กะตะมา จานันทะ อาณาปานัสสติ
ดูก่อนอานนท์ ภิกขุประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในธรรมวินัยนี้ไปประพฤิปฏิบัติธรรม คือเจริญสมถะ วิปัสสนากรรมฐาน อยู่ตามภูเขา ลำเนาป่าไม้ก็ดี
อยู่ในห้องกรรมฐานว่างเปล่าก็ดี ภิกขุนั่งขัดสมาธิ ตั้งตัวให้ตรงๆ ตั้งสติให้มั่นคง มีปัญญาพิจารณาอยู่ ซึ่งกองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออกอยู่อย่างนี้
ภิกษุนั้นตั้งสติให้มั่นคง พิจารณาอยู่ซึ่งกองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออก ด้วยปัญญา
เมื่อหายใจเข้ายาว ภิกษุกำหนดรู้อยู่ว่าเรากำลังหายใจเข้ายาว
หรือว่าเมื่อหายใจออกยาว กำหนดรู้อยู่ว่า เรากำลังหายใจออกยาว
หรือว่าเมื่อหายใจเข้าสั้น กำหนดรู้อยู่ว่า เรากำลังหายใจเข้าสั้น
หรือว่าเมื่อหายใจออกสั้น กำหนดรู้อยู่ว่า เรากำลังหายใจออกสั้น
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมหายใจเข้าทั้งปวง
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมหายใจออกทั้งปวง
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักเป็นผู้ดับกายสังขาร คือลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ในขณะหายใจเข้า(ฌานสมาบัติ4 ดับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก)
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักเป็นผู้ดับกายสังขาร คือลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ในขณะหายใจออก(ฌานสมาบัติ4 ดับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่ง ปิติ ในขณะหายใจเข้า(ฌานที่4 มีปิติ)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่ง ปิติ ในขณะหายใจออก(ฌานที่4 มีปิติ)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง สุขเวทนา ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง สุขเวทนา ในขณะหายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตสังขาร คือ เวทนา และ สัญญา ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตสังขาร คือ เวทนา และ สัญญา ในขณะหายใจออก (ฌานสมาบัติ5ขึ้นไป ดับเวทนาและดับ สัญญาได้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดดับ จิตสังขาร คือ ดับเวทนา และ ดับสัญญา ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดดับ จิตสังขาร คือ ดับเวทนา และ ดับสัญญา ในขณะหายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตใจ ในขณะหายใจเข้า(หายใจเข้ารู้จิต สติปัญญาอบรมจิต)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตใจ ในขณะหายใจออก(หายใจออกรู้จิต สติปัญญาอบรมจิต)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักประคับประคองจิต ให้เกิดความยินดีบันเทิงในธรรม ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักประคับประคองจิต ให้เกิดความยินดีบันเทิงในธรรม ในขณะหายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักสำรวมจิต ตั้งใจไว้ในอารมณ์เดียว ในขณะหายใจเข้า(จิตสงบจากนิวรณ์5 ตั้งมั่นอารมณ์เดียวในขณะหายใจเข้า ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักสำรวมจิต ตั้งใจไว้ในอารมณ์เดียว ในขณะหายใจออก(จิตสงบจากนิวรณ์5 ตั้งมั่นอารมณ์เดียวในขณะหายใจออก ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักปลดเปลื้องจิตใจออกจากนิวรณ์ธรรมทั้ง5 ในขณะหายใจเข้า(ขณะหายใจเข้า เมื่อจิตสงบจากนิวรณ์5 ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักปลดเปลื้องจิตใจออกจากนิวรณ์ธรรมทั้ง5 ในขณะหายใจออก(ขณะหายใจออก เมื่อจิตสงบจากนิวรณ์5 ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาเนืองๆซึ่งลมหายใจเข้า โดยความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง (ภิกษุพิจารณาอยู่เนืองๆ ซึ่งลมหายใจเข้าโดยความเป็นอนิจจัง เป็นวิปัสสนากรรมฐาน)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาเนืองๆซึ่งลมหายใจออก โดยความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง (ภิกษุพิจารณาอยู่เนืองๆ ซึ่งลมหายใจออกโดยความเป็นอนิจจัง เป็นวิปัสสนากรรมฐาน)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง วิราคะธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจเข้า (ขณะหายใจเข้า มีสติปัญญาพิจารณาวิราคะธรรม)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง วิราคะธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจออก (ขณะหายใจออก มีสติปัญญาพิจารณาวิราคะธรรม)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง นิโรธธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจเข้า (ขณะหายใจเข้าพิจารณาการดับไปของ จิตเจตสิก)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง นิโรธธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจออก (ขณะหายใจออกพิจารณาการดับไปของ จิตเจตสิก)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาซึ่งพระนิพพาน ว่าเป็นธรรมที่สลัดทิ้งซึ่งกองกิเลสตัณหาอุปาทาน ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาซึ่งพระนิพพาน ว่าเป็นธรรมที่สลัดทิ้งซึ่งกองกิเลสตัณหาอุปาทาน ในขณะหายใจออก
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุบวช ประพฤติพรหมจรรย์ อยู่ในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเนืองๆ ซึ่งลมหายใจเข้า และลมหายใจออกอยู่อย่างนี้แล เรา ตถาคตเรียกว่า การเจริญอานาปนัสสติสัญญา
อาณาปานัสสติ
ดูก่อนอานนท์ ภิกขุประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในธรรมวินัยนี้ไปประพฤิปฏิบัติธรรม คือเจริญสมถะ วิปัสสนากรรมฐาน อยู่ตามภูเขา ลำเนาป่าไม้ก็ดี
อยู่ในห้องกรรมฐานว่างเปล่าก็ดี ภิกขุนั่งขัดสมาธิ ตั้งตัวให้ตรงๆ ตั้งสติให้มั่นคง มีปัญญาพิจารณาอยู่ ซึ่งกองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออกอยู่อย่างนี้
ภิกษุนั้นตั้งสติให้มั่นคง พิจารณาอยู่ซึ่งกองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออก ด้วยปัญญา
เมื่อหายใจเข้ายาว ภิกษุกำหนดรู้อยู่ว่าเรากำลังหายใจเข้ายาว
หรือว่าเมื่อหายใจออกยาว กำหนดรู้อยู่ว่า เรากำลังหายใจออกยาว
หรือว่าเมื่อหายใจเข้าสั้น กำหนดรู้อยู่ว่า เรากำลังหายใจเข้าสั้น
หรือว่าเมื่อหายใจออกสั้น กำหนดรู้อยู่ว่า เรากำลังหายใจออกสั้น
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมหายใจเข้าทั้งปวง
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมหายใจออกทั้งปวง
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักเป็นผู้ดับกายสังขาร คือลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ในขณะหายใจเข้า(ฌานสมาบัติ4 ดับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก)
ภิกษุย่อมกำหนดด้วยสติปัญญาว่า เราจักเป็นผู้ดับกายสังขาร คือลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ในขณะหายใจออก(ฌานสมาบัติ4 ดับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่ง ปิติ ในขณะหายใจเข้า(ฌานที่4 มีปิติ)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักรู้แจ้งซึ่ง ปิติ ในขณะหายใจออก(ฌานที่4 มีปิติ)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง สุขเวทนา ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง สุขเวทนา ในขณะหายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตสังขาร คือ เวทนา และ สัญญา ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตสังขาร คือ เวทนา และ สัญญา ในขณะหายใจออก (ฌานสมาบัติ5ขึ้นไป ดับเวทนาและดับ สัญญาได้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดดับ จิตสังขาร คือ ดับเวทนา และ ดับสัญญา ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดดับ จิตสังขาร คือ ดับเวทนา และ ดับสัญญา ในขณะหายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตใจ ในขณะหายใจเข้า(หายใจเข้ารู้จิต สติปัญญาอบรมจิต)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักกำหนดรู้แจ้งซึ่ง จิตใจ ในขณะหายใจออก(หายใจออกรู้จิต สติปัญญาอบรมจิต)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักประคับประคองจิต ให้เกิดความยินดีบันเทิงในธรรม ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักประคับประคองจิต ให้เกิดความยินดีบันเทิงในธรรม ในขณะหายใจออก
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักสำรวมจิต ตั้งใจไว้ในอารมณ์เดียว ในขณะหายใจเข้า(จิตสงบจากนิวรณ์5 ตั้งมั่นอารมณ์เดียวในขณะหายใจเข้า ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักสำรวมจิต ตั้งใจไว้ในอารมณ์เดียว ในขณะหายใจออก(จิตสงบจากนิวรณ์5 ตั้งมั่นอารมณ์เดียวในขณะหายใจออก ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักปลดเปลื้องจิตใจออกจากนิวรณ์ธรรมทั้ง5 ในขณะหายใจเข้า(ขณะหายใจเข้า เมื่อจิตสงบจากนิวรณ์5 ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า เราจักปลดเปลื้องจิตใจออกจากนิวรณ์ธรรมทั้ง5 ในขณะหายใจออก(ขณะหายใจออก เมื่อจิตสงบจากนิวรณ์5 ก็รู้)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาเนืองๆซึ่งลมหายใจเข้า โดยความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง (ภิกษุพิจารณาอยู่เนืองๆ ซึ่งลมหายใจเข้าโดยความเป็นอนิจจัง เป็นวิปัสสนากรรมฐาน)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาเนืองๆซึ่งลมหายใจออก โดยความเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง (ภิกษุพิจารณาอยู่เนืองๆ ซึ่งลมหายใจออกโดยความเป็นอนิจจัง เป็นวิปัสสนากรรมฐาน)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง วิราคะธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจเข้า (ขณะหายใจเข้า มีสติปัญญาพิจารณาวิราคะธรรม)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง วิราคะธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจออก (ขณะหายใจออก มีสติปัญญาพิจารณาวิราคะธรรม)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง นิโรธธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจเข้า (ขณะหายใจเข้าพิจารณาการดับไปของ จิตเจตสิก)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาบ่อยๆซึ่ง นิโรธธรรม คือพระนิพพาน ในขณะหายใจออก (ขณะหายใจออกพิจารณาการดับไปของ จิตเจตสิก)
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาซึ่งพระนิพพาน ว่าเป็นธรรมที่สลัดทิ้งซึ่งกองกิเลสตัณหาอุปาทาน ในขณะหายใจเข้า
ภิกษุย่อมพิจารณาเนืองๆด้วยสติปัญญาว่า เราจักพิจารณาซึ่งพระนิพพาน ว่าเป็นธรรมที่สลัดทิ้งซึ่งกองกิเลสตัณหาอุปาทาน ในขณะหายใจออก
ดูก่อนอานนท์ ภิกษุบวช ประพฤติพรหมจรรย์ อยู่ในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเนืองๆ ซึ่งลมหายใจเข้า และลมหายใจออกอยู่อย่างนี้แล เรา ตถาคตเรียกว่า การเจริญอานาปนัสสติสัญญา