พระโพธิสัตว์(เจ้าชายสิทธัตถะ) ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ก่อนตรัสรู้

ในขณะที่ บุรุษเปล่า และสหายบาป ของเขา กำลัง ดิ้นรน แถกแถ ในประเด็น วิชชาสาม กับ สัสสตทิฐิ อยู่นั้น
ผมขออนุญาต ชักชวน ให้ท่านทั้งหลาย มาพิจารณาหลักฐานชั้นพุทธพจน์ เพิ่มเติม เพื่อประกอบการพิจารณา
ประเด็น สัมมาทิฐิ และ  มิจฉาทิฐิ ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ให้แยบคายยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนี้

ตามความจาก มหาศักยมุนีโคตมสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตั้งยังทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้
ท่านก็ได้พิจารณา อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาทแล้ว ความว่า .......



ถามว่า หลักฐานเรื่องนี้ มีความสำคัญอย่างไร ?

ตอบว่า ความสำคัญมันก็อยู่ตรงที่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้หลายแห่งว่า
ปฏิจจสมุปบาทที่เป็นคำสอนของพระองค์นั้น จักต้องปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา โดยเด็ดขาด
ดังนั้น จึงป่วยการที่จะมาถามว่า ภพ ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ ในปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นของใคร ?
หรือ ถามในทำนองว่า ใครเป็นผู้ ผัสสะ เสวยเวทนา ฯลฯ เนื่องจาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า

คำถามในลักษณะอย่างนี้ ล้วนมีที่มาจาก ความคิด ความเชื่อ ที่เป็นมิจฉาทิฐิ
ซึ่งย่อมไม่เป็นไปเพื่อการประพฤติพรหมจรรย์ ในพระธรรมวินัยนี้ !



ปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้น ก็คือ ในเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เคยใคร่ครวญพิจารณาปฏิจจสมุปบาทมาเป็นอย่างดีแล้ว
ซึ่งแน่นอนว่า ปฏิจจสมุปบาทนั้น จะต้องไม่ข้องแวะ คาบเกี่ยว กับ มิจฉาทิฐิสุดโต่ง
เฉกเช่น สัสสตทิฐิ หรือ อุจเฉททิฐิ กล่าวคือ ต้อง ปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา โดยเด็ดชาด

แล้วเหตุใด สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงยังไปโผล่ อยู่ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ของพระโพธิสัตว์ ได้อีก ?



ขออนุญาต กล่าวย้ำว่า ประเด็นนี้ คันโตนาซี ก็มิอาจให้คำอธิบายที่ตรงไปตรงมาได้ ทั้งๆ ที่ตัวมันเอง
เป็นผู้กล่าวอ้างว่า (๑) วิชชาสามของพระพุทธเจ้า จะเป็น สัสสตทิฐิ ไม่ได้ และ (๒) มันทวงถามผมเองว่า
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ในวิชชาสาม ของพระพุทธเจ้า มี สัตว์ บุคคล อยู่ตรงไหน ?

ผมเข้าใจ(เอาเอง)ว่า จนถึงบัดนี้ ท่านทั้งหลาย ก็น่าจะทราบโดยทั่วกันแล้วว่า
มี สัตว์ บุคคล อยู่ที่ตรงส่วนไหน ของ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ !

ทั้งนี้ คำถาม ที่ คันโตนาซี ไม่กล้าตอบ อย่างตรงไปตรงมา ก็คือ

(๑) ถ้ามี สัตว์ บุคคล อยู่ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ นั่นย่อมหมายความว่า เป็น สัสสตทิฐิ
ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ ก็คือ .........

(๑.๑) ปุพเพฯ ของพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ ตามหลักฐาน ที่ปรากฏอยู่ ต้องเป็น สัสสตทิฐิ
(๑.๒) ข้อความส่วนที่มี สัตว์ บุคคล ซึ่งเป็น สัสสตทิฐิ เป็นส่วนที่ จดมาเกิน ด้วยความเข้าใจผิด

คันโตนาซี อย่ามัวแต่เอาหัวมุดทรายอยู่เลย กรุณาตอบออกมาชัดๆ ด้วยครับว่า ข้อไหนถูก ข้อไหนผิด ?

(๒) ถ้า วิชชาสาม ของพระพุทธเจ้า เป็น สัสสตทิฐิ ไม่ได้ ตามที่ คันโตนาซี กล่าวมาจริง
ก็ต้องหมายความว่า ............

(๒.๑) วิชชาสาม ที่ปรากฏตามหลักฐาน ไม่ใช่ วิชชาสามของพระพุทธเจ้า
เพราะปรากฏ สัตว์ บุคคล อยู่ในนั้น ซึ่งย่อมต้องเป็น สัสสตทิฐิ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปได้
(๒.๒) สัตว์ บุคคล ที่ปรากฏอยู่ เป็นเพียง "เนื้องอก" ที่เกินมา เนื่องจาก ความปรารถนาดีของผู้จดพระคัมภีร์

คันโตนาซี อย่ามัวแต่เอาหัวมุดทรายอยู่เลย กรุณาตอบออกมาชัดๆ ด้วยครับว่า ข้อไหนถูก ข้อไหนผิด ?

**************************************************************************************

ในประเด็นที่ว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็น สัสสตทิฐิ ได้อย่างไรนั้น ขออนุญาต กล่าวย้ำอีกครั้งว่า

(๑) พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เพราะเหตุที่มี ตัณหา ราคะ ฯลฯ ในขันธ์ทั้งหลายว่า เป็นตน หรือของๆตน จึงเรียกว่า สัตว์



(๒) สมณพราหมณ์เหล่าอื่น อาศัย ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ตามระลึกถึงขันธ์ในอดีต ด้วย ตัณหา ราคะ ฯลฯ
ว่า เป็นตน หรือ ของๆตน จึงเกิดเป็น มิจฉาทิฐิ ว่า อัตตาและโลกเที่ยง ส่วน สัตว์ บุคคล ย่อมเวียนเกิดเวียนตาย



(๓) แต่อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว ย่อมไม่มีความอาลัย ย่อมไม่ชื่นชม ย่อมปฏิบัติเพื่อเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัดใน ขันธ์ ๕
และพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา



จากหลักฐานชั้นพระบาลีพุทธพจน์ ทั้งหมดที่ยกขึ้นแสดงนี้ สามารถสรุปความได้ว่า

(๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ที่เป็น สัมมาทิฐิ จักต้อง ปราศจาก สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา

(๒) ถ้าพบ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ในปุพเพนิวาสานุสติญาณใดๆ ย่อมแปลความได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
(๒.๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณนั้นๆ เป็น มิจฉาทิฐิ มิใช่ สัมมาทิฐิในพระพุทธศาสนา
(๒.๒) มีความผิดพลาดในการจดบันทึกพระคัมภีร์ มีการเพิ่มเติมข้อความเข้ามาโดยผู้หวังดี แต่ปราศจากความเข้าใจที่ถูกต้อง

(๓) ชาวพุทธชายขอบ ซึ่งโดยกำพืด เป็นพวก สัสสตทิฐิ พยายามฉกฉวย ความบกพร่องโดยสุจริตของพระคัมภีร์
มาสนับสนุน มิจฉาทิฐิของตน โดยมิใยดีต่อการ "สอบทาน" หรือ "เทียบเคียง" กับพุทธพจน์อื่นๆ แต่อย่างใดทั้งสิ้น

พวกบุรุษเปล่าเหล่านี้ เขามีแนวทาง ในการเอาตัวรอด อยู่ไม่กี่แบบหรอกครับ

บ้าง ก็อ้างในทำนองว่า พระไตรปิฎก สมบูรณ์ที่สุด ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทั้งสิ้น
แล้วมัน ก็เลือกที่จะเชื่อเฉพาะในส่วนที่ถูกจริต สอดคล้องกับ มิจฉาทิฐิ ของมัน

พร้อมๆ กันนั้น หากมีใครพยายามตรวจสอบความถูกต้องของพระไตรปิฎก
ตามหลักการ มหาปเทส ๔ ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้
คนพวกนี้ ก็จะเข้ามารุมประณาม ต่างๆ นาๆ อย่างปราศจากเหตุผล

บ้าง ก็ใช้วิธี ตีความ พุทธพจน์เอาเอง แล้วแอบอ้างว่าเป็นพระพุทธดำรัส แบบหน้าด้านๆ
ครั้นเมื่อถูกทวงถามถึง หลักฐาน มันก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เฉไฉพูดเรื่องอื่นไปเสีย

หรือมิใช่ ?

**************************************************************************************

ประเด็นสุดท้าย ที่จำต้องกล่าวถึงสักหน่อย ก็คือ การที่ คันโตนาซี พยายามดื้อด้าน แถกแถ อย่างไม่รู้จักอายว่า
ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ในวิชชาสามของพระพุทธเจ้า ต้องหมายถึง ปุพเพฯ ขณะที่ได้วิชชาสามแล้ว(ซึ่งไม่จริง)

ผมเห็นว่า นี่มิใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงกันให้เสียเวลา เลยนี่ครับ ก็หลักฐานมัน คาหูคาตา เสียขนาดนี้ว่า

(๑) พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใน ปฐมยาม แห่งราตรี



(๒) พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ บรรลุ จุตูปปาตญาณ ใน มัชฌิมยาม แห่งราตรี



(๓) พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ บรรลุ อาสวักขยญาณ ใน ปัจฉิมยาม แห่งราตรี



จากหลักฐานตามที่ปรากฏอยู่จริงนี้ ย่อมสรุปความได้ว่า ........
ในขณะที่พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ บรรลุ ญาณที่ ๑ คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ นั้น
ท่านยังมิได้ บรรลุ ญาณที่ ๒ คือ จุตูปปาตญาณ และ ญาณที่ ๓ คือ อาสวักขยญาณ เลยนี่ครับ

ทั้งนี้ แม้จะเรียกว่า วิชชาสามๆ แต่ก็มิได้หมายความว่า จะบรรลุวิชชาทั้งสาม พร้อมๆ กันเสียเมื่อไร
หยุดการแถกแถ เอาสีข้างเข้าถู เถียงแบบข้างๆ คูๆ ได้แล้วนะครับ หัดกล่าวตามจริง และยอมรับผิดตามธรรมเสียบ้าง

อย่าได้ทำตัวให้ตกต่ำ เป็น คนกระจอก เลยนะครับ มันน่าทุเรศน่ะ
และเมื่อถูกถามถึง สิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็จงกล่าวตอบใน สิ่งที่เป็นประโยชน์ น่าจะเหมาะสมกว่า
อย่าให้เสียที ที่เกิดมาแล้ว สามารถ ยกหูชูหาง อวดอ้างตนว่าเป็น ชาวพุทธเถรวาท เลยนะครับ !



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่