ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #3#



สาธารณรัฐเฮลเลนิก (กรีซ)
กรุงเอเธนส์
ในตอนเช้าตรู่..
ญารินรีบเก็บเสื้อผ้าไม่กี่ชุดพอใส่กระเป๋าเป้และไม่ลืมสมุดสเก็ตซ์ภาพติดมือตรงดิ่งไปยังห้องอาหารด้วยอาการตื่นเต้นที่จะได้เดินทางไปยังเกาะซานโตรินี  หลังจากที่ต้องนั่งๆนอนๆแกร่วอยู่คนเดียวทั้งวัน เนื่องจากพี่ชายออกไปทำธุระกับกลุ่มเพื่อนตามที่นัดหมายกันไว้ โดยกำชับให้เธออยู่แต่ภายในโรงแรม หรือไม่ก็แค่ให้เดินไปมาอยู่ใกล้ ไม่ให้ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง หากเธอไม่เชื่อฟัง ก็ขู่จะฟ้องมารดา เธอเลยจำต้องทำตามคำสั่ง..เพราะหากพี่ชายฟ้องมารดาว่าเธอดื้อรั้นขึ้นมาจริงๆล่ะก็ ในอนาคต คงเป็นเรื่องยากที่เธอจะได้ออกมาท่องโลกกว้างอีกครั้ง เพราะฉะนั้น อะไรที่อดทนรอได้ ก็ให้รอไปเถอะเพราะอย่างไรเสีย พี่ชายก็ต้องพาเธอเที่ยวตามที่รับปากไว้อยู่แล้ว

และก็วันนี้ไง ที่เธอจะได้เห็นความงดงามของตัวอาคารสีขาวโดมสีฟ้าสร้างเรียงรายตามเนินเขา โอบล้อมด้วยน้ำทะเลสีครามท่ามกลางอากาศอบอุ่นแบบเมดิเตอร์เรเนียนอย่างที่หวัง

ภายในห้องอาหาร ผู้คนบางตา เพราะอาจจะยังเช้าอยู่ก็เป็นได้ จึงทำให้แขกที่มาพักผ่อนยังไม่รีบตื่นขึ้นมา..พี่ชายที่นั่งรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกสามชีวิตแล้ว ยกมือกวักเรียก

“ไปหาอะไรกินซะ แล้วจะได้รีบไป”
จิรกรบอก พร้อมรับสัมภาระจากน้องสาวมาวางกับพื้นรวมกับเป้ของตนใกล้เก้าอี้นั่ง เพียงครู่เดียวน้องสาวก็กลับมานั่งเก้าอี้ข้างกาย ในจานมีขนมปังสองแผ่น แยมผลไม้ ไส้กรอกสองชิ้น ผักสดแล้วก็เฟต้าชีสอีก 1 ก้อนเท่านั้น

“กินแค่นี้เองเหรอ” เพราะปกติน้องสาวนั้นเป็นคนเจริญอาหารพอสมควรทีเดียว

ญารินพยักหน้า “สงสัยตื่นเต้นมั้ง เลยกินอะไรไม่ค่อยลง”

พี่ชายแค่นยิ้ม “ยัยเด็กบ๊อง”

หญิงสาวไม่สนใจ และเริ่มลงมือทานอาหารในจานของตน โดยฟังโปรแกรมท่องเที่ยวจากอองรี ที่เป็นคนจัดทริปให้ เพราะชายหนุ่มนั้นเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศนี้เป็นว่าเล่นเลยก็ได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีทีเดียว สำหรับเธอที่มีเวลาเที่ยวไม่มากนัก 

ญารินมองปลายปีกเครื่องบินพุ่งตัดกลุ่มเมฆสีขาว สลับลอยท่ามกลางความเวิ้งว้างของท้องฟ้ากว้าง ปลายนิ้วของเธอยกขึ้นเกี่ยวเล่นกับสายสร้อยคอ บางครั้งก็ลูบความเรียบลื่นของตัวจี้วัวกระทิงเล่น จนกระทั่ง เครื่องบินแลนดิ้งสู่จุดหมาย เธอมองรายรอบกายอย่างตื่นเต้น ในขณะที่อองรีเหลียวมองหาคนของโรงแรมผู้ที่มารอรับจากบรรดาป้ายที่ยกชูเป็นจำนวนนับสิบๆป้ายชื่อ

คนขับรถวัยกลางคนใช้ระยะเวลาไม่กี่สิบนาที ก็พาคณะลูกค้าถึงโรงแรมที่พัก ซึ่งสร้างลักษณะเป็นบ้านดินทาสีขาว ตัดกับสีสดใสของผ้าคลุมเตียง และหมอนอิงหลากสีสันวางเรียงกันบนโซฟาสีขาวสะอาดตา แม้กระทั่งห้องน้ำ ก็ยังเป็นสีขาว

“ว้าว..สวยจัง”

ญารินวางเป้ของตนลงบนเตียง เดินผ่านพี่ชายที่เพิ่งยอบตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ และทำท่าจะเอนตัวลง
“โอ้ย..ขอนอนสักตื่นก่อนนะ แล้วค่อยไปต่อ” เพราะเมื่อคืนเขานั่งคุยกับเพื่อนจนดึกดื่น แล้วยังต้องตื่นเช้าอีก จึงรู้สึกง่วงจนทนไม่ไหว

“อะไรกันอ่ะ..ตอนอยู่บนเครื่องพี่ก็หลับแล้วนะ”

“ใครบอกว่าหลับ นั่นแค่พักสายตาต่างหากล่ะ” เขาตอบน้ำเสียงงัวเงียเต็มทน “เอาน่า ขอนอนแป๊บนึง แล้วค่อยไปหาอะไรกินกันที่ฟิร่า” บอกเสร็จก็คว่ำหน้ากอดหมอนสีแดงสด เข้าสู่ภวังค์แทบจะทันที

หญิงสาวถอนใจ..อุตส่าห์มาถึงสถานที่สวยงามสุดแสนโรแมนติกขนาดนี้ พี่ชายกลับหลับได้หน้าตาเฉย
“เฮ้อ! ก็เป็นเสียแบบนี้ ถึงหาแฟนไม่ได้เสียที”

แล้วก็เดินออกไปที่ระเบียงด้านนอกเป็นลานให้นั่งชมวิวทิวทัศน์ของบ้านเรือนที่ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดด้วยโทนสีฟ้าขาวพาสเทลไล่สุดสายตาไปยังสีฟ้าครามของทะเลอีเจียน มันช่างชวนให้น่าหลงใหลสมคำร่ำลือ จนไม่อยากเชื่อเลยว่า เบื้องหลังความสวยงามของหมู่เกาะแห่งนี้ จะถือกำเนิดมาจากการระเบิดของภูเขาไฟจนแผ่นดินธีราแตกออกเป็นสามเกาะ พร้อมทั้งคลื่นสึนามิถล่มกลืนกินฝั่งเหนือของเกาะครีตจนจมหายไปพร้อมหมู่เกาะไซคลาดิสในสมัยกษัตริย์ไมนอส ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่า สถานที่แห่งนี้คือแอตแลนติสตามบันทึกของเพลโต แต่ในความเชื่อนั้น ก็ยังมีความขัดแย้งที่ยังต้องรอการพิสูจน์ ซึ่งเธอสนใจในเรื่องของศิลปะมากกว่า ส่วนความเป็นจริง ก็ปล่อยให้วิวัฒนาการของการศึกษาค้นคว้าดำเนินหน้าที่ของมันไป

ญารินเดินกลับมาหยิบสมุดสเก็ตซ์ภาพออกไปนั่งวาดรูป เก็บรายละเอียดที่มองเห็นตรงหน้าอย่างเรียบเรื่อย..จนกระทั่งพี่ชายตื่นขึ้นมา และพากันเดินลัดเลาะตามทางเดินริมผาไปยังหมู่บ้านฟิร่า แม้อากาศค่อนข้างร้อน แต่เธอก็ยังรู้สึกสนุกกับการเดินเที่ยว ถ่ายรูปเก็บภาพตามมุมต่างๆ พร้อมกับซื้อโปสการ์ดและบรรดาของที่ระลึก

ขณะกำลังเดินเที่ยว ญารินรู้สึกถึงการสั่นไหวจากผืนดินเล็กน้อย เธอหันมองผู้คนรอบกาย ซึ่งต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกเช่นกัน
“ไม่ต้องตกใจหรอก ที่นี่เป็นเกาะล้อมรอบด้วยภูเขาไฟ บางครั้งก็มีการสั่นแบบนี้ล่ะ แต่ไม่บ่อยแล้วก็ไม่รุนแรงอะไรหรอก” อองรีอธิบายให้เธอและเพื่อนๆคลายกังวล และพากันเดินเที่ยวต่อ ซึ่งทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ไม่มีอาการสั่นไหวอีก

ญารินเพลิดเพลินกับการเที่ยวครั้งนี้ จนลืมเรื่องแผ่นดินไหวเสียสนิท

วันรุ่งขึ้น..
หญิงสาวตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อวานเดินตะลุยแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยท่ามกลางอากาศค่อนข้างร้อน ร่างกายจึงรู้สึกอ่อนเพลียพอสมควร..แต่พอได้อาบน้ำแล้ว ความกระชุ่มกระชวยก็กลับมาตื่นตัวอีกครั้ง เพราะวันนี้อองรีวางโปรแกรมล่องเรือเที่ยวรอบเกาะ และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากจะลงว่ายน้ำเสียหน่อย ยิ่งเห็นท้องทะเลของที่นี่ เธอก็รู้สึกเหมือนว่ามันกำลังกวักมือเรียกให้เธอกระโจนลงไปแหวกว่าย

 เรือนำเที่ยวมีลักษณะคล้ายเรือประมงพื้นบ้าน ถูกดัดแปลงและตกแต่งสวยงามสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 20 คนเท่านั้น  เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะจึงดังกันเป็นหย่อมๆ..ญารินแยกตัวออกจากกลุ่มพี่ชาย เดินลงมาจากดาดฟ้าเพื่อหามุมถ่ายรูป ซึ่งนักท่องเที่ยวชั้นล่างนี้เหลือเพียงไม่กี่คนด้วยซ้ำ เธอจึงเดินเกร่ไปทั่วเรือ..กัปตันเรือจอดตามเกาะให้นักท่องเที่ยวเดินไปสำรวจโดยกำหนดเวลากลับไว้ให้ ก่อนจะล่องเรือไปยังแหล่งน้ำพุร้อนซึ่งเป็นจุดหมายที่ญารินรอคอย

และในที่สุด ! ร่างแบบบางกลมกลึงสวมชุดว่ายน้ำสีสันสดใสยืนบนกราบเรือ มองกลุ่มพี่ชายที่พากันกระโดดลงไปก่อน 

“มาเร็วๆไอ้ยูริ เดี๋ยวตามไม่ทันนะ” เสียงพี่ชายตะโกนเรียกทันทีที่โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

หญิงสาวมุ้ยปาก “เชอะ ! ต่อให้ก่อนหรอกน่ะ”

แล้วก็พุ่งตัวเองลงไปในแผ่นน้ำสีคราม ว่ายตามกลุ่มพี่ชายเข้าหาฝั่ง และเห็นหลายคนรวมตัวกันเป็นกระจุกตามแหล่งน้ำพุร้อน ซึ่งรวมทั้งกลุ่มพี่ชายของเธอด้วย แต่หญิงสาวไม่ใคร่สนใจมากนัก จึงเลือกที่จะดำผุดดำว่ายกับท้องทะเลแทน แม้ว่ารสชาติจะเค็มปะแล่มๆคล้ายสนิมเจือปนมาจากสารซัลเฟอร์ของภูเขาไฟ 

กัปตันเรือทอดร่างนอนบนกาบหัวเรือ สูบบุหรี่รอนักท่องเที่ยวอย่างสบายอารมณ์ พลัน! ชะงักค้าง เมื่อเห็นฝูงนกทะเลพากันบินวนไร้ทิศทาง ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกำลังตื่นตระหนกท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย และชะโงกหน้าลงเพ่งมองใต้สายน้ำสีครามเห็นเงาของฝูงปลาว่ายผ่านไป บุหรี่ในมือถูกดีดทิ้งในจังหวะเดียวกับร่างของเขาโผนเข้าห้องควบคุม สั่งให้ลูกเรือเตรียมรับมือกับภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น !

ญารินสะดุ้งเฮือกกับเสียงหวูดอันดัง ซึ่งไม่ได้มาจากเรือของเธอลำเดียวเท่านั้น แต่ทุกลำที่จอดบริเวณนี้พากันเรียกนักท่องเที่ยวของตนกลับอย่างเร่งรีบ ซึ่งหลายคนยังยืนงงงัน..แต่เมื่อลูกเรือออกมาตะโกนว่า

 “สึนามิ !”

ทุกชีวิตรีบว่ายกลับขึ้นเรืออย่างสุดชีวิต

ความวุ่นวายเกิดขึ้นพร้อมคำถามมากมายราวคนเสียสติจากบรรดานักท่องเที่ยวที่แย่งกันถาม ซึ่งไร้คำตอบใดๆจากลูกเรือ นอกจากเสื้อชูชีพที่เร่งให้ลูกทัวร์สวมใส่ และหาที่ยึดเกาะแน่นๆ พร้อมสวดมนต์ !

ญารินหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปยืนอยู่ตรงไหน แต่วินาทีนั้นพี่ชายก็ดึงเธอให้มาเกาะขอบกราบเรือตามเพื่อนคนอื่น โดยมีร่างเขายืนซ้อนอยู่ด้านหลังสองแขนคร่อมยึดกราบเรือเป็นปราการปกป้องเธออีกชั้น

“พี่เจได..” เธอเอ่ยอย่างตื่นกลัวภายใต้อกแกร่งของพี่ชายที่ก้มลงจูบกลุ่มผมของเธอพร้อมกระซิบปลุกปลอบ
“ไม่ต้องกลัว..เราต้องไม่เป็นอะไร จับไว้ให้แน่นๆนะ”

หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ และมองไปยังท้องทะเลที่ยังคงเป็นสีคราม เฝ้านึกถึงสิ่งต่างๆรวมทั้งบิดามารดา

เรือทุกลำต่างมุ่งหน้าด้วยกำลังเต็มสูบตรงไปยังอีกเกาะห่างไปไม่กี่ไมล์ ซึ่งสภาพภูมิทัศน์ของเกาะคือตัวเลือกหลบภัยได้ดีที่สุดในวินาทีนี้ ส่วนที่เหลือ ก็แล้วแต่พระเจ้าจะทรงตัดสิน !

ญารินรู้สึกว่าทุกวินาทีผ่านไปแสนเชื่องช้า ทุกอย่างรอบกายเต็มไปด้วยความตึงเครียด และเธอได้ยินเสียงสวดมนต์ของผู้คนแทรกขึ้นผสมกับเสียงเครื่องยนต์อันดัง และในฉับพลัน ! เสียงกรีดร้องตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมๆกับผืนน้ำทะเลแปรเปลี่ยนดำทะมึนเป็นกำแพงสูง บิดเกลียวทิ้งตัวไล่กลืนกินทุกสรรพสิ่งอย่างบ้าคลั่ง เรือไม้ฝืนโยกโคลงโผนทะยานเหนือผิวคลื่นได้ไม่กี่อึดใจต้องพ่ายแพ้

ญารินไม่มีแม้เสียงกรีดร้อง สองหูอื้ออึง แม้จะรู้สึกถึงแรงกอดของพี่ แต่เพียงอึดใจเท่านั้น ร่างดั่งถูกกระชากฉุดดึงลงใต้ทะเล เธอพยายามตะเกียกตะกาย สำลักหายใจจนแสบปอด สติเลือนรางลงทุกขณะ จู่ๆความรู้สึกแสนทรมานค่อยๆผ่อนคลาย และในความสะลึมสะลือ เหมือนว่ากำลังลอยล่องอยู่ในฟองอากาศที่กำลังจมดิ่งสู่ความมืดมิด แสนเวิ้งว้าง
(ต่อค่ะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่