เรื่องเล่าเคว้ง2

เวียงหมอกและผู้เฝ้าประตู
ความเย็นยะเยือกคือสิ่งแรกที่กระชาก คราม ให้ตื่นจากภวังค์...
มันไม่ใช่ความหนาวเหน็บจากลมทะเลที่เขาคุ้นเคย แต่มันเป็นความหนาวที่แทรกซึมลึกเข้าไปถึงกระดูกดำ เหมือนวิญญาณกำลังถูกแช่แข็งในตู้เย็น ชายหนุ่มทะลึ่งพรวดพุ่งทะยานผ่านผิวน้ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เสียงหายใจหอบแฮกดังสนั่นท่ามกลางความเงียบสงัด ครามตะเกียกตะกายพาตัวเองเข้าหาฝั่งดินโคลนที่ชื้นแฉะ
"แฮ่ก... แฮ่ก..."
ดวงตาที่ยังพร่ามัวจากน้ำเค็มค่อยๆ ปรับโฟกัสเพื่อมองหาสภาพแวดล้อมรอบตัว สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ท้องฟ้าสีครามหรือหาดทรายขาวของเกาะปินตู แต่เป็นบ่อน้ำลึกลับกลางหุบเขา ที่ถูกโอบล้อมด้วยป่าทึบและม่านหมอกสีขาวขุ่นหนาทึบ บรรยากาศวังเวงจนน่าขนลุก อากาศเย็นจัดจนควันออกปาก
ทันใดนั้น สัญชาตญาณบางอย่างเตือนให้เขาเงยหน้าขึ้น บนเนินดินเหนือตลิ่ง ท่ามกลางหมอกจางๆ... มีคนยืนอยู่
ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นกลุ่มวัยรุ่น 5 คน ยืนเรียงหน้ากระดาน มองต่ำลงมาที่เขาอย่างเงียบเชียบ พวกเขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายม่อฮ่อมสีครามเข้มแบบชาวเหนือ กางเกงสะดอ ผ้าขาวม้าคาดเอว ดูแปลกตาไปจากเด็กโรงเรียนอินเตอร์อย่างสิ้นเชิง แววตาของทั้ง 5 คนดูว่างเปล่าแต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ชวนอึดอัด
หนึ่งในนั้นก้าวออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า... ครามเพ่งมองฝ่าความสลัว แล้วเขาก็ต้องช็อกจนแทบหยุดหายใจ เลือดในกายเย็นเฉียบยิ่งกว่าน้ำในบ่อ
คนคนนั้นคือ "โจอี้" เพื่อนสนิทของเขาที่ควรจะตายไปแล้วใต้ซากตึกถล่ม!
แต่โจอี้คนนี้กลับดูต่างออกไป เขาดูโตขึ้น ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แววตาที่เคยมองโลกในแง่ดีกลับดูเย็นชาและลึกล้ำราวกับคนผ่านโลกมานับร้อยปี
"..." ครามเสียงสั่นเครือ เปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก "โจอี้... ยังไม่ตาย..."
โจอี้ในชุดม่อฮ่อมย่อตัวลงนั่งยองๆ สบตาคราม แล้วเหยียดยิ้มมุมปากที่ดูเป็นปริศนา "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน... คราม" เสียงของเขาเรียบนิ่งก้องกังวานไปในหุบเขา "พวกเรา รอมานานแล้ว"
"รอกู? ที่นี่ที่ไหน? แล้วพวก... เป็นใคร?" ครามมองเลยไปด้านหลัง เห็นชายหญิงอีก 4 คนยืนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าของพวกเขามีเค้าโครงคล้ายเพื่อนๆ บนเกาะปินตูอย่างประหลาด แต่ดูบิดเบี้ยวและเลือนรางกว่า
หญิงสาวผมยาวหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้น น้ำเสียงของเธอราบเรียบไร้อารมณ์ "ที่นี่คือ 'เวียงหมอก' ดินแดนที่เวลาไม่เคยเดินหน้า... รีบลุกขึ้นเถอะพี่ชาย ก่อนที่ 'เงา' จะตามกลิ่นพี่เจอ"
"เงา?" ครามทวนคำ
โจอี้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันหลังเดินนำกลุ่มเพื่อนทั้ง 4 คนหายเข้าไปในม่านหมอก "ถ้าอยากรู้ความจริงเรื่องพ่อ... เรื่องเกาะนั่น... และวิธีที่จะกลับไปช่วยเพื่อน ก็ตามพวกกูมาให้ทัน"
ครามกัดฟันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ตะเกียกตะกายขึ้นจากบ่อน้ำ วิ่งตามกลุ่มคนปริศนาทั้ง 5 เข้าไปในป่าหมอก โดยหารู้ไม่ว่า... นั่นคือการก้าวเท้าเข้าสู่กับดักที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสึนามิ

เผด็จการแห่งเกาะร้าง
ตัดภาพมาที่ความจริงอีกด้าน... เกาะปินตู
แสงแดดเปรี้ยงยามบ่ายแผดเผาลงมายังซากปรักหักพัง กลิ่นเหม็นเน่าของขยะ สิ่งปฏิกูล และซากสัตว์ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณที่เคยเป็นรีสอร์ทหรู สภาพของนักเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้อพยพสงคราม เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม ดวงตาโหลลึกจากการขาดอาหารและน้ำ
อนันต์ ยืนตระหง่านอยู่บนกองซากอิฐที่สูงที่สุด สายตาคมกริบภายใต้แว่นกันแดดที่ขาหักข้างหนึ่งกวาดมองเพื่อนร่วมชะตากรรมเบื้องล่าง ในมือของเขาไม่ได้ถือปากกาหรือแท็บเล็ตเหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นท่อนเหล็กขึ้นสนิม... คทาอาญาสิทธิ์แห่งอำนาจใหม่
"วันนี้หน่วยหาปลาได้ปลามาแค่ 3 ตัว" อนันต์ประกาศเสียงก้อง "กับมะพร้าวอีก 5 ลูก... ไม่พอสำหรับปากท้อง 30 ชีวิต"
เสียงฮือฮาด้วยความไม่พอใจดังระงมขึ้นทันที "แล้วจะให้พวกเรากินอะไรวะ!" เสียงตะโกนดังมาจากกลุ่มด้านหลัง
"เงียบ!!" อนันต์ตวาดลั่นพลางฟาดท่อนเหล็กลงกับสังกะสีจนเกิดเสียงดังสนั่น "กฎคือกฎ! คนที่ทำงานหนักกว่า คนที่ภักดีต่อ 'ระบบ' จะได้รับส่วนแบ่งก่อน... ส่วนพวกที่วันๆ เอาแต่นั่งร้องไห้ หรือคิดจะหนี... ก็รอเศษเหลือไป!"
ไอซ์ เด็กหนุ่มเลือดร้อน ลุกขึ้นยืนชี้หน้าด้วยความเหลืออด "บ้าไปแล้วเหรออนันต์! ระบบบ้าบออะไรของ! เราเพื่อนกันนะเว้ย จะให้พวกกูอดตายหรือไง!"
อนันต์มองเพื่อนด้วยสายตาเย็นชาไร้ความรู้สึก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ให้กับสมุนร่างยักษ์สองคน "เพื่อนกัน... ไม่ขัดคำสั่งกันหรอกไอซ์" อนันต์พูดเสียงเรียบ "เอาตัวมันไปขังที่ 'คุกถ้ำ' ... งดน้ำงดอาหารเย็นนี้ เผื่อสติจะกลับมา"
"ปล่อยกูนะเว้ย!!" เสียงกรีดร้องและด่าทอของไอซ์ค่อยๆ ห่างออกไปขณะถูกลากตัวไป
ความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วกลุ่มนักเรียน ไม่มีใครกล้าสบตาอนันต์ ทุกคนก้มหน้ารับชะตากรรม แต่ภายใต้ความเงียบงันนั้น... คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว
หลังซากอาคารเรียนวิทย์ที่พังถล่ม อริสา ขยับแว่นสายตาที่แตกร้าวให้เข้าที่ เธอกระชับ "สมุดบันทึกปกดำ" ไว้แนบอกแน่น ข้างกายเธอคือ น้ำ แฟนสาวของครามที่ดูอิดโรยแต่แววตายังมีความหวัง
"เห็นไหมน้ำ..." อริสากระซิบพลางเปิดหน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือยุ่งเหยิงของครูหลินและแผนผังดวงดาว "อนันต์กำลังจะพาพวกเราไปตายกันหมด แต่เรามีทางรอด..."
"ทางรอดอะไรอริสา? เราติดอยู่ที่นี่มาเป็นเดือนแล้วนะ" น้ำถามเสียงเบา
อริสาชี้ไปที่รูปวาดวงแหวนโบราณในสมุด "ครามไม่ได้ตาย... เขาแค่ 'ข้าม' ไปอีกที่หนึ่ง บันทึกนี้บอกว่าถ้ำที่ครามหายไปคือ 'จุดบอดมิติ' และคืนนี้... จันทรคราสจะเป็นกุญแจสำคัญ"
อริสาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง แววตามุ่งมั่นฉายชัด "เราจะโทรหาเขาน้ำ... เราจะส่งสัญญาณไปหาคราม ด้วยวิธีที่อนันต์ไม่มีวันเข้าใจ"


สัญญาณเลือด
ณ เวียงหมอก... ครามเดินตามโจอี้มาจนถึงลานกว้างกลางหมู่บ้าน ที่นั่นมี หอระฆังไม้สักขนาดมหึมา ตั้งตระหง่านอยู่ ระฆังใบยักษ์ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนเส้นหนา ราวกับขังปีศาจร้ายเอาไว้ข้างใน
"ที่นี่คือศูนย์กลางของเวียงหมอก" โจอี้หยุดเดินแล้วหันมา "เวลาที่นี่หยุดเดินตั้งแต่คืนสึนามิ... พวกกูติดอยู่ในลูปนี้ รอใครสักคนมาปลดปล่อย"
"หมายความว่า..." ครามเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว "พวก... ตายแล้ว?"
โจอี้ส่ายหน้าช้าๆ "ไม่เชิง... พวกเราแค่ 'หลงทาง' ... เหมือนไฟล์ที่ถูกลบแต่ยังค้างอยู่ในถังขยะรอการกู้คืน... หรือรอการลบทิ้งถาวร"
ทันใดนั้น... แก๊ง... แก๊ง...
เสียงระฆังดังแว่วมา... ไม่ใช่จากระฆังยักษ์ตรงหน้า แต่มันดังก้องอยู่ในหัวของคราม เสียงแหลมสูงเหมือนเสียงโลหะกระทบกันเป็นจังหวะ
ครามทรุดตัวลงกุมขมับด้วยความเจ็บปวด "โอ๊ยย! เสียงอะไรวะ!"
โจอี้และพรรคพวกอีก 4 คนเงยหน้ามองท้องฟ้า สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป... จากเรียบเฉยกลายเป็นตื่นตระหนก
"มันเริ่มแล้ว..." โจอี้พึมพำ "คนทางฝั่งนู้นกำลังพยายามเปิดประตู"
ตัดกลับมาที่ ปากถ้ำริมทะเลบนเกาะปินตู ความมืดมิดยามค่ำคืนถูกฉาบด้วยแสงสีแดงฉานจากพระจันทร์เต็มดวงที่กำลังถูกเงามืดกลืนกิน... จันทรคราส
อริสาและน้ำยืนอยู่หน้าปากถ้ำ ลมพายุพัดกรรโชกแรง อริสาวางระฆังทองเหลืองใบเล็กๆ ลงบนแท่นหิน เธอกัดฟันแน่น หยิบมีดคัตเตอร์ขึ้นมากรีดที่ฝ่ามือตัวเอง
"อริสา! ทำอะไรน่ะ!" น้ำร้องเสียงหลง
"ต้องใช้ 'เชื้อเพลิง' น้ำ..." อริสาพูดเสียงสั่นขณะเลือดสีแดงสดหยดลงบนระฆัง "เลือดคือสื่อนำที่ดีที่สุดในการข้ามมิติ"
ติ๋ง... ติ๋ง... ทันทีที่เลือดสัมผัสโลหะ ระฆังก็เริ่มสั่นไหวและส่งเสียงฮัมต่ำๆ ออกมา อริสายื่นก้อนหินให้น้ำ "เคาะมัน... เคาะให้ดังที่สุด ให้เสียงนี้ไปถึงคราม!"
น้ำรับหินมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะตัดสินใจเคาะลงไปที่ระฆัง แก๊ง!
วินาทีนั้น... แผ่นดินทั้งเกาะสั่นสะเทือน เลือดจากมืออริสาไม่ได้ไหลลงพื้น แต่มันลอยคว้างขึ้นไปในอากาศ หมุนวนเป็นเกลียวคลื่นพุ่งตรงเข้าไปในความมืดมิดของปากถ้ำ
และที่ปลายทางของเสียงนั้น... ในโลกเวียงหมอก ครามเงยหน้าขึ้นมองระฆังยักษ์ที่ถูกล่ามโซ่... โซ่ตรวนเหล่านั้นกำลังเริ่มร้าวและแตกออกทีละข้อ... ทีละข้อ...
ประตูมิติกำลังจะเปิดออกแล้ว... แต่สิ่งที่รออยู่อีกฝั่ง อาจไม่ใช่ทางรอดอย่างที่พวกเขาคิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่