เชฟไทยไกลบ้าน ประสบการณ์การทำงานร้านอาหารที่ประเทศสวีเดน กลโกงหุ้นส่วนเจ้าของร้าน ต่อจากตอนที่แล้ว

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 5

ประสบการณ์ต่อจากตอนที่แล้ว 
กลับไปอ่านตอนที่แล้วได้ตามลิ้งค์ด้านล่างได้ก่อนนะครับ จะได้ประติดประต่อเรื่องและที่ไปที่มาได้ครับ 
ต้องอ่านตอนที่ 1-4 ก่อนนะครับ ถึงจะเข้าใจ

https://pantip.com/topic/40533846/comment14-2

จากตอนที่แล้ว เจ้าของเดิมเขากำลังจะทำอะไรกับเราสักอย่างที่จะให้เราไม่สามารถจับผิดเขาได้
     
             * ช่วงปี 2011 ที่เราเริ่มรู้และสังเกตุพฤติกรรมเจ้าของเดิม ซึ่งเขาพอจะรับรู้ว่าเราเริ่มสังเกตุการกระทำหลายๆ อย่างของเขา จนเขารู้สึกได้ เราสังเกตุตั้งแต่เรามาสวีเดนแรกๆ เขาจะพยายามไม่ให้เราได้คบหาหรือรู้จักกับคนไทย ซึ่งคนไทยที่สวีเดนถ้าเขาร็ว่ามีใครมาอยู่ใหม่ เขาก็จะรู้กัน และอยากที่จะมาคุยด้วย แต่ทางเจ้าของร้านพยายามกีดกันเรา เขาจะบอกว่า อย่าไปคบกับคนไทย เพราะว่าคนพวกนั้นนิสัยไม่ดี และอิจฉาเรา ซึ่งเราเพิ่มจะมาอยู่ใหม่ เราก็จะทำตามที่เขาบอก พอเราเจอกับคนไทย เราก็จะพยายามเลี่ยง ซึ่งเราก็สังเกตุว่า คนไทยที่อยากจะมาคุยกับเรา เหมือนเขากำลังจะบอกอะไรกับเราสักอย่าง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา แต่แค่พูดเป็นในๆว่า คุณคิดอย่างไรที่มาลงทุนและทำงานกับร้านนี้ เราก็งงกับคำนี้เป็นเวลานานพอสมควร แต่ก็เก็บและจำไว้ในใจ 
           * ใกล้ถึงหน้าร้อน เจ้าของเก่าเขาก็ปรึกษาว่า ช่วงหน้าร้อนคนจะไปพักร้อนตามสถานที่ท่องเที่ยว ลูกค้าที่ร้านก็จะน้อย เราน่าจะไปเช่าร้านแถวสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นท่าเรือ เจ้าของที่เขาเปิดให้เช่าร้านอาหาร เพื่อให้เราเข้าไปทำกิจการ ซึ่งเสียแต่ค่าเช่า ร้านและครัวมีอยู่แล้ว 

พอช่วงเดือน พฤษภาคม ก็ได้เช่าร้านที่ท่าเรือเพื่อที่จะไปทำอีกสาขาหนึ่ง ซึ่งร้านขายดีมาก เพราะว่าพวกที่มาจอดเรือเขาจะมาเติมน้ำมันเรือด้วย และบางคนมาเป็นครอบครัวเขาก็จะมากินอาหารกัน และได้นั่งอาบแดดไปด้วย ซึ่งช่วงหน้าร้อนคนสวีเดนจะพักร้อนกันยาวถึง 5 อาทิตย์ เขาก็จะไปเที่ยวล่อฃเรือ กิน ดื่มกันเต็มที่ ยิ่งมีร้านอาหารบริการถึงท่าเรือยิ่งขายดี ร้านสามารถเปิดได้ประมาณ 4-5 เดือน เพราะว่าถ้าหมดหน้าร้อน ลูกค้าก็จะไม่มี และก็ไม่สามารถเปิดร้านต่อได้ แต่ก็ขายแค่ช่วงหน้าร้อน ยอดขายดีมากๆ ต้นทุนค่าเช่าร้าน ค่าของไม่เท่าไหร่ แต่กำไรเต็มๆ
            * การที่เขารู้ว่าเราเริ่มรับรู้เรื่องของเขา เขาเลยจับเราสองคนแยกกัน คือให้พ่อครัวที่เป็นหุ้นส่วนเรา ไปทำงานอยู่ที่ท่าเรือ ส่วนตัวเราให้ทำงานที่ร้านเดิม เพื่อให้เราสองคนไม่ต้องมีเวลาที่จะคอยมาสังเกตุพฤติกรรมของเขา เขาเลยต้องใช้วิธีนี้ แต่เราก็คอยโทรคุยกันตลอด และรับรู้ถึงยอดขายในทุกๆวัน พอรู้ว่าเรารับรู้เรื่องยอดขายตลอด เขาก็จะใช้วิธีการที่ทุกวันตอนใกล้ปิดร้าน เขาก็จะเข้าไปเช็คยอดตลอด และให้ลูกสาวของเขา ไปอยู่ด้วยกับพ่อครัว เพื่อที่จะช่วยทำงานและสอดส่องดูแล เพราะว่าเขากลัวว่าพ่อครัวจะแอบบมุบมิบเงินสดเอาไว้เอง เหมือนที่เขาทำ แต่เราจะไม่ทำอยู่แล้ว เพราะว่าเราคิดว่ายังไงถ้าเงินเข้าเครื่องยังไงก็เข้าบัญชีร้าน ก็เป็นกำไรของเราเวลาปันผล ตอนสิ้นปี เราก็ไม่คิดอะไร 
           * ต่อจากนี้เขาก็มีแผนอีกอย่างหนึ่ง คือถ้าตราบใดที่เราสองคนอยู่กันทั้งสองร้าน เขาก็จะทำอะไรแต่ละร้านไม่ได้เลย เขาเลยให้ผมซึ่งอยู่ร้านเดิม ให้ไปอยู่ที่ท่าเรืออีกคน เพื่อจะได้ไม่มีก้างขวางคอที่ร้านเดิม เราสองคนเลยต้องไปอยู่ที่ ท่าเรือทั้งสองคนเลย ส่วนร้านเดิมเขาก็ทำเองทั้งหมด เราไม่สมารถรู้ได้เลยว่า เขาทำอะไรบ้าง เป็นเวลาหลายเดือนมากกว่าที่เราจะกลับไปอยู่ที่ร้านเดิม ช่วงนั้นความลำบากก็มาอยู่ที่เราสองคน เพราะว่าร้านที่ท่าเรือ ที่พักก็จะเป็นแบบบ้านหน้าร้อน และก็เดินไกล กว่าจะกลับถึงบ้าน ก็ห้าทุ่มเที่ยงคืนทุกวัน ออกไปไหนก็ไม่ได้ เพราะว่าท่าเรือจะอยู่ห่างจากชุมชนมาก เราก็ได้แค่กินอยู่ในร้านและเดินออกไปเดินเล่นแค่ท่าเรือเท่านั้น ตัดขาดจากโลกภายนอก 
          * ช่วงที่เราทั้งสองคนทำงานอยู่ที่ท่าเรือ เราก็ยังได้เงินเป็นรายอาทิตย์เหมือนเดิม ซึ่งเขาบอกว่าร้านยังไม่มีกำไร ซึ่งเราก็เห็นยอดขายอยู่ทุกวัน ทั้งเงินเข้า ค่าใช้จ่าย เพราะเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะดูไม่เป็น ซึ่งตอนที่เราอยู่เมืองไทย เราก็จบทางด้านบัญชีมา แค่บวกลบคูณหารคร่าวๆ ก็พอจะเดาได้ว่าร้านมีกำไร แต่ทำไมสามีเจ้าของเดิมที่เขาดูแลเรื่องบัญชี เขาบอกอย่างเดียวว่า ไม่มีกำไร ก็เอาเงินไปรายอาทิตย์ก่อนนะ ให้ได้แค่นิดเดียว ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ต้องทน เพราะคิดว่าตอนนี้เราก็ไม่ได้ไปใช้จ่ายที่ไหน อยู่ที่ร้านอาหารก็กินอยู่ในร้าน มีเงินติดกระเป๋ากันแค่ไม่กี่ร้อยเหรียญแค่นั้น เจ้าของที่ ที่เป็นเจ้าของท่าเรือ เขายังบอกเลยว่าขายดีมาก ไม่เคยมีใครทำได้ถึงขนาดนี้ และเขาก็เห็นใจเรา แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เราสองคนก็แค่ได้แต่เป็นห่วงร้านเดิมว่าจะเป็นยังไงบ้าน ก็ไม่รู้ ส่วนร้านท่าเรือ เขาก็มาเก็บเงินทุกวัน ส่วนที่เป็นเงินสดก็ไม่รู้ว่าได้เข้าบัญชีครบตามจำนวนหรือเปล่าก็ไม่รู้

          *พอใกล้วันที่จะจบการขายที่ท่าเรือ เราก็ลองเข้าไปดูในเครื่องแคชเชียร์ มียอดขายอยู่ หนึ่งล้านกว่าเหรียญซึ่งยอดเยอะมาก ขายแค่ 4 เดือนเอง ซึ่งค่าเช่ากับค่าใช้จ่ายด้วยความเป็นจริงแล้วไม่ถึงครึ่งของยอดขายเลย สุดท้ายกลับไป เจ้าของร้านบอกว่า ก็ยังไม่มีกำไรอยู่ดี แต่ทำไมเจ้าของร้านบอกกับเราว่า เดี๋ยวหน้าร้อนปีหน้าเราจะมาเช่าร้านทำกันอีก แต่ถ้าขายไม่ดี แล้วทำไมยังจะคิดที่จะกลับมาทำอีกล่ะ ช่วงนั้นเราก็เริ่มที่จะมีการสอบถามเรื่องบัญชี การเงินว่า มันเป็นมายังไง เงินเข้ายังไง ออกยังไงบ้าง อยากที่จะขอดูบ่อยๆ และเรื่องเงินเดือนอีกคือแทบจะไม่มีเงินเดือนเลย แต่ส่วนของเงินเดือนตัวเองกับลูกสาว และสามีที่ทำบัญชีได้ครบทุกคน แต่เราสองคนไม่มีเงินเดือน แต่ให้แค่รายอาทิตย์ และก็ให้น้อยมาก สุดท้ายเขาก็แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
          * หมดหน้าร้อน พวกเราก็กลับมายังร้านเดิม   เขาแสดงท่าทีไม่พอใจเราสองคน พูดจาไม่ดี ไม่ช่วยงาน ช่วยเฉพาะช่วงอาหารกลางวันแล้วก็ทิ้งให้เราอยู่กันสองคน เนื่องจากร้านยังเปิดถึงตอนเย็น แล้วเราก็จะต้องเตรียมวัถุดิบสำหรับการขายในวันต่อไป ซึ่งเตรียมของเยอะมาก กว่าจะได้กลับบ้านก็สามถึงสี่ทุ่มทุกวัน แล้วเขาก็พูดถึงเรื่องสัญญาที่เคยทำกันไว้ ซึ่งสัญญาทั้งหมดเป็นภาษาสวีดิช เขาเอาออกมาให้เราสองคนดู แล้วเขาก็หาว่าเราผิดสัญญากับเขา ซึ่งเขาบอกว่า เรายังจ่ายเงินค่าหุ้นส่วนยังไม่ครบขาดอีกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเขาเป็นคนบอกเองว่า ค่อยๆจ่ายมาเรื่อยๆ เรื่องสัญญาไม่สำคัญ เพราะว่าพอเข้ามาทำแล้ว เดี๋ยวก็มีกำไรแล้วค่อยทยอยจ่ายมาเรื่อยๆ ไม่ต้องกังวล แต่ที่เล่ามาก็คือเขาบอกแต่ว่าไม่มีกำไร เรายังนึกเลยว่าเราจะเอาเงินที่ไหนมาให้เขาในส่วนที่เหลือ ทั้งๆที่เราเห็นว่ามีกำไร แต่เขาเอาเงินไปไหนหมด ยอดเงินก็หายไปเข้าบัญชีอื่นๆหมด 
        * ที่สำคัญคือ เขาเอาสัญญามาบอกว่า เขามี 1 หัวข้อในสัญญา ซึ่งเขียนไว้มุมกระดาษซึ่งตัวเล็กมาก เขียนไว้ว่า - ถ้าเราไม่จ่ายเงินหุ้นให้ครบทั้งหมด 80 เปอร์เซ็นต์ที่ตกลงกันไว้ ภายใน 1 ปี หลังจากทำสัญญา ถือว่าผิดสัญญา ซึ่ง ณ วันที่เขาเอาสัญญามาให้เราดู ก็หมดสัญญาแล้ว 
         * อ้าวเราจะทำยังไงกันดี เราสองคนหันมามองหน้ากัน น้ำตาคลอ แล้วเราจะทำยังไงกันดี เราจะไม่มีอะไรเหลือเลยเหรอ แต่เราก็คิดว่าเขาจะต้องทำอะไรกับเราสักอย่าง และก็เลยถามไปว่า เงินที่เราจ่ายค่าหุ้นส่วน และซื้อของจากเมืองไทยมาอีกเยอะมากๆ เราจะเหลือเท่าไหร่ เขาก็เลยคิดออกมาว่าเขาจะหักค่าใช้จ่ายหลายๆอย่างก่อนแล้วเขาจะคืนมาให้แค่ 150,000 โครน่าสวีเดนเท่านั้น แล้วก็ที่ทำให้เราช็อคสุดๆคือ เขาจะขายร้านต่อให้กับคนอื่น แล้วจะจ่ายเงินให้เราแค่ครึ่งเดียว คือ 75,000 และอีกส่วนครึ่งหนึ่ง จะยกยอดไปให้กับเจ้าของใหม่ที่ซื้อต่อ เป็นคนจ่ายให้เราสองคน แล้วเขาก็ตกลงขายให้กับอีกคนโดยที่เราสองคน ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านแล้ว กลายเป็นลูกจ้างเต็มตัว แล้วได้เงินคืนมาแค่ครึ่งเดียว ส่วนเงินที่เจ้าของเดิมได้จากการขายร้าน เขาก็เอาไปทั้งหมด และก่อนจะขาย ก็ให้ลูกเข้ามาเอาพวกเครื่องดื่ม และวัตุดิบหลายๆอย่างกลับไปเก็บไว้ที่บ้าน คือแอบเข้ามาเอาเท่าที่จะเอาไปได้ 
        * ตอนนั้นคือขายแล้ว แต่เจ้าของใหม่ยังไม่มาทำ ช่วงสุดท้ายเป็นช่วงที่เราทั้งสองคนเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น เจ้าของร้านโกยทุกสิ่งทุกอย่าที่จะโกยได้ เงินก็จะเอาแต่เงินสดจากลูกค้า  แล้วยังเดินด่าเราสองคนแบบลอยๆ ตลอดเวลา โดยใช้คำด่าที่ไม่คิดว่าคนที่เราเคยนับถือและรู้จักกันมานานมาก จะใช้คำพูดและคำด่าได้หยาบคายมากๆ ซึ่งพ่อแม่พี่น้องเราเองยังไม่เคยใช้คำแบบนี้กับเราเลย ด่าจนถึงวันสุดท้าย เราสองคนก็เลยมีความรู้สึกว่า จบได้สักที แล้วเราก็มาเริ่มต้นกันใหม่นะ ต่อไปต้องดีกว่านี้ ไหนๆ เรามาแล้ว เราก็ต้องอดทน เราจะกลับหรือถอยหลังไมได้ 
    
       * ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไปกับการที่เป็นลูกน้องเต็มตัว กับเจ้าของร้านใหม่ แต่ร้านเดิมที่เราเคยเป็นเจ้าของ แต่ก็ไม่ต้อคิดอะไรมาก ก็ขอรับเงินเป็นเงินเดือน ส่วนหนี้ที่เขายกยอดมาให้ทางเจ้าของร้านใหม่ ใช้หนี้เราอีก 750,000 ค่อยจ่ายเราที่หลังก็ได้ เราก็เห็นใจเขาว่าเขาเพิ่งจะซื้อร้าน ค่อยมีกำไรก็ค่อยมาจ่ายเรา ยังไงเราก็ต้องทำงานต่อเนื่องอยู่แล้ว 

       ****ครั้งหน้า จะมาเล่าในการทำงานที่เป็นลูกจ้างจริงๆกับเจ้าของใหม่  เรื่องยังไม่จบง่ายๆนะครับ อีกยาว อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อน คิดว่าอ่าน นวนิยาย ก็แล้วกันนะครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่