รวมคำสอนและโอวาทธรรม เรื่อง จิตในพระนิพพาน ของ พระพุทธเจ้า หลวงตามหาบัวและพระอาจารย์สุชาติ
ไม่มีตรงไหนสูญ พระพุทธเจ้าให้น้อมจิตที่บริสุทธิ์เข้าพระนิพพาน
แต่ตามพระไตรปิฎก นิพพานไม่ใช่ความสูญแบบทิ้งทุกอย่างไปเฉย ๆ นิพพาน คือ การดับของตัณหา อุปาทาน และอวิชชา การดับของไฟราคะ โทสะ โมหะ ของจิตให้ดับสนิทต่างหาก
1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต คือ นิพพาน 1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณา เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะ แห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็น อนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
2. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ ๑- จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์
3. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง
มีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ
4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณา เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะ แห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็น อนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
5. เข้าถึงปฐมฌานแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายที่กำลังเกิดอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของเสื่อมสลาย เป็นของเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนโรค เหมือนหัวฝี เหมือนลูกศรทะลุ เหมือนไม่ใช่ของตน เหมือนของชำรุด เหมือนของว่างเปล่า เหมือนสิ่งที่ทรงอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา จึงตั้งจิตไว้ในธรรมเหล่านั้น
ครั้นแล้ว ย่อมโน้มจิตไปสู่อมตธาตุ คือ นิพพาน เห็นว่านั่นคือความสงบประณีต เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นการสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด และความดับสนิท
6. โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ ท่านเรียกว่าอมตจิต อมตธรรม หรืออมตมหานิพพานคือใจดวงนี้ ที่ไม่ตายนี้แล ถึงขั้นนี้แล้วไม่ตาย เรียกว่าเที่ยงโดยถ่ายเดียว อย่างท่านว่านิพพานเที่ยงคือจิตดวงนี้ไม่มีสมมุติตัวเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปแทรก ปัดออกหมดแล้วเป็น อมตจิต อมตธรรมขึ้นมา ไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติ นั่นละท่านว่าจิตเที่ยง จิตถึงนิพพานเป็นอมตจิต นี่เรียนวิชาจิตตภาวนาเข้าไปถึงนี้จะไม่ต้องทูลถาม นอกจากกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบ.."
7.โอวาทธรรมพระอาจารย์สุชาติ
“คุณลักษณะของจิตในพระนิพพาน”
จิตที่ได้บรรลุถึงพระนิพพานแล้วมีคุณสมบัติอยู่ ๒ ประการด้วยกันคือ ๑. นิพพานัง ปรมัง สุขัง ๒. นิพพานัง ปรมัง สุญญัง คือมีความสุขอย่างมาก มีความสุขเต็มร้อยมีความสุขตลอดเวลา ไม่มีเวลาใดในจิตที่จะมี ความทุกข์เลย จะมีแต่ความสุขตลอดเวลาเรียกว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ๒. จิตนี้จะว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ในโลกนี้ ว่างจากลาภยศ สรรเสริญ ว่างจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ว่างจากขันธ์ ๕
รวมคำสอนและโอวาทธรรม เรื่อง จิตในพระนิพพาน
ไม่มีตรงไหนสูญ พระพุทธเจ้าให้น้อมจิตที่บริสุทธิ์เข้าพระนิพพาน
แต่ตามพระไตรปิฎก นิพพานไม่ใช่ความสูญแบบทิ้งทุกอย่างไปเฉย ๆ นิพพาน คือ การดับของตัณหา อุปาทาน และอวิชชา การดับของไฟราคะ โทสะ โมหะ ของจิตให้ดับสนิทต่างหาก
1. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต คือ นิพพาน 1.ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณา เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะ แห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็น อนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
2. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขาร
ทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิท
เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์ดังนี้. เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อม
บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ย่อมเป็นโอปปาติกะ ๑- จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะ
ความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์
3. พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง
มีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ
4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เธอย่อมพิจารณา เห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะ แห่งจตุตถฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็น อนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสังขารทั้งปวง ...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
5. เข้าถึงปฐมฌานแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายที่กำลังเกิดอยู่ในขณะแห่งปฐมฌานนั้น ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นของเสื่อมสลาย เป็นของเปลี่ยนแปลง เป็นเหมือนโรค เหมือนหัวฝี เหมือนลูกศรทะลุ เหมือนไม่ใช่ของตน เหมือนของชำรุด เหมือนของว่างเปล่า เหมือนสิ่งที่ทรงอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตา จึงตั้งจิตไว้ในธรรมเหล่านั้น
ครั้นแล้ว ย่อมโน้มจิตไปสู่อมตธาตุ คือ นิพพาน เห็นว่านั่นคือความสงบประณีต เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นการสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นความสิ้นตัณหา ความคลายกำหนัด และความดับสนิท
6. โอวาทธรรม หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ ท่านเรียกว่าอมตจิต อมตธรรม หรืออมตมหานิพพานคือใจดวงนี้ ที่ไม่ตายนี้แล ถึงขั้นนี้แล้วไม่ตาย เรียกว่าเที่ยงโดยถ่ายเดียว อย่างท่านว่านิพพานเที่ยงคือจิตดวงนี้ไม่มีสมมุติตัวเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปแทรก ปัดออกหมดแล้วเป็น อมตจิต อมตธรรมขึ้นมา ไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยุ่งไม่ได้ เพราะเหล่านี้เป็นสมมุติ นั่นละท่านว่าจิตเที่ยง จิตถึงนิพพานเป็นอมตจิต นี่เรียนวิชาจิตตภาวนาเข้าไปถึงนี้จะไม่ต้องทูลถาม นอกจากกราบพระพุทธเจ้าอย่างราบ.."
7.โอวาทธรรมพระอาจารย์สุชาติ
“คุณลักษณะของจิตในพระนิพพาน”
จิตที่ได้บรรลุถึงพระนิพพานแล้วมีคุณสมบัติอยู่ ๒ ประการด้วยกันคือ ๑. นิพพานัง ปรมัง สุขัง ๒. นิพพานัง ปรมัง สุญญัง คือมีความสุขอย่างมาก มีความสุขเต็มร้อยมีความสุขตลอดเวลา ไม่มีเวลาใดในจิตที่จะมี ความทุกข์เลย จะมีแต่ความสุขตลอดเวลาเรียกว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ๒. จิตนี้จะว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ในโลกนี้ ว่างจากลาภยศ สรรเสริญ ว่างจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ว่างจากขันธ์ ๕