ถ้อยคำของปัญญาจารย์ ผู้เป็นบุตรชายของดาวิด กษัตริย์ในเยรูซาเล็ม(1)
ปัญญาจารย์กล่าวว่า “อนิจจัง! อนิจจัง! อนิจจังแท้ๆ! ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจัง”(2)
ข้าฯ ได้เห็นทุกสิ่งซึ่งเขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด ล้วนก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจ(14)
อะไรที่คดแล้วจะทำให้กลับมาตรงอีกก็ ไม่ได้ และอะไรที่ไม่มีตัวตนก็จะนับไม่ได้
(15)
ข้าฯ ได้รำพึงอยู่ในใจว่า “ดูเถิด ข้าฯ ได้มาถึงฐานะที่สูงส่ง และได้มีสติปัญญามากกว่าใครๆ ที่เกิดก่อนข้าฯในกรุงเยรูซาเล็ม
เออ ใจข้าฯ ก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง”(16)
แล้วข้าฯ ก็ตั้งใจเข้าใจสติปัญญา เข้าใจความบ้าบอ และความเขลา ข้าฯ ได้ค้นพบว่าเรื่องนี้ก็เป็นแต่กินลมกินแล้งเช่นกัน(17)
เพราะในสติปัญญามากๆก็ยิ่งเห็นความทุกข์ระทมมาก และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก(18)
-ปัญญาจารย์ 1:
แล้วข้าฯ ได้หันมาดูบรรดาสิ่งที่มือข้าฯ กระทำ และความเหน็ดเหนื่อยที่ข้าฯ ทุ่มเทลงไปนั้นและ
ดูเถิด ทุกอย่างก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจ และมิได้มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ให้ประโยชน์ถาวร.(11)
เออ ข้าฯ เกลียดชังการงานทั้งสิ้นของข้าฯ ซึ่งข้าฯ ตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น ด้วยมาเห็นว่า,
ข้าฯ จำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่จะมาภายหลังข้าฯ (18)
-ปัญญาจารย์ 2:
ความคิดของมนุษย์ผู้ซึ่งอยู่ก่อนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด, ถึงแม้จะอยู่เหนือมนุษย์ทั้งสิ้นแล้วก็ตาม:
แต่บรรดาคนที่มาภายหลังก็ยังไม่ชื่นชมยินดีในเขาได้. แน่นอน,นี่ก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจด้วย -ปัญญาจารย์ 4:16
ความพอใจกับนัยน์ตาที่ได้เห็นก็ยังดีกว่า ความอยากที่ไม่รู้จบ.
นี่ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง และเป็นการวิ่งไล่ ตามลมไป(9)
สิ่งใดๆ ซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ ล้วนถูกระบุชื่อเรียกสิ่งนั้นกันเสียมานานแล้ว และก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามนุษย์คืออะไร นั่นแหละ
และเขาไม่อาจโต้เถียงกับพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์เดชากว่าตนได้(10)
-ปัญญาจารย์ 6:
...แต่ความว่างเปล่าก็มีสิ่งทั้งปวง".
ปัญญาจารย์กล่าวว่า “อนิจจัง! อนิจจัง! อนิจจังแท้ๆ! ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจัง”(2)
ข้าฯ ได้เห็นทุกสิ่งซึ่งเขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด ล้วนก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจ(14)
อะไรที่คดแล้วจะทำให้กลับมาตรงอีกก็ ไม่ได้ และอะไรที่ไม่มีตัวตนก็จะนับไม่ได้
(15)
ข้าฯ ได้รำพึงอยู่ในใจว่า “ดูเถิด ข้าฯ ได้มาถึงฐานะที่สูงส่ง และได้มีสติปัญญามากกว่าใครๆ ที่เกิดก่อนข้าฯในกรุงเยรูซาเล็ม
เออ ใจข้าฯ ก็เจนจัดในสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง”(16)
แล้วข้าฯ ก็ตั้งใจเข้าใจสติปัญญา เข้าใจความบ้าบอ และความเขลา ข้าฯ ได้ค้นพบว่าเรื่องนี้ก็เป็นแต่กินลมกินแล้งเช่นกัน(17)
เพราะในสติปัญญามากๆก็ยิ่งเห็นความทุกข์ระทมมาก และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก(18)
-ปัญญาจารย์ 1:
แล้วข้าฯ ได้หันมาดูบรรดาสิ่งที่มือข้าฯ กระทำ และความเหน็ดเหนื่อยที่ข้าฯ ทุ่มเทลงไปนั้นและ
ดูเถิด ทุกอย่างก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจ และมิได้มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ ที่ให้ประโยชน์ถาวร.(11)
เออ ข้าฯ เกลียดชังการงานทั้งสิ้นของข้าฯ ซึ่งข้าฯ ตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น ด้วยมาเห็นว่า,
ข้าฯ จำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่จะมาภายหลังข้าฯ (18)
-ปัญญาจารย์ 2:
ความคิดของมนุษย์ผู้ซึ่งอยู่ก่อนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด, ถึงแม้จะอยู่เหนือมนุษย์ทั้งสิ้นแล้วก็ตาม:
แต่บรรดาคนที่มาภายหลังก็ยังไม่ชื่นชมยินดีในเขาได้. แน่นอน,นี่ก็เป็นความว่างเปล่าและความวุ่นวายใจด้วย -ปัญญาจารย์ 4:16
ความพอใจกับนัยน์ตาที่ได้เห็นก็ยังดีกว่า ความอยากที่ไม่รู้จบ.
นี่ก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง และเป็นการวิ่งไล่ ตามลมไป(9)
สิ่งใดๆ ซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้ ล้วนถูกระบุชื่อเรียกสิ่งนั้นกันเสียมานานแล้ว และก็ทราบกันอยู่แล้วว่ามนุษย์คืออะไร นั่นแหละ
และเขาไม่อาจโต้เถียงกับพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์เดชากว่าตนได้(10)
-ปัญญาจารย์ 6: