ก่อนพุทธกาลคติความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตายของคนทั่วไปมีอยู่สองอย่าง
พวกหนึ่งเชื่อว่ากายแตกชีวิตก็ดับสุญสิ้นกันไปความเชื่อแบบนี้เรียกว่าอุจเฉททิฐิ
อีกพวกหนึ่งเชื่อว่ากายแตกแต่ชีวิตไม่ได้ดับสุญสิ้นไปด้วยแต่มีอัตตาเป็นอมตะหลังความตาย
ในปัจจุบันจะเห็นว่าอุจเฉททิฐิได้พัฒนาจากกายอรูปของพรหมในชั้นเนวสัญญามาเป็นกายพระอรหันต์เมื่อแตกดับขันธ์ชีวิตก็จะดับสุญ
และสัสสตทิฐิได้ปรับปรุงคติของตนเองจากายอรูปของพรหมในชั้นเนวสัญญา
มาเป็นกายเหมือนมนุษย์แก้วสดใสแทนและเป็นอมตะหลังกายมนุษย์ของพระอรหันต์แตกดับ
น่าเห็นใจที่ว่าความเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นทั้งเรื่องโลกแบนและกายมนุษย์ได้ครอบงำสังคมมายาวนาน
ที่จริงพุทธองค์ได้ทรงบอกความจริงให้ทราบกันตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วว่าโลกแบนและกายมนุษย์เป็นเพียงแค่อุปทานเท่านั้น
ไม่ควรยึดถือว่าเป็นรูปแบบที่ถูกต้องแม้จะทรงให้เผากายมนุษย์ทิ้งเมื่อหมดลมเพื่อสอนว่าอย่ายึดมั่นในรูปอุปทานนี้เหมือนในศาสนาอื่น
ที่นำร่างคนตายไปฝั่งเพื่อรอวันที่รูปนี้จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันพิพากษาส่วนพวกสัสสตทิฐิในปัจจุบันเอารูปร่างแบบมนุษย์ไปไว้ในพระนิพพานเลย
แล้วพระพุทธองค์ทรงสอนอะไเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเป็นแบบอุจเฉทฯหรือแบบสัสสตทิฐิ!?
จะเห็นว่าทิฐิทั้งสองแบบนี้เป็นคำสอนให้เชื่อว่าอุปทานขันธ์ห้าเป็นเรื่องจริงจึงเชื่อว่ามีคนเกิดมีคนตายจริง
จึงมึความเชื่อต่อไปอีกว่าในเรื่องชีวิตหลังความตายว่าสุญและไม่สุญตามมา
ส่วนพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องให้ละชีวิตในอุปทานขันธ์ห้าและเรื่องของชีวิตหลังสิ้นอุปทานขันธ์ห้า
โดยทรงสอนว่าชีวิตในอุปทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์ทำให้มีการเกิดการตายเกิดขึ้น
และทรงสอนว่าชีวิตหลังสิ้นอุปทานขันธ์ห้าไม่มีเกิดไม่มีตายไม่มีการมาไม่มีการไปไม่มีการตั้งอยู่ของดินน้ำลมไฟฯ
....สัมมาทิฐิที่ไม่ใช่..อุจเฉทฯและสัสสตทิฐิเป็นไฉน!?
พวกหนึ่งเชื่อว่ากายแตกชีวิตก็ดับสุญสิ้นกันไปความเชื่อแบบนี้เรียกว่าอุจเฉททิฐิ
อีกพวกหนึ่งเชื่อว่ากายแตกแต่ชีวิตไม่ได้ดับสุญสิ้นไปด้วยแต่มีอัตตาเป็นอมตะหลังความตาย
ในปัจจุบันจะเห็นว่าอุจเฉททิฐิได้พัฒนาจากกายอรูปของพรหมในชั้นเนวสัญญามาเป็นกายพระอรหันต์เมื่อแตกดับขันธ์ชีวิตก็จะดับสุญ
และสัสสตทิฐิได้ปรับปรุงคติของตนเองจากายอรูปของพรหมในชั้นเนวสัญญา
มาเป็นกายเหมือนมนุษย์แก้วสดใสแทนและเป็นอมตะหลังกายมนุษย์ของพระอรหันต์แตกดับ
น่าเห็นใจที่ว่าความเชื่อในสิ่งที่ตนเห็นทั้งเรื่องโลกแบนและกายมนุษย์ได้ครอบงำสังคมมายาวนาน
ที่จริงพุทธองค์ได้ทรงบอกความจริงให้ทราบกันตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วว่าโลกแบนและกายมนุษย์เป็นเพียงแค่อุปทานเท่านั้น
ไม่ควรยึดถือว่าเป็นรูปแบบที่ถูกต้องแม้จะทรงให้เผากายมนุษย์ทิ้งเมื่อหมดลมเพื่อสอนว่าอย่ายึดมั่นในรูปอุปทานนี้เหมือนในศาสนาอื่น
ที่นำร่างคนตายไปฝั่งเพื่อรอวันที่รูปนี้จะฟื้นขึ้นมาใหม่ในวันพิพากษาส่วนพวกสัสสตทิฐิในปัจจุบันเอารูปร่างแบบมนุษย์ไปไว้ในพระนิพพานเลย
แล้วพระพุทธองค์ทรงสอนอะไเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเป็นแบบอุจเฉทฯหรือแบบสัสสตทิฐิ!?
จะเห็นว่าทิฐิทั้งสองแบบนี้เป็นคำสอนให้เชื่อว่าอุปทานขันธ์ห้าเป็นเรื่องจริงจึงเชื่อว่ามีคนเกิดมีคนตายจริง
จึงมึความเชื่อต่อไปอีกว่าในเรื่องชีวิตหลังความตายว่าสุญและไม่สุญตามมา
ส่วนพระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องให้ละชีวิตในอุปทานขันธ์ห้าและเรื่องของชีวิตหลังสิ้นอุปทานขันธ์ห้า
โดยทรงสอนว่าชีวิตในอุปทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์ทำให้มีการเกิดการตายเกิดขึ้น
และทรงสอนว่าชีวิตหลังสิ้นอุปทานขันธ์ห้าไม่มีเกิดไม่มีตายไม่มีการมาไม่มีการไปไม่มีการตั้งอยู่ของดินน้ำลมไฟฯ