วิชชาสาม บ้านใคร เป็น สัสสตทิฐิ ?

ขออนุญาต กล่าวตามตรงว่า เมื่อได้เห็น "คำอธิบาย" ของคุณตองเก้า ในกรณี การระลึกชาติแล้ว เห็นว่า น่ารับฟัง เป็นอย่างยิ่ง

คุณตองเก้า กล่าวอธิบาย ในทำนองว่า การที่ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และ จุตูปปาตญาณ เป็น สัสสตทิฐิ
ก็มิได้หมายความว่า พระพุทธเจ้าจะเป็น สัสสตทิฐิ ไปด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า

มิได้แค่ทรงรู้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อย่างที่พวกสมณพราหมณ์ เขารู้กันเท่านั้น
หากแต่ยังทรงรู้ชัดยิ่งขึ้นไปอีกว่า ปุพเพฯ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นที่ตั้งแห่ง มิจฉาทิฐิเหล่านั้น ได้อย่างไร ?



ทีนี้ เราลองมาดู การโต้แย้งแบบ กะโหลกกะลา ของ ล็อกอิน คันโตนาซี กันบ้าง
นายคนนี้ เขาพยายามแย้งอย่างโง่ๆ ว่า ...... แล้วมันมีตรงไหน สัตว์บุคคล ในวิชชาสาม ?



ผมอยากถามจริงๆ นะครับว่า มัน "ตาบอด" หรือว่า "บ้า" กันแน่ ถึงได้โต้แย้งโง่ๆ แบบนี้ ?

เอาเป็นว่า ลองมาดูให้ชัดๆ นะครับว่า ข้อความเกี่ยวกับ วิชชาสาม จากพระไตรปิฎก
มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในนั้นหรือไม่ ท่านทั้งหลาย กรุณามาดูพร้อมๆ กันนะครับ เพราะ คันโตนาซี เขาหูตาไม่ค่อยดี !



อันนี้ เป็น วิชชาสาม ของพระพุทธเจ้า ในขณะที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ
มีใครมองไม่เห็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือเปล่าครับ ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า .......

(๑) ในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
(๒) ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
(๓) ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้

ลองเทียบกับ การระลึกชาติ ของพวกมิจฉาทิฐิ ดูนะครับ



(๑) ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
(๒) ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้นเราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น  
(๓) ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน
ได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ

เมื่อพิจารณาโดย "ใจความ" แล้ว มันแตกต่างกันตรงไหนครับ ?

**********************************************************************

สำหรับคนที่ยังมองไม่ออกจริงๆ ว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันพัวพันกันอย่างไร
ใน ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ผม ก็ขออนุญาต อธิบายความ โดยสังเขป ดังนี้ว่า

ที่จริงแล้ว ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เป็นการระลึกถึง "ขันธ์" ในอดีต นะครับ
หาใช่การระลึกถึง สัตว์ บุคคล ในอดีต แต่อย่างใดไม่ !

ขอให้สังเกต ข้อความ ที่ระบุว่า .................

ครั้นจุติจากภพนั้น แล้วได้มาบังเกิดในภพนี้
ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ

(๑) สัตว์ บุคคล มันจะเกิดขึ้นได้ ก็ตรงประโยคที่ว่า ย่อมตามระลึกถึง ขันธ์ ฯ นี่แหละครับ
(๒) และความเป็น มิจฉาทิฐิ หรือ สัมมาทิฐิ มันก็เกิดขึ้นในขั้นตอนนี้ เช่นกัน

กล่าวคือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า

เพราะเหตุที่มี ความพอใจ(ฉันทะ) ความกำหนัด(ราคะ) ความเพลิดเพลิน(นันทิ) และความทะยานอยาก(ตัณหา)
ใน ขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้น ว่าเป็นตน หรือของๆตน ดังนั้น จึงเรียกว่า สัตว์



หมายความว่า การที่โยคาวจร เห็นว่า ขันธ์ในอดีตเหล่านั้น ก็คือ เรา ......
ซึ่งมีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดมาจากการปรุงแต่ง(สังขาร) ด้วยอำนาจของ ตัณหา ราคะ ทั้งสิ้น

ถ้าปราศจาก ความพอใจ(ฉันทะ) ความกำหนัด(ราคะ) ความเพลิดเพลิน(นันทิ)
และความทะยานอยาก(ตัณหา) เสียแล้ว ขันธ์ ก็มิอาจถูกปรุงแต่งจนกลายเป็น สัตว์ บุคคล ขึ้นมาได้หรอกครับ !



ขอให้ท่านทั้งหลาย พึงพิจารณาด้วยว่า ด้วยเหตุที่ สมณพราหมณ์พวกอื่น ตามระลึกถึงขันธ์ในอดีต
ด้วย ตัณหา ราคะ ฯ จึงได้ปรุงแต่ง สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ขึ้นมา สุดท้ายจึงเกิดเป็น ทิฐิความเห็นผิดสุดโต่ง
เช่น กล่าวว่า อัตตา และโลกเที่ยง ส่วน สัตว์นั้น ย่อมตาย ย่อมเกิด เป็นต้น

ถามว่า คำอธิบายนี้ มีหลักฐานยืนยัน หรือไม่ ?

ตอบว่า พระพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า สมณพราหมณ์เหล่าอื่น เมื่อระลึกชาติแล้ว
ย่อมตามระลึกถึง ขันธ์ ในอดีตเหล่านั้นว่า เป็นตนหรือของๆตน

ต่างจาก อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ที่พึงเห็นด้วยปัญญา ตามความเป็นจริงว่า
(๑) นั่นไม่ใช่ของเรา (๒) นั่นไม่เป็นเรา (๓) นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา



ทีนี้ ก็เป็นตัวของคันโตนาซีเอง มิใช่หรือ ที่กล่าวยืนยันว่า วิชชาสาม ของพระพุทธเจ้า
จะมี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มิได้ ......... แต่แล้วทำไม ผมจึงเห็นว่ามีสิ่งเหล่านั้น อยู่เต็มไปหมดเลยเล่าครับ ?



ก็ถ้า คันโตนาซี ยังยืนยันคำเดิมอยู่ นั่นก็ต้องแปลว่า ................

(๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใดก็ตาม ที่ปรากฏ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั่นย่อมมิใช่ วิชชาสามของพระพุทธเจ้า
ซึ่งผมได้แสดง หลักฐานตัวอย่างให้แล้วนะครับ หรือถ้าต้องเพิ่มเติม ผมก็สามารถจัดให้ได้ เช่นกัน

(๒) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ใดก็ตาม ที่ปรากฏ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั่นย่อมเป็น สัสสตทิฐิ เป็นทิฐิความเห็นผิด
หาใช่ สัมมาทิฐิ ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องประกอบไปด้วย อนัตตลักษณะ(คือ ว่างจาก อัตตา ตัวตน) แต่อย่างใดไม่

ประเด็นนี้ ต้องถือว่า จบ ได้แล้ว นะครับ

***************************************************************************************

ประเด็นสุดท้าย ที่จำเป็นต้องอธิบายความให้เขาสักหน่อย ก็คือ
การที่ คันโตนาซี พยายาม "แย้ง" อย่างโง่ๆ(อีกตามเคย) ว่า

(๑) เมื่อกล่าวถึง ปุพเพฯ ในวิชชาสาม แปลว่า ต้องได้วิชชาสามแล้ว จะมีส่วนของ สัสสตทิฐิได้อย่างไร ?
(๒) วิชชาสามบ้านใคร ยังมีสัสสตทิฐิ



ในคำถามแรกนั้น เข้าใจว่า นาฬิกา ที่บ้านของมันคงเสีย ก็เลยทำให้ไม่สามารถลำดับเวลา ตามความเป็นจริงได้
ขออนุญาต เสนอหลักฐาน ที่มันผู้นั้น เคยยกมาอ้างนั่นแหละ ซึ่งจากหลักฐานดังกล่าว ได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า

(๑) วิชาที่ ๑ นี้แล(หมายถึง ปุพเพฯ) เราได้บรรลุแล้ว ในปฐมยาม แห่งราตรี ฯ
(๒) วิชาที่ ๒ นี้แล(หมายถึง จุตูปฯ) เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยาม แห่งราตรี ฯ
(๓) วิชาที่ ๓ นี้แล(หมายถึง อาสวักขยญาณ) เราได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยาม แห่งราตรี ฯ

จากข้อความตามที่ปรากฏอยู่ ก็ชัดเจนนี่ครับว่า ในขณะที่ พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ
บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ในช่วงปฐมยามนั้น ท่านยังมิได้บรรลุ จุตูปปาตญาณ และ อาสวักขยญาณ
เมื่อหลักฐานข้อเท็จจริงปรากฏอย่างชัดแจ้ง ดังนี้ คันโตนาซี อาศัยอะไรครับ จึงกล่าวว่า ......

*** เมื่อกล่าวถึง ปุพเพฯ ในวิชชาสาม แปลว่า ต้องได้วิชชาสามแล้ว ***



ก็จากหลักฐาน มันมิได้เป็นอย่างที่แกพูดนี่ครับ คันโตนาซี กำลัง กล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย อีกแล้ว ใช่หรือไม่ ?
ซึ่งถ้าหากจะแย้งว่า ............ ไม่ใช่ !
ก็จงแสดงหลักฐานชั้นพุทธพจน์บาลี เพื่อยืนยันคำพูด(ของแกเอง) ด้วยนะครับ

ส่วนคำถามที่ ๒ ที่ถามว่า วิชชาสามบ้านใคร ยังมีสัสสตทิฐิ ?
ขออนุญาต ตอบสั้นๆ ว่า ก็วิชชาสามบ้านแกไง !



จบไหม ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่