การหลุดพ้นแห่งจิต

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ว่าด้วย “การหลุดพ้นแห่งจิต”

[๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ หลุดพ้นแล้ว
จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ ... จาก
สัญญาธาตุ ... จากสังขารธาตุ ... จากวิญญาณธาตุ หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึง
ไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”

พระพุทธเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายให้ฟัง — เป็นการเกริ่นนำคำสอน


“ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากรูปธาตุ”

หากจิตของภิกษุหมดความยึดติด หมดความกำหนัดพอใจใน รูปธาตุ
(คือ สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย — รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส)


“หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น”

จิตนั้นย่อมหลุดพ้นจาก อาสวะ (กิเลสตัณหาที่หมักหมมอยู่ในใจ)
เพราะไม่ยึดถือสิ่งใด ๆ ว่าเป็นตัวตนหรือของตน



“ถ้าจิตของภิกษุคลายกำหนัดแล้วจากเวทนาธาตุ…”

หากจิตคลายกำหนัดจาก เวทนา — ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
ไม่ยึดติด ไม่หมกมุ่นในอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย



“…จากสัญญาธาตุ…”

หากจิตคลายจาก สัญญา — ความจำได้หมายรู้
ไม่ยึดว่าความจำ ความรับรู้ใด ๆ เป็นของเรา หรือเป็นตัวเรา


“…จากสังขารธาตุ…”

หากจิตคลายจาก สังขาร — ความคิดปรุงแต่ง เจตนา ความอยาก
ไม่ยึดมั่นในกระแสความคิด หรือความปรุงแต่งของจิตอีกต่อไป


“…จากวิญญาณธาตุ…”

หากจิตคลายจาก วิญญาณ — การรับรู้รู้ตัวที่เกิดจากอายตนะทั้งหก
ไม่ถือว่าการรู้นั้นเป็น “เรา” หรือเป็น “ของเรา”

“หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น”

เมื่อไม่ยึดมั่นในขันธ์ทั้งห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง


“เพราะหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่”

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว จิตนั้นย่อมตั้งมั่นอยู่ในธรรมชาติบริสุทธิ์
ไม่หวั่นไหว ไม่ดิ้นรนไปในโลกียธรรมอีก

“เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อม”

เพราะตั้งมั่นอยู่ในสภาวะหลุดพ้น จิตจึงมีความอิ่มเอิบ สงบ เย็นใจ
เป็นความสุขสงบจากการพ้นทุกข์อย่างแท้จริง

“เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง”

เพราะจิตอิ่มเอิบในธรรม ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด
จึงไม่สะดุ้ง ไม่หวาดกลัว หรือสั่นไหวต่อเหตุการณ์ใด ๆ ในโลก

“เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น”

เมื่อไม่สะดุ้งหวั่นไหวอีก จิตจึง ดับกิเลสและตัณหาทั้งปวงโดยสิ้นเชิง
เข้าถึง นิพพาน — ความดับสนิทแห่งทุกข์เฉพาะตน


“ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว’”

ภิกษุนั้นรู้ด้วยตนเองว่า การเกิดอีกไม่มีแล้ว — สิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิด


“พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว”

การประพฤติพรหมจรรย์ (การปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น) ได้สำเร็จสิ้นสมบูรณ์

“กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว”

งานทางธรรมทั้งหมดที่ต้องทำเพื่อความพ้นทุกข์ ได้ทำสำเร็จครบถ้วนแล้ว


“กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี”

ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่อีกที่ต้องทำเพื่อให้ถึงสภาพนี้
เพราะถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว — คือ พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสโดยสมบูรณ์

เมื่อคลายกำหนัดจากขันธ์ทั้งห้า จิตจะบริสุทธิ์ ไม่หวั่นไหว และดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
เป็นคำบรรยายถึง จิตอมตธาตุ — จิตที่พ้นการเกิดและดับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่