คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
การพัฒนาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างประจักษ์แจ้ง ต้องอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ครับเพราะวิทยาศาสตร์นั้นเป็นหลักข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ในปัจจุบัน
แต่ถึงอย่างไรแล้วข้อเท็จจริงในธรรมชาตินั้น โดยหลักแล้วคือข้อเท็จจริงเชิงปรัชญาที่ย่อมลึกล้ำยังไม่อาจพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ในทางวิทยาศาสตร์ได้ หรือสิ่งที่เป็นประจักษ์ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เรารับรู้ล่วงรู้ได้นั้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดนั่นเอง การศึกษาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ลึกล้ำขั้นปรัชญานั้นก็ต้องอาศัยนักปรัชญานักคิดต่างๆช่วยกันวิเคราะห์สังเคราะห์ให้ได้หลักเหตุผลหลักปรัชญาความจริงใดๆต่อสังคม หรืออาจช่วยเป็นหลักเหตุผลแนวคิดที่ช่วยนำทางแก่วิทยาศาสตร์ได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ควรมีหลักกาลามสูตรต่อการเสนอแนะเชิงปรัชญาใดๆเสมอเพราะยังไม่ใช่ประจักษ์ข้อเท็จจริงนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วสังคมที่มีวิวัฒนาการเรียนรู้มากซึ่งก็ย่อมมีหลักประจักษ์เหตุผลอันเป็นวิทยาศาสตร์มาก และย่อมมีหลักการคิดวิเคราะห์เชิงปรัชญาสูงตามไปด้วย โดยทั้งหมดเป็นหลักการเรียนรู้ได้ในขั้นที่เป็นจินตมยปัญญา แต่ถ้าเป็นสังคมที่ยังโบราณขาดวิวัฒนาการการเรียนรู้ หรือมนุษย์ที่ยังเยาว์วัยขาดพัฒนาการเรียนรู้มากพอ นั้นจะยังวิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์และปรัชญาไม่ได้มากนัก แต่ได้ในขั้นที่เรียกว่าสุตตมยปัญญาซึ่งสามารถยึดมั่นจดจำสืบสานได้
ส่วนในทางสังคมนั้นเนื่องจากการเรียนรู้ของมนุษย์ย่อมเข้าสู่ข้อเท็จจริงที่ลึกล้ำเชิงปรัชญายิ่งขึ้น จึงมีการยกย่องเพื่อส่งเสริมผู้ที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งเรื่องใดๆในขั้นปริญญาเอกว่าเขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางปรัชญาหรือ Doctor of Philosophy (Ph.D.) ดังนั้นผู้ที่ศึกษาใดๆในระดับสูงจึงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่สังคมคาดหวัง (อย่ามัวไปเอาคุณวุฒิดอกเตอร์มาใช้เพียงเพื่อประดับยศประดับหน้าตาทางสังคม)
นอกจากนี้ก็วิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ในอนาคตใดๆ นั้นคือนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์,ข้อเท็จจริงใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์,ข้อเท็จจริงเชิงปรัชญาใดๆที่ควรช่วยกันไขความจริงต่อไป,แนวคิดการดำเนินชีวิตใดๆ ฯลฯ ที่เป็นที่สนองผัสสะความรับรู้(Perception)ของผู้คนยิ่งขึ้น และเป็นที่สนองสิ่งที่คิดวางไว้ในใจ(Idea)ได้ยิ่งขึ้นในอนาคตอันไกล และเป็นที่สนองความคิดจินตนาการใหม่ๆใดๆโดยอิสระ(Imagination)ได้ในอนาคตอันไกลโพ้น
แต่ถึงอย่างไรแล้วข้อเท็จจริงในธรรมชาตินั้น โดยหลักแล้วคือข้อเท็จจริงเชิงปรัชญาที่ย่อมลึกล้ำยังไม่อาจพิสูจน์เป็นที่ประจักษ์ในทางวิทยาศาสตร์ได้ หรือสิ่งที่เป็นประจักษ์ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เรารับรู้ล่วงรู้ได้นั้นเป็นเพียงส่วนน้อยนิดนั่นเอง การศึกษาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่ลึกล้ำขั้นปรัชญานั้นก็ต้องอาศัยนักปรัชญานักคิดต่างๆช่วยกันวิเคราะห์สังเคราะห์ให้ได้หลักเหตุผลหลักปรัชญาความจริงใดๆต่อสังคม หรืออาจช่วยเป็นหลักเหตุผลแนวคิดที่ช่วยนำทางแก่วิทยาศาสตร์ได้บ้าง แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ควรมีหลักกาลามสูตรต่อการเสนอแนะเชิงปรัชญาใดๆเสมอเพราะยังไม่ใช่ประจักษ์ข้อเท็จจริงนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้วสังคมที่มีวิวัฒนาการเรียนรู้มากซึ่งก็ย่อมมีหลักประจักษ์เหตุผลอันเป็นวิทยาศาสตร์มาก และย่อมมีหลักการคิดวิเคราะห์เชิงปรัชญาสูงตามไปด้วย โดยทั้งหมดเป็นหลักการเรียนรู้ได้ในขั้นที่เป็นจินตมยปัญญา แต่ถ้าเป็นสังคมที่ยังโบราณขาดวิวัฒนาการการเรียนรู้ หรือมนุษย์ที่ยังเยาว์วัยขาดพัฒนาการเรียนรู้มากพอ นั้นจะยังวิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์และปรัชญาไม่ได้มากนัก แต่ได้ในขั้นที่เรียกว่าสุตตมยปัญญาซึ่งสามารถยึดมั่นจดจำสืบสานได้
ส่วนในทางสังคมนั้นเนื่องจากการเรียนรู้ของมนุษย์ย่อมเข้าสู่ข้อเท็จจริงที่ลึกล้ำเชิงปรัชญายิ่งขึ้น จึงมีการยกย่องเพื่อส่งเสริมผู้ที่ศึกษาอย่างลึกซึ้งเรื่องใดๆในขั้นปริญญาเอกว่าเขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางปรัชญาหรือ Doctor of Philosophy (Ph.D.) ดังนั้นผู้ที่ศึกษาใดๆในระดับสูงจึงเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่สังคมคาดหวัง (อย่ามัวไปเอาคุณวุฒิดอกเตอร์มาใช้เพียงเพื่อประดับยศประดับหน้าตาทางสังคม)
นอกจากนี้ก็วิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ในอนาคตใดๆ นั้นคือนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์,ข้อเท็จจริงใหม่ๆทางวิทยาศาสตร์,ข้อเท็จจริงเชิงปรัชญาใดๆที่ควรช่วยกันไขความจริงต่อไป,แนวคิดการดำเนินชีวิตใดๆ ฯลฯ ที่เป็นที่สนองผัสสะความรับรู้(Perception)ของผู้คนยิ่งขึ้น และเป็นที่สนองสิ่งที่คิดวางไว้ในใจ(Idea)ได้ยิ่งขึ้นในอนาคตอันไกล และเป็นที่สนองความคิดจินตนาการใหม่ๆใดๆโดยอิสระ(Imagination)ได้ในอนาคตอันไกลโพ้น
แสดงความคิดเห็น
เป็นไปได้ไหมที่นักปรัชญาจะมีผลกระทบต่อสังคม เปลี่ยนโลกได้มากกว่านักวิทยาศาสตร์ วิศวกร?