พระพุทธเจ้าบอกว่า ที่ตั้งวิญญาณมี7ที่ อายตนะ2ที่
1.สัตว์มีกายต่างกันมีสัญญาต่างกัน
เช่น พวกมนุษย์ เทพบางจำพวก วินิบาตบางจำพวก
มีลักษณะต่างกัน ความจำต่างกัน อารมณืต่างกัน
2.สัตว์มีกายต่างกันมีสัญญาอย่างเดียวกัน
พวกพรหม ปฐมฌาน และ สัตว์เกิดในอบาย4
พวกนี้ไม่ได้เอากายธาตุ4ไปเกิดด้วย จิตเคลื่อนไปจุติ โตขึ้นนเองด้วยกรรม
ไม่ต้องกิน ต้องถ่าย ไม่มีธาตุ4 มีแต่จิต
พวกพรหมที่ได้ฌาน 1 ก็ไปอยู่ที่ฌาน 1 โดยมีสัญญา เหมือนกัน
พวกพรหมที่ได้ฌาน 2 ก็ไปอยู่ที่ฌาน 2 โดยมีสัญญา เหมือนกัน
พวกพรหมที่ได้ฌาน 3 ก็ไปอยู่ที่ฌาน 3 โดยมีสัญญา เหมือนกัน
พวกพรหมที่ได้ฌาน 4 ก็ไปอยู่ที่ฌาน 4 โดยมีสัญญา เหมือนกัน
นิพพานก็เช่นกัน ใครบันลุก็ไปอยู่ที่เดียวกัน
3.สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกันมีสัญญาต่างกัน
พวกนี้จะมีกายเหมือนกันคือเป็นแสงสว่าง
คืออาภัสสราพรหม
มองไปทางไหน สว่างใส เหมือนกันหมด
แต่สัญญา ความจำ ความรู้สึก อารมณ์ ต่างกัน
4.สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกันมีสัญญาอย่างเดียวกัน
พวกเทพชั้นสุภกินหะ
พวกเทพชั้นสูงขึ้นไปลักษณะเหมือนกัน สัญญา ความรู้สึก เหมือนกัน
5.สัตว์ที่เข้าถึงขั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า ความว่างหาที่สุดไม่ได้
พวกนี้ไม่มีกายแล้วเหลือแต่จิต
อยู่กับความว่าที่ไร้ขอบเขต เป็นดวงๆลอยอยู่แต่ยังมีวิญญาณ
6.สัตว์ที่เข้าถึงขั้นวิญญาณัณจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดไม่ได้
วิญญาณนี้หมายถึงวิญญาณธาตุคือจิต
เมื่อตายไปจิตมนสิกาถึงวิญญาณก็จะเห็นวิญญาณธาตุสากลคือจิต
เป็นวิญญาณธาตุในธรรมชาติที่เป็นแสงระยิบระยับไร้ขอบเขต
ท่านเห็นว่ายังมัวิญญารอยู่แต่ไม่มีกายแล้ว
7.สัตว์ที่เข้าถึงขั้นอากิญจัญญายตนะด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไรแม้หน่อยหนึ่ง
เหลืออยู่แต่สัมผัสสภาวะ ไม่มีอะไรเลย
ไม่มีอะไรเลยไม่ใช่แปลว่าว่างแต่ไร้สภาวะ
นี่คือสภาวะที่ท่านโปสาละกำลังอยู่
ไม่มีอะไรแม่หน่อยหนึ่งก้าวล่วงรูปได้
นี่คือวิญญาณฐิติคือเป็น ที่ตั้งวิญญาณทั้ง7 ลักษณะอยู่ในจักรวาล
ส่วนอายตนะอีก2คือ
อสัญญีสัตตายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ
อสัญญีสัตตายตนะคือพวกปฏิบัติแล้วอยากดับจิตให้หมด
หมายถึงพวกที่บอกว่าตายแล้วไม่มีจิตไปเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
พวกนี้เป็นพวกลูกฟัก ไม่มีโอกาสเห็นสาสนาพุทธ กีต่อไปชั่วกัปป์ชั่วกัลล์
พวกนี้จะดับจิต ดับความรู้ให้หมด
แต่กรรมไม่หมดก็จะเหลือกายมิพย์ตั้งอยู่
และพวกที่บอกว่ากายทิพย์ไม่มีก็ไม่มีอะไรเป็นทีตั้ง ไม่มีฐิติ ก็สาบสูยไป
พวกนี้จะดับจิตไปเฉยๆๆแต่มีอายตนะเหลืออยู่ แต่ไม่มีวิญญาณ
เพราะจิตดับไปชั่วขณะ ไม่ได้ดับถาวร
เนวสัญญานาสํญญายตนะ เป็นอาวตนะเพราะไม่มีวิญญาณ
สัญญายตนะ ไม่ใส่ใจในสัญญา ไม่ใส่ใจในเวทนา
ยังมีอย่างอื่นอีก คือมีพระนิพพาน
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงบอกกับท่านโปสาละว่า
ที่ท่านได้นั้นดีแล้ว เป็นที่ตั้งในวิญญาณทั้งปวง
แต่ยังมีอย่างอื่นยิ่งกว่านี้
ได้แก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่กำหนดหมายแม้สัญญา และความรู้สึกทั้งปวง
และมีพระนิพพานซึ่งหลุดออก จากขันธ์5ทั้งหมด
ท่านโปสาละเมื่อรู้อย่างนี้ ก็เข้าใจทันทีว่าต้องปฏิบัตติต่อ
กายไปเกิดหรือจิตไปเกิด หรือวิญญาณไปเกิด