คราวก่อนตั้งกระทู้ไม่ได้มาอ่านเพิ่งมาอ่าน ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาร่วมตอบ
กระทู้ที่ผมตั้ง ผู้ที่มือใหม่ก็มาตอบได้ เราเป็นกันเองเสมอ เพื่อเพิ่มความเข้าใจในศาสนาพุทธยิ่งๆขึ้นไป ให้เกียรติ์กันเสมอ
เข้าเรื่อง
คำว่า สัสสตทิฏฐิ มีผู้ให้นิยามว่าอย่างไร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี " สัสสตทิฐิ (อ่านว่า สัดสะตะทิถิ) แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง เป็นทิฐิที่ตรงกันข้ามกับ อุจเฉททิฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) ศาสนาพุทธถือว่าทั้งสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ "
สัสสตทิฐิ คือความเห็นว่า เที่ยง
อุจเฉททิฐิ คือความเห็นว่าขาดสูญ
ต่อมา เรามาดูในพระไตรปิฏกว่าอย่างไร
" [๔๒๘] สัสสตทิฏฐิชื่อว่าอัตตา ในคำว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้
ในบุคคลนั้น ดังนี้ ย่อมไม่มี. อุจเฉททิฏฐิ ชื่อว่านิรัตตา ย่อมไม่มี สิ่งที่ยึดถือชื่อว่า อัตตา ย่อม
ไม่มี สิ่งที่พึงปล่อยวางชื่อว่า นิรัตตา ย่อมไม่มี. สิ่งที่ยึดถือย่อมไม่มีแก่บุคคลใด สิ่งที่พึง
ปล่อยวางก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น สิ่งที่พึงปล่อยวางย่อมไม่มีแก่บุคคลใด สิ่งที่พึงยึดถือก็ไม่มี
แก่บุคคลนั้น. บุคคลนั้นผู้เป็นพระอรหันต์ ก้าวล่วงความถือและปล่อยวางแล้ว ล่วงเลย
ความเจริญและความเสื่อมแล้ว. บุคคลนั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่
ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ใน
บุคคลนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น อัตตทิฏฐิก็ดี
นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ในบุคคลนั้น."
ถ้าให้ผมเข้าใจก็จะเข้าใจดังนี้
สัสสตทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นว่าเที่ยง เป็นอัตตา
อุจเฉททิฏฐิ ก็คือ ความเห็นว่าทุกอย่างสูญ ไม่มีอัตตา
อย่างที่ผมเคยกล่าวว่า ในตัวคนเรา มี จิต เจตสิก รูป นิพพาน หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ มีจิต เจตสิก รูป คือขันธ์ห้า เชื่อมกับ นิพพานธาตุ
ดังนั้น ถ้าเราแบ่งเป็นสองภาค
ภาคที่เป็นขันธ์ห้า กับภาคที่เป็น นิพพานธาตุ
สัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิ ใช้กล่าวกับสิ่งไดเล่า แน่นอน ย่อมกล่าวกับสิ่งที่เป็นภาคขันธ์ห้า
บางท่านอาจตีความว่า ทำใมกล่าวเข้าข้างตนเองละ
ดูในพระสูตรนะครับ
"บุคคลนั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่
ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ใน
บุคคลนั้น."
บุคคลในที่นี้หมายถึงอะไร ก็นิพพานธาตุนั้นเอง
บุคคล ผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับขันธ์ห้าว่า เป็นตน หรือไม่เป็นตน ก็ไม่ใช่สาระอีกต่อไป
มีคนตัดสินว่า ผมเป็นพวก สัสสตทิฏฐิ อันนี้ ไม่เป็นธรรมกับผมเลย
ผมบอกเสมอว่า ตัวตนของผมไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวตนของผม
ธรรมชาติของ ร่างกาย และจิต มันมีลักษณะจำเพราะของมัน แม้แต่การเขียนหนังสือสำนวนโวหารก็ทดแทนกันยาก ถึงผมจะตั้งชื่อว่า ลุงมอย ก็เพียงเพื่อให้เป็นลักษณะจำเพราะของกายและใจดวงนี้
สักกายะทิฏฐิ หมายถึง การเห็นว่า ขันธ์ห้าเป็นตน
การเห็นว่า เป็นตน กับการเห็นว่า เป็นของตน นั้นต่างกันนะครับ
บางท่านก็บอกว่า ถ้าไม่มีตนแล้ว สิ่งทั้งหลาย ก็ไม่มีเจ้าของ
แท้จริงแล้วมีตนหรือเปล่า แน่นอนไม่มีตนในขันธ์ห้า
คำว่าบุคคลในพระสูตรเล่า หมายถึงสิ่งไดกัน
การบรรลุธรรม ถ้าไม่ภาวนาให้เกิดญาณ ไม่มีทางจะบรรลุธรรมได้
อันนี้บ่งบอกว่า ในตัวเราไม่ได้มีแต่จิต เป็นผู้รู้
สรูป สัสสตะทิฏฐิ คือความเห็นว่า ขันธ์ห้า เป็นสิ่งเที่ยงเป็นอัตตา
อุจเฉททิฏฐิ คือความเห็นว่า ขันธ์ห้า เป็นของสูญไม่มีอัตตา
ทั้งสองนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
บางท่านอาจจะว่า การเห็นว่าขันธ์ห้าเป็นของสูญก็ถูกแล้ว ผมเคยอ่านในพระสูตร จำไม่ได้ว่าบทไหน ที่บอกว่า มีคนหนึ่งบอกว่า ถ้าขันธ์ไม่มีอัตตา การทำผิดศิลก็ไม่บาปสิ เพราะไม่มีผู้ทำบาป อันนี้ พระพุทธองค์กล่าวว่า เป็นคำกล่าวที่ไม่ถูก
เพราะการทำ กุศล หรืออะกุศล ผลของมันจะติดตามขันธ์ อยู่ต่อไป จากขันธ์อันหนึ่ง ส่งถ่ายไปยังขันธ์ใหม่ ต่อไปเรื่อย ดังกงล้อที่ตามเท้าโคลากล้อเกรียนฉะนั้น
ถ้าท่านมีความาเห็นแตกต่างเชิญชี้แนะด้วยพรุ่งนี้จะมาอ่าน
การฝากลิ้งให้อ่าน มันเป็น การสื่อสารทางเดียว
การมีเวบบอร์ด ก็เพราะเราต้องการให้มีการสื่อสาร สองทางจะได้คุยกันสนุก กว่านะครับ
สุดท้าย ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครอง ลูกหลานที่ออกไปประท้วงด้วย ไม่ให้รับอันตรายเลย
สัสสตทิฏฐิ มีความหมายอย่างไร
กระทู้ที่ผมตั้ง ผู้ที่มือใหม่ก็มาตอบได้ เราเป็นกันเองเสมอ เพื่อเพิ่มความเข้าใจในศาสนาพุทธยิ่งๆขึ้นไป ให้เกียรติ์กันเสมอ
เข้าเรื่อง
คำว่า สัสสตทิฏฐิ มีผู้ให้นิยามว่าอย่างไร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี " สัสสตทิฐิ (อ่านว่า สัดสะตะทิถิ) แปลว่า ความเห็นว่าเที่ยง เป็นทิฐิที่ตรงกันข้ามกับ อุจเฉททิฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) ศาสนาพุทธถือว่าทั้งสัสสตทิฐิและอุจเฉททิฐิเป็นมิจฉาทิฐิ "
สัสสตทิฐิ คือความเห็นว่า เที่ยง
อุจเฉททิฐิ คือความเห็นว่าขาดสูญ
ต่อมา เรามาดูในพระไตรปิฏกว่าอย่างไร
" [๔๒๘] สัสสตทิฏฐิชื่อว่าอัตตา ในคำว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้
ในบุคคลนั้น ดังนี้ ย่อมไม่มี. อุจเฉททิฏฐิ ชื่อว่านิรัตตา ย่อมไม่มี สิ่งที่ยึดถือชื่อว่า อัตตา ย่อม
ไม่มี สิ่งที่พึงปล่อยวางชื่อว่า นิรัตตา ย่อมไม่มี. สิ่งที่ยึดถือย่อมไม่มีแก่บุคคลใด สิ่งที่พึง
ปล่อยวางก็ไม่มีแก่บุคคลนั้น สิ่งที่พึงปล่อยวางย่อมไม่มีแก่บุคคลใด สิ่งที่พึงยึดถือก็ไม่มี
แก่บุคคลนั้น. บุคคลนั้นผู้เป็นพระอรหันต์ ก้าวล่วงความถือและปล่อยวางแล้ว ล่วงเลย
ความเจริญและความเสื่อมแล้ว. บุคคลนั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่
ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ใน
บุคคลนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
บุตร ปศุสัตว์ ไร่นา และที่ดิน ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น อัตตทิฏฐิก็ดี
นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ในบุคคลนั้น."
ถ้าให้ผมเข้าใจก็จะเข้าใจดังนี้
สัสสตทิฏฐิ ก็คือ ความเห็นว่าเที่ยง เป็นอัตตา
อุจเฉททิฏฐิ ก็คือ ความเห็นว่าทุกอย่างสูญ ไม่มีอัตตา
อย่างที่ผมเคยกล่าวว่า ในตัวคนเรา มี จิต เจตสิก รูป นิพพาน หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ มีจิต เจตสิก รูป คือขันธ์ห้า เชื่อมกับ นิพพานธาตุ
ดังนั้น ถ้าเราแบ่งเป็นสองภาค
ภาคที่เป็นขันธ์ห้า กับภาคที่เป็น นิพพานธาตุ
สัสสตทิฏฐิ และ อุจเฉททิฏฐิ ใช้กล่าวกับสิ่งไดเล่า แน่นอน ย่อมกล่าวกับสิ่งที่เป็นภาคขันธ์ห้า
บางท่านอาจตีความว่า ทำใมกล่าวเข้าข้างตนเองละ
ดูในพระสูตรนะครับ
"บุคคลนั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว ฯลฯ ภพใหม่
ย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อัตตทิฏฐิก็ดี นิรัตตทิฏฐิก็ดี ย่อมไม่เข้าไปได้ใน
บุคคลนั้น."
บุคคลในที่นี้หมายถึงอะไร ก็นิพพานธาตุนั้นเอง
บุคคล ผู้บรรลุพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับขันธ์ห้าว่า เป็นตน หรือไม่เป็นตน ก็ไม่ใช่สาระอีกต่อไป
มีคนตัดสินว่า ผมเป็นพวก สัสสตทิฏฐิ อันนี้ ไม่เป็นธรรมกับผมเลย
ผมบอกเสมอว่า ตัวตนของผมไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวตนของผม
ธรรมชาติของ ร่างกาย และจิต มันมีลักษณะจำเพราะของมัน แม้แต่การเขียนหนังสือสำนวนโวหารก็ทดแทนกันยาก ถึงผมจะตั้งชื่อว่า ลุงมอย ก็เพียงเพื่อให้เป็นลักษณะจำเพราะของกายและใจดวงนี้
สักกายะทิฏฐิ หมายถึง การเห็นว่า ขันธ์ห้าเป็นตน
การเห็นว่า เป็นตน กับการเห็นว่า เป็นของตน นั้นต่างกันนะครับ
บางท่านก็บอกว่า ถ้าไม่มีตนแล้ว สิ่งทั้งหลาย ก็ไม่มีเจ้าของ
แท้จริงแล้วมีตนหรือเปล่า แน่นอนไม่มีตนในขันธ์ห้า
คำว่าบุคคลในพระสูตรเล่า หมายถึงสิ่งไดกัน
การบรรลุธรรม ถ้าไม่ภาวนาให้เกิดญาณ ไม่มีทางจะบรรลุธรรมได้
อันนี้บ่งบอกว่า ในตัวเราไม่ได้มีแต่จิต เป็นผู้รู้
สรูป สัสสตะทิฏฐิ คือความเห็นว่า ขันธ์ห้า เป็นสิ่งเที่ยงเป็นอัตตา
อุจเฉททิฏฐิ คือความเห็นว่า ขันธ์ห้า เป็นของสูญไม่มีอัตตา
ทั้งสองนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ
บางท่านอาจจะว่า การเห็นว่าขันธ์ห้าเป็นของสูญก็ถูกแล้ว ผมเคยอ่านในพระสูตร จำไม่ได้ว่าบทไหน ที่บอกว่า มีคนหนึ่งบอกว่า ถ้าขันธ์ไม่มีอัตตา การทำผิดศิลก็ไม่บาปสิ เพราะไม่มีผู้ทำบาป อันนี้ พระพุทธองค์กล่าวว่า เป็นคำกล่าวที่ไม่ถูก
เพราะการทำ กุศล หรืออะกุศล ผลของมันจะติดตามขันธ์ อยู่ต่อไป จากขันธ์อันหนึ่ง ส่งถ่ายไปยังขันธ์ใหม่ ต่อไปเรื่อย ดังกงล้อที่ตามเท้าโคลากล้อเกรียนฉะนั้น
ถ้าท่านมีความาเห็นแตกต่างเชิญชี้แนะด้วยพรุ่งนี้จะมาอ่าน
การฝากลิ้งให้อ่าน มันเป็น การสื่อสารทางเดียว
การมีเวบบอร์ด ก็เพราะเราต้องการให้มีการสื่อสาร สองทางจะได้คุยกันสนุก กว่านะครับ
สุดท้าย ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครอง ลูกหลานที่ออกไปประท้วงด้วย ไม่ให้รับอันตรายเลย