เมื่อโรคซึมเศร้าเกือบพรากเราไปจากอกบุพการี

[ Triggered Warning : Suicidal and Self-Harming ]

สวัสดียามดึกค่ะ เพื่อน ๆ ชาวพันทิปหลายคนคงกำลังหลับใหลกันอยู่ แต่ไม่ใช่กับเราค่ะ เรื่องมันเริ่มจากที่ว่าเราได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ โดยที่ตอนนั้นเราไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่ ณ ตอนนั้นเราไม่เคยมีความคิดที่จะตายเลย แต่มีอารมณ์ดิ่ง เครียด เพราะเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านพ้นเข้ามาในชีวิต จากนั้นความรู้สึกพวกนี้ก็พัดผ่านไปเหมือนสายลมที่ผ่านมา

เราได้ไปเริ่มต้นชีวิตวัยมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ เราได้รับทุนการศึกษาค่ะ แต่พอเรียนไปได้ประมาณหนึ่งภาคการศึกษา ไอ้โรคซึมเศร้าของเราก็เริ่มแพลงฤทธิ์ เนื่องจากว่าการที่เราไปอยู่นั่น ต้องปรับตัวมากมาย อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำให้ได้ ไหนจะเรื่องเรียนที่ต้องสอบให้ได้คะแนนดี ๆ ทำให้ได้คะแนนสูง ๆ ให้เหมาะสมกับเป็นเด็กที่มีพื้นฐานและถูกคัดเลือกเข้ามาเรียนในห้องที่มีเด็กหัวกะทิเต็มไปหมด แถมยังโดนไปเอาเปรียบเทียบกับเด็กอีกห้องที่ค่อนข้างมีพื้นฐานพอสมควรอีกต่างจาก โดนเปรียบเทียบกันทั้งหมด ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทุกอย่างโดนกดดันหมด ทั้งจากครู อาจารย์ที่สอน หรือผู้ดูแลแผนกเด็กชาวต่างชาติ เรื่องมันเริ่มขึ้นจากตอนนั้นนั่นแหละค่ะ

เราเป็นพวก introvert ชอบเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แถมที่ที่เราไปอาศัยอยู่ก็อากาศหนาวเย็นถึงขั้นมีหิมะตกเลยล่ะค่ะ ทางเดินของหอพักนักเรียนก็ไม่ได้มีการติดตั้ง heater ใด ๆ ทั้งนั้น นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เราไม่อยากออกไปเที่ยวหรือไปข้างนอกสักเท่าไหร่ ที่ที่ไปเยี่ยมเยียนมากสุดก็คงจะเป็นห้างสรรพสินค้าหน้ามหาวิทยาลัยอันโอ่อ่าของเรานี่แหละ เราค่อนข้างประหยัด เวลาอยากได้อะไรก็จะซื้อผ้านแอพส์หนึ่ง ชื่อว่า t**b** ค่ะ เพราะราคาค่อนข้างถูก และการจัดส่งสินค้าก็ค่อนข้างเร็ว นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เราไม่ออกไปเที่ยวข้างนอกเลย ส่วนเหตุผลสุดท้ายคือเรากลัวค่ะ กลัวที่จะต้องออกไปในสถานที่ที่เราไม่รู้จัก เราพูดภาษาของประเทศนั้นไม่คล่อง เรานั่งรถไฟไม่เป็น เรากลัวไปหมดทุกอย่าง มันเลยทำให้เรากลายเป็น completely introvert แถมห้องพักของเราที่เป็นหอในของมหาวิทยาลัยนั้นก็อับสัญญาณมาก ถึงขั้นเพื่อนที่โทรมายังโทรไม่ติดเลย ทั้งที่อยู่ชั้นเดียวกันแท้ ๆ

ในท้ายที่สุดก็กลายเป็นว่าในห้องของเรามีเพียงเราที่เป็นสิ่งมีชีวิต เงียบเหงา โดดเดี่ยว เรารู้สึกแบบนั้นมาตลอด จนเข้าสู่ความว่างเปล่า สุดท้ายเราเลยตัดสินใจทำร้ายตัวเอง และในตอนนั้นเองที่เรารู้สึกตัวได้ว่าเราไม่ปกติอีกต่อไปแล้ว คนปกติที่ไหนจะมานั่งทำร้ายตัวเองเพื่อกระตุ้นว่าตัวเองยังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่า เรานั่งนับถอยหลังถึงวันที่จะได้บินกลับบ้าน บินกลับไปที่ไทย ระหว่างนั้นก็คอยปรึกษากับที่บ้านตลอด บอกว่าอยากพบจิตแพทย์ ไม่อยากเรียนต่อที่นี่แล้ว จะกลับไปเรียนที่ไทย สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์ทะเลาะกับคนที่บ้านเพราะความไม่เข้าใจกัน แต่ก็ผ่านมันไปด้วยดี

ทันทีที่เรากลับมาถึงไทย ลงจากเครื่องบินปุ๊บ พ่อก็รีบขับรถตรงดิ่งพาเราไปยังโรงพยาบาลที่มีแผนกจิตเวชในจังหวัดบ้านเกิดเราทันที และผลสรุปออกมาก็คือเราเป็น dysthemia depression หรือก็คือการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแบบเรื้อรังนั่นเอง โดยคุณหมอวินิจฉัยว่าเราน่าจะเป็นมาประมาณ 1-2 ปีแล้ว ซึ่งถ้าคำนวณกับอายุเราในตอนนั้น คาดว่าเราน่าจะป่วยเป็นโรคนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปี และเราก็เริ่มรักษาตั้งแต่ตอนนั้น ทุกขั้นตอนของการรักษา ทำให้อาการของเราเริ่มคงที่ แต่พอเราสอบติดมหาวิทยาลัยที่ไทย การเปลี่ยนแปลงมันก็เริ่มต้นขึ้นอีกแล้วค่ะ นั่นก็คือเราต้องเรียนออนไลน์ตั้งแต่ภาคการศึกษาแรกของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เพราะสถานการณ์ของ COVID-19 เราก็ยอมรับมัน และมาเรียนที่หอพัก เผื่อในกรณีที่ทางมหาวิทยาลัยเรียกเข้าไปเอาเอกสารหรือมีเรื่องต้องปรึกษาครูที่ปรึกษา เป็นต้น

แน่นอนว่าเราไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียวค่ะ ใช้ชีวิตแบบกินข้าว กลับขึ้นห้องมานอน เรียนออนไลน์ มีออกไปซื้อชานมไข่มุกหน้าปากซอยบ้าง ทุกอย่างวนไปวนมาอยู่แค่นี้ หากอยากกินอะไรที่ไม่มีขายในซอยที่เราอยู่ก็สั่ง delivery เอาค่ะ สุดท้ายก็มากลายเป็น introvert เหมือนเดิม แต่อาการยังไม่แย่นะคะ แค่รู้สึกเหงาและฟุ้งซ่านเท่านั้น แต่พอเริ่มต้นภาคเรียนที่สอง เรามีความจำเป็นที่ต้องลงเรียนหน่วยกิตเกินเกณฑ์ และใช่ค่ะ เราเครียดมาก ยิ่งช่วงสอบยิ่งโคตรเครียด ช่วงประมาณเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เราได้ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น จากนั้นก็เกิดโรคระบาดขึ้นอีก ทำให้ต้องกลับไปเรียนออนไลน์ดังเดิม

ในช่วงสิ้นปี 2563 หรือก็คือช่วงที่ทุกคนกำลังฉลองปีใหม่กันอย่างมีความสุข แต่กลับเรามันไม่ใช่แบบนั้น เราจำได้เลยว่าวันนั้นอากาศหนาวเย็นมาก ประมาณ 14 องศาเห็นจะได้ เราออกไปยืนอยู่ริมระเบียงบ้านคิดเรื่องที่จะกระโดดลงไป แต่สุดท้ายก็ไม่ทำ กลับเข้าห้องมาเอายานอนหลับกรอกปากตัวเองแทน แต่แฟนเราเห็นเพราะตอนนั้นโทรคุยเห็นหน้ากันอยู่ แฟนเราก็เลยรีบโทรไปบอกแม่เรา พอแม่เรารู้เรื่อง แม่ก็เปิดประตูเข้าห้องเรามาและถามว่าเป็นอะไร เราตอบไม่ได้ เราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร รู้แค่ว่าอยากตายเท่านั้น 

หลังจากเหตุการณ์กินยานอนหลับนั้นผ่านไป เราก็บอกแม่ว่าเดี๋ยวจะไปหาหมอวันนี้วันนั้นนะ และเราก็ไปหาหมอค่ะ หลังจากที่หาเสร็จ ในวันถัดมาเราก็กินยาตามหมอสั่งทุกอย่าง เราไม่รู้สึกดิ่ง เศร้า หรืออยากร้องไห้เลย จิตมันสงบมาก ๆ เราเดินไปเรื่อย ๆ เดินขึ้นไปบนบ้านพร้อมถือโทรศัพท์ที่โทรเห็นหน้ากับแฟนอยู่ไปด้วย พอเราเข้าห้องนอนเราได้ปุ๊บ เราก็จัดการผูกคอตัวเองทันที แฟนเราตกใจและลนลานมาก ทำอะไรไม่ถูก ในหัวตอนนั้นของเรามีความรู้สึกแค่ว่านี่คือความตายหรอ นี่เรากำลังจะตายแล้วสินะ มันคิดอยู่แค่นั้นเลย จนสุดท้ายแฟนเราโทรหาแม่เรา และแม่เราโทรหายายเราที่อยู่บ้านกับเรา สุดท้ายยายก็มาช่วยชีวิตเราได้ทันเวลาพอดี วันนั้นทุกคนในบ้านร้องไห้ น้ำตาซึม แต่เรากลับไม่รู้สึกผิดอะไร เราเป็นลูกอกตัญญูใช่ไหมคะ แต่เราไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วจริง ๆ ทุกอย่างมันดูแย่ในสายตาเราไปหมด

และครั้งสุดท้ายของการพยายามฆ่าตัวตายก็คือวันนี้นี่แหละ เวลา 00.35 น. เราโทรคุยกับแฟนปกติและเกิดอาการฟุ้งซ่าน ดิ่ง จนเวลา 01.45 น. เราตัดสินใจหยิบมีดเล่มเล็ก ๆ ที่สำหรับปลอกผลไม้ออกมากระหน่ำกรีดลงไปที่ข้อมือแบบไม่ยั้ง เลือดออกไม่ออกก็ไม่สน ขอแค่ได้ทำเป็นพอใจ และเรื่องที่เราอยากจะเอามาแบ่งปันก็มีเพียงเท่านี้ ส่วนสำคัญคืออย่าลืมรักและดูแลเอาใจใส่ทั้งตัวเองและคนรอบข้างด้วยนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่