คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
อนัตตา อัตตา
ถือมั่นอะไร อัตตา ก็เกิด ทุกอย่างนั้นละ
และ ที่ไม่ถือมั่นก็ อนัตตา พอถือขึ้นมาก็อัตตา สลับๆกัน
มันของอย่างเดียวกัน .ในทุกอย่าง
เรา กายของเราก็อัตตา
พิจรณาเห็นเป็นสักว่าธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็อนัตตา
แต่เอาจริงๆ น้ำ ประกอบจาก ไฮโดรเจน กับ อ็อกซิเจน
ที่นี้น้ำกลายเป็นอัตตาไหม แล้ว ไฮโดรเจน กับ อ็อกซิเจน อนัตตาไหม
อนัตตา อัตตา แบ่งกันตรงไหนสาระมันอยู่ที่ไหน พุทธศาสนาสาระอยู่ที่ไหน ,
ทุกข์ เป็นผล เกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างรวมกันพอดี. อัตตา เป็นปัจจัยหนึ่ง
เช่น
ชายทุกข์เพราะอกหักจากผู้หญิง (อัตตา )
แต่
ชายไม่มีทางทุกข์เพราะ อึ ไส้ ผม ++++ พิจรณาย่อยๆ(อนัตตา) แก้ปัญหาทุกข์วิธีหนึ่งคือไม่ถือมั่นว่าเป็นผู้หญิง
อย่าไปมั่วทั้งหมดด้วยคำพูดประโยคเดียว ในปิฎก ดูทั้งบริบทจะเข้าใจง่ายกว่าใช้ได้มากกว่า
ปฎิจสมุปบาท อธิบายแสดงวิธีเกิดทุกข์วิธีหนึ่ง เท่านั้น มีวิธีอธิบายแบบอื่นๆด้วย
ทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะอัตตา ทุกข์เกิดเพราะอวิชชา
ตาเห็นรูป(อัตตา)เฉยเสียก็มาก ไม่ใช่ทุกหนที่ผัสสะจะเกิด ทุกข์อุปทาน (ทุกข์ในปฎิจสมุปบาท)
------------------
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%B9%D1%B5%B5%C5%D1%A1%C9%B3%D0
อนัตตลักษณะ ลักษณะที่เป็นอนัตตา,
ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน โดยอรรถต่างๆ
๑. เป็นของสูญ คือ เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลาย ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่างๆ
๒. เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง
๓. ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆ
๔. เป็นสภาวธรรมที่ดำรงอยู่หรือเป็นตามธรรมดาของมัน เช่น ธรรมที่เป็นสังขตะ คือสังขาร ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ
๕. โดยสภาวะของมันเอง ก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา;
------------------
ถ้าเทียบความรู้รวมพระไตรปิฎก45เล่ม เป็นรถ 1คัน
อนัตตา ก็เป็นสายพาน ,หัวเทียน ,กุญแจ อะไรแบบนั้น
ยังมีประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลายอีกมาก กว่าจะเป็นรถคันหนึ่ง
ถ้าเอาการอธิบายหลักสักวิธีคืออริยสัจจ์4 มรรคมีองค์8 ไม่มีคำว่าอนัตตา แม้แต่คำเดียวเพราะ
ความรู้ความเข้าใจในอนัตตาเป็นแค่ส่วนย่อยหนึ่งของ สัมมาทิฎฐิ เท่านั้นยังมีวิชชาอีกมากเพื่อประกอบกัน
---------------
ต้องเข้าใจ อัตตา ด้วยจึงจะคุยรู้เรื่องใช้วิชาได้ ว่าอัตตา เรา พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้คำนี้. แต่ใช้แบบไม่ถือมั่น จะใช้ก็มีเรา ไม่ใช้ก็วางลง
เช่น
“เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง๑- รู้ธรรมทั้งปวง๒-
มิได้แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง๓- ละธรรมทั้งปวงได้สิ้นเชิง๔-
หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา ตรัสรู้ยิ่งเอง
แล้วจะพึงกล่าวอ้างใครเล่า
เราไม่มีอาจารย์๕- เราไม่มีผู้เสมอเหมือน
เราไม่มีผู้ทัดเทียม ในโลกกับทั้งเทวโลก
เพราะเราเป็นอรหันต์ เป็นศาสดาผู้ยอดเยี่ยม
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเองเพียงผู้เดียว เป็นผู้เยือกเย็น
ดับกิเลสได้แล้วในโลก
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=04&siri=8
------------
ตัวอย่างหนึ่งของ อัตตา ในพุทธศาสนาอัตตวาทุปาทาน มันไม่จำเป็นต้องมีวัตถุจึงเป็นอัตตาได้
https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CD%D1%B5%B5%C7%D2%B7%D8%BB%D2%B7%D2%B9&detail=on
อุปาทาน 4 (ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง - attachment; clinging; assuming)
1. กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ - clinging to sensuality)
2. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ - clinging to views)
3. สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and ritual)
4. อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ - clinging to the ego-belief).
----
แบบที่ปุถชนใช้คำว่า สัจจะ,,, หรือคำพูดเป็นนายเรา,,, พูดคำไหนคำนั้น.,, Log in pantip ,,,สัญญา,,สามบาน
แบบนี้คำก็เป็น อัตตา ตัวตนผู้พูด
แต่
ที่จริงมีคำว่า ลีม. ,กลับคำ., ไม่ถือคำมั่น , ไม่รักษาสัญญา. แบบนี้คำก็ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนผู้พูด
มันก็คำพูดเหมือนกันเป็นทั้ง. อัตวาทุปาทาน(อัตตา) และเป็น อนัตตา ก็ได้ขึ้นกับถือมั่นไหม
ถือมั่นอะไร อัตตา ก็เกิด ทุกอย่างนั้นละ
และ ที่ไม่ถือมั่นก็ อนัตตา พอถือขึ้นมาก็อัตตา สลับๆกัน
มันของอย่างเดียวกัน .ในทุกอย่าง
เรา กายของเราก็อัตตา
พิจรณาเห็นเป็นสักว่าธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็อนัตตา
แต่เอาจริงๆ น้ำ ประกอบจาก ไฮโดรเจน กับ อ็อกซิเจน
ที่นี้น้ำกลายเป็นอัตตาไหม แล้ว ไฮโดรเจน กับ อ็อกซิเจน อนัตตาไหม
อนัตตา อัตตา แบ่งกันตรงไหนสาระมันอยู่ที่ไหน พุทธศาสนาสาระอยู่ที่ไหน ,
ทุกข์ เป็นผล เกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างรวมกันพอดี. อัตตา เป็นปัจจัยหนึ่ง
เช่น
ชายทุกข์เพราะอกหักจากผู้หญิง (อัตตา )
แต่
ชายไม่มีทางทุกข์เพราะ อึ ไส้ ผม ++++ พิจรณาย่อยๆ(อนัตตา) แก้ปัญหาทุกข์วิธีหนึ่งคือไม่ถือมั่นว่าเป็นผู้หญิง
อย่าไปมั่วทั้งหมดด้วยคำพูดประโยคเดียว ในปิฎก ดูทั้งบริบทจะเข้าใจง่ายกว่าใช้ได้มากกว่า
ปฎิจสมุปบาท อธิบายแสดงวิธีเกิดทุกข์วิธีหนึ่ง เท่านั้น มีวิธีอธิบายแบบอื่นๆด้วย
ทุกข์ไม่ได้เกิดเพราะอัตตา ทุกข์เกิดเพราะอวิชชา
ตาเห็นรูป(อัตตา)เฉยเสียก็มาก ไม่ใช่ทุกหนที่ผัสสะจะเกิด ทุกข์อุปทาน (ทุกข์ในปฎิจสมุปบาท)
------------------
อ้างอิง
https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CD%B9%D1%B5%B5%C5%D1%A1%C9%B3%D0
อนัตตลักษณะ ลักษณะที่เป็นอนัตตา,
ลักษณะที่ให้เห็นว่าเป็นของมิใช่ตัวตน โดยอรรถต่างๆ
๑. เป็นของสูญ คือ เป็นเพียงการประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลาย ว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หรือการสมมติเป็นต่างๆ
๒. เป็นสภาพหาเจ้าของมิได้ ไม่เป็นของใครจริง
๓. ไม่อยู่ในอำนาจ ไม่เป็นไปตามความปรารถนา ไม่ขึ้นต่อการบังคับบัญชาของใครๆ
๔. เป็นสภาวธรรมที่ดำรงอยู่หรือเป็นตามธรรมดาของมัน เช่น ธรรมที่เป็นสังขตะ คือสังขาร ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีอยู่โดยลำพังตัว แต่เป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ
๕. โดยสภาวะของมันเอง ก็แย้งหรือค้านต่อความเป็นอัตตา มีแต่ภาวะที่ตรงข้ามกับความเป็นอัตตา;
------------------
ถ้าเทียบความรู้รวมพระไตรปิฎก45เล่ม เป็นรถ 1คัน
อนัตตา ก็เป็นสายพาน ,หัวเทียน ,กุญแจ อะไรแบบนั้น
ยังมีประชุมเข้าขององค์ประกอบที่เป็นส่วนย่อยๆ ทั้งหลายอีกมาก กว่าจะเป็นรถคันหนึ่ง
ถ้าเอาการอธิบายหลักสักวิธีคืออริยสัจจ์4 มรรคมีองค์8 ไม่มีคำว่าอนัตตา แม้แต่คำเดียวเพราะ
ความรู้ความเข้าใจในอนัตตาเป็นแค่ส่วนย่อยหนึ่งของ สัมมาทิฎฐิ เท่านั้นยังมีวิชชาอีกมากเพื่อประกอบกัน
---------------
ต้องเข้าใจ อัตตา ด้วยจึงจะคุยรู้เรื่องใช้วิชาได้ ว่าอัตตา เรา พระพุทธเจ้าท่านก็ใช้คำนี้. แต่ใช้แบบไม่ถือมั่น จะใช้ก็มีเรา ไม่ใช้ก็วางลง
เช่น
“เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง๑- รู้ธรรมทั้งปวง๒-
มิได้แปดเปื้อนในธรรมทั้งปวง๓- ละธรรมทั้งปวงได้สิ้นเชิง๔-
หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา ตรัสรู้ยิ่งเอง
แล้วจะพึงกล่าวอ้างใครเล่า
เราไม่มีอาจารย์๕- เราไม่มีผู้เสมอเหมือน
เราไม่มีผู้ทัดเทียม ในโลกกับทั้งเทวโลก
เพราะเราเป็นอรหันต์ เป็นศาสดาผู้ยอดเยี่ยม
เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเองเพียงผู้เดียว เป็นผู้เยือกเย็น
ดับกิเลสได้แล้วในโลก
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=04&siri=8
------------
ตัวอย่างหนึ่งของ อัตตา ในพุทธศาสนาอัตตวาทุปาทาน มันไม่จำเป็นต้องมีวัตถุจึงเป็นอัตตาได้
https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=%CD%D1%B5%B5%C7%D2%B7%D8%BB%D2%B7%D2%B9&detail=on
อุปาทาน 4 (ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจกิเลส, ความยึดติดอันเนื่องมาแต่ตัณหา ผูกพันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง - attachment; clinging; assuming)
1. กามุปาทาน (ความยึดมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ - clinging to sensuality)
2. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ - clinging to views)
3. สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and ritual)
4. อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ - clinging to the ego-belief).
----
แบบที่ปุถชนใช้คำว่า สัจจะ,,, หรือคำพูดเป็นนายเรา,,, พูดคำไหนคำนั้น.,, Log in pantip ,,,สัญญา,,สามบาน
แบบนี้คำก็เป็น อัตตา ตัวตนผู้พูด
แต่
ที่จริงมีคำว่า ลีม. ,กลับคำ., ไม่ถือคำมั่น , ไม่รักษาสัญญา. แบบนี้คำก็ อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนผู้พูด
มันก็คำพูดเหมือนกันเป็นทั้ง. อัตวาทุปาทาน(อัตตา) และเป็น อนัตตา ก็ได้ขึ้นกับถือมั่นไหม
แสดงความคิดเห็น
ความตายเป็นความสิ้นทุกข์(สุข) หรือ เป็นทุกข์ กับ จิตเป็นอัตตาหรืออนัตตา มันคล้ายกันไหมครับ ตรงที่จะตีความให้เป็นแบบไหนก็
ความตายคือความสิ้นทุกข์=ความตายเป็นสุข
ความตายคือความทุกข์=ต้องพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ได้รับทุกขเวทนาก่อนสิ้นใจ
จิตเป็นอัตตา=มีจิตน้อมไปนิพพาน,มีจิตพิจารณาขันธ์5,ถ้าไม่มีจิต จะเสวยนิพพานเป็นอารมณ์ยังไง?
จิตเป็นอนัตตา=จิตเกิด-ดับ ไม่เที่ยงอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์,จิตเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์5 จิตหรือวิญญาณขันธ์คือสิ่งเดียวกัน,จิตไม่ใช่เหตุปัจจัยจึงเปลี่ยนแปลงขันธ์5ที่เป็นสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ แต่เป็นธาตุรู้,นึก,คิด รู้อารมณ์ได้ เป็นธาตุ ไม่ใช่ตัวตน คำสอนในพระพุทธศาสนาไม่บอกว่ามีอะไรเป็นตัวตน,จิตเป็นธรรมอย่างหนึ่ง มิใช่ตัวตน ดังพระสูตร:
๒. จิตตสูตร
ว่าด้วยจิต
[๖๒] เทวดาทูลถามว่า
โลก๑- ถูกอะไรนำไป ถูกอะไรผลักไสไป
อะไรเล่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่โลกทั้งหมดตกอยู่ในอำนาจ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกถูกจิตนำไป ถูกจิตผลักไสไป
จิตเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่โลกทั้งหมดตกอยู่ในอำนาจ
จิตตสูตรที่ ๒ จบ
@เชิงอรรถ :
@๑ โลก ในสูตรนี้และสูตรต่อๆ ไปในวรรคนี้หมายถึงสัตว์โลก
เรื่องอจินไตย จะเถียงทำไม? เถียงก็ไม่ชนะครับ