานด้านการตลาดและอีเว้นท์มาก่อน จึงมีความรู้ในเรื่องพวกการจัดงานต่างๆ และชอบที่จะทำตกแต่งร้านให้สวยงามในช่วงเทศกาลนั้นๆ จึงคิดว่าเวลามีงานเทศกาล น่าจะจัดงานให้คนไทยและต่างชาติได้เห็นวัฒนธรรมของไทย จึงปรึกษากันระหว่างคนไทยด้วยกัน ที่เป็นคุณครูสอนรำไทย ให้สอนให้กับเด็กๆ ลูกของคนไทย ให้มาทำกิจกรรม รำฟ้อนในงาน จัดตกแต่งเวที และบรรยากาศให้เหมือนกับนั่งทานอาหารอยู่ที่เมืองไทยเลย ร้านก็ดำเนินไปด้วยดีในช่วงเวลานั้น เป็นที่สังสรรค์ชุมนุมของคนไทย ในเวลาว่างหลังเลิกงาน ก็จะแวะไปมาหาสู่กัน โดยมีร้านอาหารเป็นจุดศูนย์กลาง
* ส่วนเจ้าของเดิม หลังจากที่ขายร้านให้กับเจ้าของใหม่ ก็เอาเงินที่ขายได้ ไปเปิดร้านใหม่ ซึ่งห่างจากร้านเดิมประมาณ 100 เมตรเท่านั้น ขายอาหารไทยเหมือนกัน แต่เขาขายร้านเก่าไปแล้ว แต่ทำไมคนคนนี้ไม่จบ นิสัยอาฆาดแค้นซึ่งเป็นนิสัยที่ติดตัวของเขาอยู่ เพราะว่าเขาคิดว่าเราสองคนรู้เรื่องการโกงของเขามาเยอะมาก ก็คือรู้จากคนที่เคยมาอยู่สวีเดนก่อนเราที่เป็นชาวบ้านแถวนั้น และอีกข้อมูลหนึ่งก็คือ คนที่อยู่เมืองไทย ที่เราพอจะรู้จักจากคนที่เคยมาสวีเดนแล้วกลับไป เขาเล่าให้ฟังว่า ร้านที่เรามาเป็นหุ้นส่วนในครั้งแรกนี้ มีคนมาเป็นหุ้นส่วนหลายรายแล้ว และก็กลับไปอยู่เมืองไทยมือเปล่า ด้วยการที่เขากระทำกับทุกๆคนที่มาเป็นหุ้นกับเขา เหมือนกับที่เราสองคนโดนมา แต่ตอนนั้นเราไม่สืบค้นหาข้อมูลก่อนเท่านั้นเอง บางคนเก็บเงินทั้งชีวิตเพื่อที่จะมาทำร้านอาหารกับเขา ลาออกจากงานมา เอาเงินเก็บมา เพื่อมาลงทุน อยู่ได้ไม่นานก็ต้องกลับไปตัวเปล่า เพราะว่าเขาทำกับคนอื่นกลายเป็นความเคยชิน ไม่คิดถึงบุญบาป แต่แค่เอาธรรมมะมาบังหน้าแค่นั้น แค่เรารู้จากคนแถววนั้นที่เขากล่าวขานกันมา เราก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ตอนนั้นทำไมเราไม่คิดที่จะกล้าออกมาคุยกับคนอื่นๆที่เขาต้องการจะคุยกับเรา ก็คือด้วยเหตุผลของเจ้าของเก่าบอกว่าอย่าคบกับคนไทยแค่นั้นเอง เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรที่เกียวกับเบื้อหลังเขาเลย คือแค่ความไว้วางใจก็แค่นั้น ที่เราคิดว่าพอแล้ว เพราะเขามีอีกมุมมืดของเขานั่นเอง
* ความที่เป็นมุมมืดของเขา ซึ่งเขาทนงตัวว่า เขามาอยู่สวีเดนมานาน และรู้จักคนเยอะ ประสบการณ์ก็เยอะ เขาก็จะสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสู้เขาได้ เขาเลยคิดไม่ดีกับเจ้าของใหม่ และเราทั้งสองคนก็ยังสามารถอยู่สวีเดนต่อได้ เพราะส่วนใหญ่คนที่มาหุ้นเขากับจะอยู่ต่อไม่ได้ ก็จะกลับไปไทย แต่เราทั่งสองคนยังสามารถอยู่ต่อได้ เขาเลยแค้นที่ยังเห็นเราอยู่ที่ตรงนี้ มีหลายเหตุการณ์ที่เขากลั่นแกล้ง คือบางวันก็ให้คนไปเอาป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่ข้างอาคารออก เอาไปทิ้ง ซึ่งเขาขายออกมาแล้ว เขาไม่สามารถทำได้ เที่ยวไปบอกว่าเราสองคนโกงเงินเขา เขาเลยต้องมาเปิดร้านใหม่ มีอยู่วันหนึ่งจะมีการจัดทำบุญเลี้ยงพระเพล พวกเราก็จะมาจัดเตรียมอาหารช่วงเช้า เขาก็ให้คนเอากาวมาหยอดที่รูกุญแจหลังร้านซึ่งเป็นทางเข้าครัว ไม่ให้เราไขกุญแจเข้าร้านได้ พวกเราก็เลยต้องไปงัดประตู้หน้าร้านเพื่อเข้าร้านแทน ซึ่งเขารู้ว่าเป็นการทำบุญแท้ๆ เขายังกล้าทำ ทุกคนก็งงกันว่า เขาทำไปได้ยังไง เป็นคนธรรมดาทั่วไปเขาก็ไม่มีใครทำกัน
* เรื่องต่อไปคือ มีจดหมายไม่มีชื่อผู้ส่ง มาถึงที่บ้าน พอเราเปิดดูจดหมายในซอง ก็ต้องอึ้งไปเลย เพราะข้างในเขียนเป็นภาษาสวีเดนไว้ว่า *ลาก่อน พวกสองคน จะไม่ได้อยู่สวีเดนอีกต่อไป - เนื่องจากว่า เขาทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เราสองคนอยู่สวีเดนต่อไป และช่วงนั้นเราสองคนก็ต้องเปลี่ยนสถานะของวีซ่าของเราด้วย ตอนนั้นก็อยู่ในช่วงตัดสิ้นของ ตม ของทางสวีเดนด้วย ก็คือเขาส่งเรื่องไปที่ ตม สวีเดน แจ้งเรื่องเราสองคน กล่าวหาว่าเราสองคนมาลงทุน แล้วก็โกงเขา และก็ร้านไม่ประสบความสำเร็จ อะไรประมาณนี้ เขาพยายามบล็อกเราทุกอย่าง เพื่อที่จะไม่ให้เราอยู่ต่อได้ เขาร้ายมากกับทุกๆคนที่เขาไม่ชอบ ซึ่งเราเคยโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับน้องสาวเขาฟัง ซึ่งน้องสาวเขาเป็นเพื่อนกับเรา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่เชื่อเราเลย เขาเชื่อแต่พี่สาวของเขา ทั้งๆที่เรามีหลักฐาน เขาก็ไม่เชื่อ เราก็เลยถือว่า เขาเป็นพี่น้องกัน เขาก็ต้องเชื่อกันอยู่ดี หลังจากนั้นก็เลิกคบกันไปเลย
* ส่วนเจ้าของใหม่ ก็อยากที่จะมีกิจการร้านนวดด้วย ก็เลยเปิดร้านนวดที่อยู่ใกล้กับร้านอาหาร เราทั้งสองคนก็ไปช่วยกันตกแต่งร้าน ออกแบบโลโก้ให้เสร็จเรียบร้อย กิจการก็เริ่มดีขึ้น ก็มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ดีๆตื่นเช้ามากระจกหน้าร้านก็แตก ซึ่งคืนนั่นมีคนเห็นรถมาจอดแถวหน้าร้าน แล้วเสียงดังโครม แล้วก็ขับออกไป ซึ่งเขาจำรถได้ พวกเราก็ไปดูว่ารถคันนี้จอดอยู่ที่ไหน ไปเจอที่หน้าบ้านของเจ้าของรถคันนั้น ก็คือ รถของสามีเก่าของเขานั่นเอง ที่เป็นคนสวีเดน และเป็นคนคนแถวนั้นไม่อยากยุ่งด้วย เพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบสร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่น ซึ่งตำรวจประเทศนี้ พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่เป็นที่รู้กัน คือถ้าไม่มีรูปถ่ายตอนกระทำผิดชัดเจน ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้
* ที่เจ้าของเก่าทำแบบนี้ก็คือ เจ้าของเก่าก็มีร้านนวดเหมือนกัน เขาก็เลยทำอะไรก็ได้กับคู่แข่ง เหมือนกับที่เขาทำกับร้านอาหาร กลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเขาที่เขาทำกับคนอื่น ไม่เกรงกลัวต่อบาป ซึ่งพนักงานร้านนวดของเขา ก็เป็นคนนวดที่มาจากเมืองไทยที่น้องสาวส่งมาจากเมืองไทย 1 คน แล้วก็ญาติเขามาทำอีก 1 คน สุดท้ายญาติเขาก็ต้องมาอาศัยอยู่กับเราสองคน เพราะว่าเขาจะไม่ต่อสัญญาให้ทำงานต่อ เขาหาว่าญาติเขาเอาเรื่องเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง คือว่าเขากลัว เบื้องหลังเขาจะถูกเปิดเผยออกมา ว่าเขาเคยเป็นอะไร ทำอะไรมาก่อน ก่อนที่เขาจะมาอยู่สวีเดน จนญาติเขาก็เลยต้องเดินทางกลับไทย จนมีคนใหม่มาทำงานแทน มาจากเมืองไทยเหมือนกัน แต่ก็อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน แต่ผู้หญิงคนใหม่นี้เขาไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มเหงเขา เขาเลยไปร้องเรียนที่สหภาพแรงงานของสวีเดน ทางสหภาพเลยเข้ามาตรวจสอบ เลยพบว่ามีการกระทำผิด เลี่ยงการจ่ายเงินเดือน และภาษี ทางสหภาพเลยเอาผิด เจ้าของร้านเลยต้องจ่ายค่าชั่วโมงการทำงานคืน ทั้งหมด ซึ่งมีคนเก่าอยู่มานานก่อนหน้านี้ เจ้าของเลยต้องจ่ายย้อนหลังเป็นปีเลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่เขาทำกับคนอื่นไว้ เวรกรรมเลยย้อนกลับมา อย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องร้านอาหารของเขา ก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ลูกค้าค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ พยายามพยุงตัวเอง โดยหาหุ้นมาจากเมืองไทยมาอีกคน ก็เร่ิมกลับมามีทุนทำอะไรต่อไปอีก
* ช่วงที่เราสองคนมาทำกับเจ้าของใหม่ เราก็เริ่มที่จะมีเงินเดือน แต่ก็ไม่มาก เหมือนจะช่วยๆกันไปก่อน เพราะว่าเขาก็เพิ่งจะเอาเงินไปซื้อร้านมา และยอดหนี้ของเราที่เจ้าของเก่าโยนมาให้อีก เราก็เลยพอที่จะเข้าใจหัวอกเขา ก็ดำเนินกิจการไปเรื่อยๆ และก็มีเรื่องกวนใจจากเจ้าของเดิมมาเป็นระยะๆ แต่ก็เหมือนกับความเคยชิน
* ต่อไป การที่คนเราจะมาเป็นเจ้าของร้านอาหาร แล้วไม่มีประสบการณ์ ก็จะมีอะไรหลายๆอย่างที่มากวนใจ อาทิเช่นการทำอาหารไม่เป็น การบริหารงาน อีกเรื่องภายในครอบครับ สามี และลูก ปัญหาจะมีมาเรื่อยๆ จะมาเล่าในตอนต่อไปว่าปัญหาและการเปลี่ยนแปลงก็จะเริ่มมาอีกแล้ว ซึ่งเราก็เป็นแค่ลูกจ้างนะ แต่เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็จะให้เราสองคนรับผิดชอบงานทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ ยังไงจะมาเล่าต่อในตอนต่อไปนะครับ
****ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ นี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัว และสำหรับคนที่สนใจที่จะอยากเอาไปประกอบการตัดสินใจในการที่จะเดินทางไปต่างประเทศหรือการไว้วางใจคนอื่นที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี และไม่ได้เอ่ยชื่อถึงใคร แต่ก็คือเป็นประสบการณ์จริง ไม่ได้แต่เรื่องขึ้นมา นะครับ
เชฟไทยไกลบ้าน ประสบการณ์การทำงานร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน รู้กลโกง ต่อจากตอนที่แล้ว
ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 4 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2
ตอนที่ 5 ตามจากลิ้งค์ข้างล่างนี้นะครับ
https://pantip.com/topic/40562382
ตอนที่ 6
* จากนี้เราทั้งสองคนก็ได้เป็นลูกจ้างเต็มตัว จากการเป็นเจ้าของก่อนหน้านั้น ทั้งสองคนก็กลายเป็นพ่อครัว แต่เราก็ยังมีเงินที่เจ้าของเก่าเขาโอนเงิน 75,000 โครน ให้กับเจ้าของใหม่ ซึ่งเป็นเงินคืนจากเจ้าของเก่า เพื่อให้เจ้าของใหม่จ่ายให้เรา เมื่อไหร่ก็ได้
* พอเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ก็เริ่มที่จะทำอะไรที่พัฒนาขึ้น เรื่องอาหารที่เพิ่มขึ้น ความหลากหลายของอาหารที่เพิ่มขึ้น และจัดกิจกรรมที่มากขึ้น เนื่องจากร้านมีพื้นที่รองรับคนได้ประมาณ 100 คน จึงมีสถานที่กว้างพอสมควร ช่วงวันเสาร์สิ้นเดือนก็จะมีการจัดบุฟเฟ่ต์กลางคืน เพื่อคนไทยและชาวต่างชาติมารับประทานอาหารและดื่ม ในช่วงเงินเดือนออก การรับจัดงานวันเกิด และมีการจัดงานในช่วงเทศกาลต่างๆ ของเมืองไทย อาทิเช่น เทศกาลสงกรานต์ วันลอยกระทง เป็นต้น เนื่องด้วยเราทั้งสองคน เมื่อสมัยอยู่เมืองไทย ทำงานด้านการตลาดและอีเว้นท์มาก่อน จึงมีความรู้ในเรื่องพวกการจัดงานต่างๆ และชอบที่จะทำตกแต่งร้านให้สวยงามในช่วงเทศกาลนั้นๆ จึงคิดว่าเวลามีงานเทศกาล น่าจะจัดงานให้คนไทยและต่างชาติได้เห็นวัฒนธรรมของไทย จึงปรึกษากันระหว่างคนไทยด้วยกัน ที่เป็นคุณครูสอนรำไทย ให้สอนให้กับเด็กๆ ลูกของคนไทย ให้มาทำกิจกรรม รำฟ้อนในงาน จัดตกแต่งเวที และบรรยากาศให้เหมือนกับนั่งทานอาหารอยู่ที่เมืองไทยเลย ร้านก็ดำเนินไปด้วยดีในช่วงเวลานั้น เป็นที่สังสรรค์ชุมนุมของคนไทย ในเวลาว่างหลังเลิกงาน ก็จะแวะไปมาหาสู่กัน โดยมีร้านอาหารเป็นจุดศูนย์กลาง
* ส่วนเจ้าของเดิม หลังจากที่ขายร้านให้กับเจ้าของใหม่ ก็เอาเงินที่ขายได้ ไปเปิดร้านใหม่ ซึ่งห่างจากร้านเดิมประมาณ 100 เมตรเท่านั้น ขายอาหารไทยเหมือนกัน แต่เขาขายร้านเก่าไปแล้ว แต่ทำไมคนคนนี้ไม่จบ นิสัยอาฆาดแค้นซึ่งเป็นนิสัยที่ติดตัวของเขาอยู่ เพราะว่าเขาคิดว่าเราสองคนรู้เรื่องการโกงของเขามาเยอะมาก ก็คือรู้จากคนที่เคยมาอยู่สวีเดนก่อนเราที่เป็นชาวบ้านแถวนั้น และอีกข้อมูลหนึ่งก็คือ คนที่อยู่เมืองไทย ที่เราพอจะรู้จักจากคนที่เคยมาสวีเดนแล้วกลับไป เขาเล่าให้ฟังว่า ร้านที่เรามาเป็นหุ้นส่วนในครั้งแรกนี้ มีคนมาเป็นหุ้นส่วนหลายรายแล้ว และก็กลับไปอยู่เมืองไทยมือเปล่า ด้วยการที่เขากระทำกับทุกๆคนที่มาเป็นหุ้นกับเขา เหมือนกับที่เราสองคนโดนมา แต่ตอนนั้นเราไม่สืบค้นหาข้อมูลก่อนเท่านั้นเอง บางคนเก็บเงินทั้งชีวิตเพื่อที่จะมาทำร้านอาหารกับเขา ลาออกจากงานมา เอาเงินเก็บมา เพื่อมาลงทุน อยู่ได้ไม่นานก็ต้องกลับไปตัวเปล่า เพราะว่าเขาทำกับคนอื่นกลายเป็นความเคยชิน ไม่คิดถึงบุญบาป แต่แค่เอาธรรมมะมาบังหน้าแค่นั้น แค่เรารู้จากคนแถววนั้นที่เขากล่าวขานกันมา เราก็สงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ตอนนั้นทำไมเราไม่คิดที่จะกล้าออกมาคุยกับคนอื่นๆที่เขาต้องการจะคุยกับเรา ก็คือด้วยเหตุผลของเจ้าของเก่าบอกว่าอย่าคบกับคนไทยแค่นั้นเอง เราก็ไม่รู้เรื่องอะไรที่เกียวกับเบื้อหลังเขาเลย คือแค่ความไว้วางใจก็แค่นั้น ที่เราคิดว่าพอแล้ว เพราะเขามีอีกมุมมืดของเขานั่นเอง
* ความที่เป็นมุมมืดของเขา ซึ่งเขาทนงตัวว่า เขามาอยู่สวีเดนมานาน และรู้จักคนเยอะ ประสบการณ์ก็เยอะ เขาก็จะสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสู้เขาได้ เขาเลยคิดไม่ดีกับเจ้าของใหม่ และเราทั้งสองคนก็ยังสามารถอยู่สวีเดนต่อได้ เพราะส่วนใหญ่คนที่มาหุ้นเขากับจะอยู่ต่อไม่ได้ ก็จะกลับไปไทย แต่เราทั่งสองคนยังสามารถอยู่ต่อได้ เขาเลยแค้นที่ยังเห็นเราอยู่ที่ตรงนี้ มีหลายเหตุการณ์ที่เขากลั่นแกล้ง คือบางวันก็ให้คนไปเอาป้ายชื่อร้านที่ติดอยู่ข้างอาคารออก เอาไปทิ้ง ซึ่งเขาขายออกมาแล้ว เขาไม่สามารถทำได้ เที่ยวไปบอกว่าเราสองคนโกงเงินเขา เขาเลยต้องมาเปิดร้านใหม่ มีอยู่วันหนึ่งจะมีการจัดทำบุญเลี้ยงพระเพล พวกเราก็จะมาจัดเตรียมอาหารช่วงเช้า เขาก็ให้คนเอากาวมาหยอดที่รูกุญแจหลังร้านซึ่งเป็นทางเข้าครัว ไม่ให้เราไขกุญแจเข้าร้านได้ พวกเราก็เลยต้องไปงัดประตู้หน้าร้านเพื่อเข้าร้านแทน ซึ่งเขารู้ว่าเป็นการทำบุญแท้ๆ เขายังกล้าทำ ทุกคนก็งงกันว่า เขาทำไปได้ยังไง เป็นคนธรรมดาทั่วไปเขาก็ไม่มีใครทำกัน
* เรื่องต่อไปคือ มีจดหมายไม่มีชื่อผู้ส่ง มาถึงที่บ้าน พอเราเปิดดูจดหมายในซอง ก็ต้องอึ้งไปเลย เพราะข้างในเขียนเป็นภาษาสวีเดนไว้ว่า *ลาก่อน พวกสองคน จะไม่ได้อยู่สวีเดนอีกต่อไป - เนื่องจากว่า เขาทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เราสองคนอยู่สวีเดนต่อไป และช่วงนั้นเราสองคนก็ต้องเปลี่ยนสถานะของวีซ่าของเราด้วย ตอนนั้นก็อยู่ในช่วงตัดสิ้นของ ตม ของทางสวีเดนด้วย ก็คือเขาส่งเรื่องไปที่ ตม สวีเดน แจ้งเรื่องเราสองคน กล่าวหาว่าเราสองคนมาลงทุน แล้วก็โกงเขา และก็ร้านไม่ประสบความสำเร็จ อะไรประมาณนี้ เขาพยายามบล็อกเราทุกอย่าง เพื่อที่จะไม่ให้เราอยู่ต่อได้ เขาร้ายมากกับทุกๆคนที่เขาไม่ชอบ ซึ่งเราเคยโทรศัพท์ไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับน้องสาวเขาฟัง ซึ่งน้องสาวเขาเป็นเพื่อนกับเรา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่เชื่อเราเลย เขาเชื่อแต่พี่สาวของเขา ทั้งๆที่เรามีหลักฐาน เขาก็ไม่เชื่อ เราก็เลยถือว่า เขาเป็นพี่น้องกัน เขาก็ต้องเชื่อกันอยู่ดี หลังจากนั้นก็เลิกคบกันไปเลย
* ส่วนเจ้าของใหม่ ก็อยากที่จะมีกิจการร้านนวดด้วย ก็เลยเปิดร้านนวดที่อยู่ใกล้กับร้านอาหาร เราทั้งสองคนก็ไปช่วยกันตกแต่งร้าน ออกแบบโลโก้ให้เสร็จเรียบร้อย กิจการก็เริ่มดีขึ้น ก็มีอยู่วันหนึ่ง อยู่ดีๆตื่นเช้ามากระจกหน้าร้านก็แตก ซึ่งคืนนั่นมีคนเห็นรถมาจอดแถวหน้าร้าน แล้วเสียงดังโครม แล้วก็ขับออกไป ซึ่งเขาจำรถได้ พวกเราก็ไปดูว่ารถคันนี้จอดอยู่ที่ไหน ไปเจอที่หน้าบ้านของเจ้าของรถคันนั้น ก็คือ รถของสามีเก่าของเขานั่นเอง ที่เป็นคนสวีเดน และเป็นคนคนแถวนั้นไม่อยากยุ่งด้วย เพราะว่าเขาเป็นคนที่ชอบสร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่น ซึ่งตำรวจประเทศนี้ พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่เป็นที่รู้กัน คือถ้าไม่มีรูปถ่ายตอนกระทำผิดชัดเจน ตำรวจก็ทำอะไรไม่ได้
* ที่เจ้าของเก่าทำแบบนี้ก็คือ เจ้าของเก่าก็มีร้านนวดเหมือนกัน เขาก็เลยทำอะไรก็ได้กับคู่แข่ง เหมือนกับที่เขาทำกับร้านอาหาร กลายเป็นเรื่องเคยชินสำหรับเขาที่เขาทำกับคนอื่น ไม่เกรงกลัวต่อบาป ซึ่งพนักงานร้านนวดของเขา ก็เป็นคนนวดที่มาจากเมืองไทยที่น้องสาวส่งมาจากเมืองไทย 1 คน แล้วก็ญาติเขามาทำอีก 1 คน สุดท้ายญาติเขาก็ต้องมาอาศัยอยู่กับเราสองคน เพราะว่าเขาจะไม่ต่อสัญญาให้ทำงานต่อ เขาหาว่าญาติเขาเอาเรื่องเขาไปเล่าให้คนอื่นฟัง คือว่าเขากลัว เบื้องหลังเขาจะถูกเปิดเผยออกมา ว่าเขาเคยเป็นอะไร ทำอะไรมาก่อน ก่อนที่เขาจะมาอยู่สวีเดน จนญาติเขาก็เลยต้องเดินทางกลับไทย จนมีคนใหม่มาทำงานแทน มาจากเมืองไทยเหมือนกัน แต่ก็อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน แต่ผู้หญิงคนใหม่นี้เขาไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มเหงเขา เขาเลยไปร้องเรียนที่สหภาพแรงงานของสวีเดน ทางสหภาพเลยเข้ามาตรวจสอบ เลยพบว่ามีการกระทำผิด เลี่ยงการจ่ายเงินเดือน และภาษี ทางสหภาพเลยเอาผิด เจ้าของร้านเลยต้องจ่ายค่าชั่วโมงการทำงานคืน ทั้งหมด ซึ่งมีคนเก่าอยู่มานานก่อนหน้านี้ เจ้าของเลยต้องจ่ายย้อนหลังเป็นปีเลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่เขาทำกับคนอื่นไว้ เวรกรรมเลยย้อนกลับมา อย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องร้านอาหารของเขา ก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ลูกค้าค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ พยายามพยุงตัวเอง โดยหาหุ้นมาจากเมืองไทยมาอีกคน ก็เร่ิมกลับมามีทุนทำอะไรต่อไปอีก
* ช่วงที่เราสองคนมาทำกับเจ้าของใหม่ เราก็เริ่มที่จะมีเงินเดือน แต่ก็ไม่มาก เหมือนจะช่วยๆกันไปก่อน เพราะว่าเขาก็เพิ่งจะเอาเงินไปซื้อร้านมา และยอดหนี้ของเราที่เจ้าของเก่าโยนมาให้อีก เราก็เลยพอที่จะเข้าใจหัวอกเขา ก็ดำเนินกิจการไปเรื่อยๆ และก็มีเรื่องกวนใจจากเจ้าของเดิมมาเป็นระยะๆ แต่ก็เหมือนกับความเคยชิน
* ต่อไป การที่คนเราจะมาเป็นเจ้าของร้านอาหาร แล้วไม่มีประสบการณ์ ก็จะมีอะไรหลายๆอย่างที่มากวนใจ อาทิเช่นการทำอาหารไม่เป็น การบริหารงาน อีกเรื่องภายในครอบครับ สามี และลูก ปัญหาจะมีมาเรื่อยๆ จะมาเล่าในตอนต่อไปว่าปัญหาและการเปลี่ยนแปลงก็จะเริ่มมาอีกแล้ว ซึ่งเราก็เป็นแค่ลูกจ้างนะ แต่เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็จะให้เราสองคนรับผิดชอบงานทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ ยังไงจะมาเล่าต่อในตอนต่อไปนะครับ
****ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ นี่เป็นประสบการณ์ส่วนตัว และสำหรับคนที่สนใจที่จะอยากเอาไปประกอบการตัดสินใจในการที่จะเดินทางไปต่างประเทศหรือการไว้วางใจคนอื่นที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี และไม่ได้เอ่ยชื่อถึงใคร แต่ก็คือเป็นประสบการณ์จริง ไม่ได้แต่เรื่องขึ้นมา นะครับ