ตอนที่ 25 บทสรุปของมนุษยชาติ ค.ศ.2010-2019

วิกฤติซับไพรม์ ที่ถือกำเนิดในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี ค.ศ. 2008 ก่อนจะแผ่ขยายลุกลามไปทั่วโลก
ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว
GDP ของสหรัฐอเมริกาก็ลดลงเช่นกัน ลามไปถึง GDP ของประเทศในสหภาพยุโรปและญี่ปุ่น

สิ่งแรกที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทำก็คือ การลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาได้ถูกลดจนใกล้เคียง “ศูนย์”
จะมีไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ ที่คนฝากเงินในธนาคาร แล้วไม่ได้ดอกเบี้ยอะไรเลย

แต่อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ก็ยังอยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลาย และ ขาดทุนมหาศาล ในปี ค.ศ. 2008 Fed ภายใต้การนำของผู้ว่าการธนาคาร Ben Bernanke จึงได้ใช้เครื่องมือทางการเงิน เพื่อพยุงฐานะของสถาบันการเงิน และราคาของสินทรัพย์ต่างๆ
เครื่องมือนี้เรียกว่า “Quantitative Easing” หรือการทำ “QE”

การทำ QE อธิบายง่ายๆ ก็คือ การที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่มในสกุลนั้นๆโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่พิมพ์เพิ่มขึ้นมาไปซื้อสินทรัพย์ เพื่อเพิ่ม
สภาพคล่องให้กับระบบ ซึ่งการทำ QE ได้นั้น ประเทศที่กระทำจะต้องมีความแตกต่างจากประเทศทั่วไป

ประการแรก
ประเทศที่จะใช้เครื่องมือนี้ได้ จะต้องมีสกุลเงินที่เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก และมีการใช้เงินสกุลนี้ระหว่างประเทศอย่างกว้างขวางสำหรับสกุลเงิน “ดอลลาร์สหรัฐ” ได้กลายเป็นเงินสกุลหลักของโลกนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 บวกกับการที่ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์สหรัฐกับทองคำ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 จึงส่งผลให้ การพิมพ์เงินดอลลาร์สหรัฐ ไม่จําเป็นต้องมีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป

ประการที่สอง
การทำ QE ไม่ได้ต้องการให้เงินนั้นเข้าไปหมุนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งมีความแตกต่างจากการที่ประเทศซึ่งมีเศรษฐกิจอ่อนแอพิมพ์เงินเพิ่ม เนื่องจากขาดสภาพคล่อง และต้องการนำเงินนั้นเข้าไปหมุนในระบบเศรษฐกิจจนเกิดเป็นผลลัพธ์ให้เกิดเงินเฟ้อสูง

Fed ได้ทุ่มเงิน QE เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อบ้านเป็นหลักประกัน (MBS) เพื่อพยุงฐานะของธนาคารและพยุงราคาสินทรัพย์ เมื่อตราสารหนี้เหล่านี้ครบอายุ Fed ก็จะไปไถ่ถอน และได้เงินสดกลับคืนมา ซึ่งก็จะทำให้เงินที่พิมพ์เพิ่มเติม ถูกดูดออกมาจากระบบเศรษฐกิจเมื่อครบกำหนด

ซึ่งในท้ายที่สุด Fed ก็ได้ตัดสินใจหยุดมาตรการ QE ในปี ค.ศ. 2015 มาตรการ QE แสดงถึงความสำคัญของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะสกุลเงินสํารองของประเทศทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแต่ในด้านการเงินความล้ำหน้าในด้านเทคโนโลยีมานานหลายทศวรรษของสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศนี้ครองตำแหน่งฐานะ “มหาอำนาจของโลก” ไปโดยปริยาย
ในขณะที่อีกซีกโลกหนึ่ง มีผู้ท้าชิงรายใหม่ ก้าวขึ้นมาเพื่อท้าชิงตำแหน่งนี้ ประเทศจีนมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ทำให้ขนาด GDP เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก

ประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุดในปี ค.ศ. 2018 คือ...
สหรัฐอเมริกา 649.7 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐประชาชนจีน 425.0 ล้านล้านบาท
ญี่ปุ่น 157.6 ล้านล้านบาท
เยอรมนี 126.8 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 89.7 ล้านล้านบาท

ด้วยอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว สำนักงานทางเศรษฐกิจหลายแห่ง ต่างคาดการณ์ว่า ประเทศจีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า
สหรัฐอเมริกา ภายในปี ค.ศ. 2030 ภายใต้การนำของผู้นำ สี จิ้นผิง ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ “Made in China 2025 เพื่อยกระดับอุตสาหกรรม เพิ่มมูลค่าและขีดความสามารถในการแข่งขันของ
สินค้าจีน เพื่อพลิกโฉมประเทศจีน จากแหล่งผลิตสินค้าราคาถูกให้กลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าภายในปี ค.ศ. 2025

แต่ประเทศจีนก็ก้าวข้ากว่าประเทศอื่นในเรื่องของเทคโนโลยี ดังนั้น วิธีที่จะได้เทคโนโลยีมาครอบครองเพื่อพัฒนาต่อยอด จึงประกอบไปด้วย

1. การซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก แล้วใช้ความเป็นหุ้นส่วนในการดึงองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีออกมา

2. หากบริษัทไฮเทคต่างๆ ของชาวต่างชาติต้องการตั้งฐานการผลิตที่ประเทศจีน จำเป็นที่จะต้องให้บริษัทสัญชาติจีนร่วมทุนด้วย ซึ่งการร่วมทุนก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการดึงเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกาจึงพยายามทุกวิถีทาง ทั้งใช้ประเด็นในเรื่องการค้าไม่เป็นธรรมและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ทั้งหมดก็เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ประสบความสําเร็จ

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายจีนก็ไม่ยอมที่จะเสียเปรียบสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน จีนมีความได้เปรียบในเรื่องของการมีตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่สุดในโลก
รวมถึงการเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่สุดในโลกเช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าติดตามต่อไป ว่าท้ายที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เศรษฐกิจโลก 1,000 ปีที่ผ่านมา
เป็นช่วงเวลาที่วิถีชีวิตของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะช่วงเวลา 100 ปีหลังสุด จากปี ค.ศ. 1910 ถึงปี ค.ศ. 2009 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มเป็น 2 เท่า จาก 34 ปี เป็น 70 ปี
ประชากรโลกเพิ่มขึ้นมา 4 เท่า จาก 1,750 ล้านคน กลายเป็น 6,830 ล้านคน ขนาดเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นมา 20 เท่า จาก 85.6 ล้านล้านบาท กลายเป็น 1,775.2 ล้านล้านบาท

เรามีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์จนเหลือเฟือ
เราสามารถป้องกันโรคภัยที่ครั้งหนึ่งเคยพรากพวกเราไปนับล้านชีวิต เรามีเทคโนโลยีมากมายที่ต่อเติมความฝันอันไม่สิ้นสุด เครื่องบินพาเราขึ้นไปบนฟ้า ยานอวกาศออกสํารวจจักรวาลอันกว้างใหญ่
สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไล่มาตั้งแต่ หลอดไฟ รถยนต์ โทรทัศน์สี คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเราจากหน้ามือเป็นหลังมือและผู้ใดครอบครองเทคโนโลยี ผู้นั้นก็ย่อมมีอำนาจไว้ในครอบครอง แต่ไม่ว่าผู้ใดจะครอบครองอำนาจ หรือเทคโนโลยี แต่ ณ ตอนนี้ กลับกลายเป็น “มนุษย์” เอง ที่กำลังถูกเทคโนโลยีเข้าครอบงำในยุคศตวรรษที่ 21 การพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) กำลังเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงกายของมนุษย์


ในวันนี้ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาทดแทนสติปัญญา
ซึ่งจะมีทักษะในการคิด เรียนรู้ และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง จนในที่สุดสิ่งนี้จะเริ่มฉลาดกว่ามนุษย์ และเมื่อเทคโนโลยีถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องจักรสามารถคิด วิเคราะห์ตัดสินใจ และทำงานแทนมนุษย์ได้ บวกด้วยแนวคิดทุนนิยมที่ให้รางวัลกับ
ผู้ชนะในเศรษฐกิจ จะทำให้ช่องว่างของมนุษย์ ช่องว่างของประเทศถูกทำให้ห่างขึ้นเรื่อยๆ

ท้ายที่สุดเทคโนโลยีอาจทำให้มนุษย์บางส่วนกลายเป็นส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจ และทำให้เกิดความสงสัยว่า ระบบทุนนิยมซึ่งเป็นระบบที่ทุกคน
ว่าเหมาะสมในช่วงศตวรรษหลังสุดของมนุษย์จะยังคงเป็นระบบที่ใช้ได้อีกต่อไปหรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร 1,000 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่เข้มข้นที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ และในอีก 1,000 ปีข้างหน้า ก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กัน ที่มนุษย์จะได้พบเจอนับต่อจากนี้

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่