บทนำ
https://pantip.com/topic/39789680
บทที่ ๑
ยามสายของวันที่อากาศร้อนอบอ้าว...
รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าหมู่บ้านหรูบริเวณชานเมือง และหยุดหน้าประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ตามการชี้นำของผู้โดยสารที่รับมาจากสนามบิน ชายหนุ่มผิวค่อนไปทางขาว หน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาไม่ต่างจากดาราที่ลูกสาวคลั่งไคล้ เปิดประตูก้าวลงจากรถ หลังจากจ่ายค่าโดยสารครบตามจำนวนที่ตกลงกัน และเขามุ่งหน้าหาลูกค้ารายใหม่ต่อไป
ชายหนุ่มล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋าใบเล็ก ไขประตูเล็กก่อนลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าไปภายในบ้านอันแสนสุข ผ่านสวนอันร่มรื่นสวยงามบริเวณหน้าบ้านที่บิดามารดาของเขาช่วยกันประคบประหงมดั่งลูกรักก็ไม่ปาน และชะงักเท้า เมื่อเห็นเด็กรับใช้ก้าวเข้ามา ก่อนยกมือไหว้ เขาพยักหน้ารับพลางเอ่ยหามารดา
“แม่ล่ะ ?”
“อยู่ในครัวค่ะ..กำลังตุ๋นซี่โครงไว้เตรียมต้อนรับคุณอยู่ค่ะ”
“อ้อ..” เขายิ้มรับ และพาร่างของตนตรงไปหาผู้ให้กำเนิด โดยยกกระเป๋าเดินทางให้เป็นหน้าที่ของเด็กรับใช้
เขาสูดดมกลิ่นหอมของเมนูโปรดที่โชยออกมา และเคาะประตูทางเข้าครัวพอให้มารดารู้ตัว ก่อนก้าวเข้าสวมกอดร่างอวบอิ่มนุ่มนวลที่กำลังง่วนหน้าเตาอย่างคิดถึง
เขมจิราสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกสวมกอด แต่เพียงเสี้ยวนาทีของลมหายใจเท่านั้น ความปรีดาก็เข้ามาแทน เมื่อบุตรชายคนโตที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศอยู่หลายเดือนได้กลับมาเยี่ยมบ้าน และแม้จะกลับมาอยู่ด้วยกันไม่กี่สัปดาห์ นางก็ดีใจเป็นที่สุด..อย่างน้อยก็ได้กอดลูกจนหายคิดถึง
“เป็นไงบ้าง..หิวรึเปล่า กระดูกหมูแม่เคี่ยวไว้ได้ที่แล้ว ลูกจะกินเลยไหม รึจะอาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อตัวก่อน”
ประโยคคำถามซ้ำๆกับฝ่ามือที่ลูบแขนนั้นแสนอ่อนโยนสลายความเหนื่อยล้า ให้มลายหายไปจนสิ้น
“ตอนนี้ผมขออาบน้ำก่อนดีกว่าครับ..ส่วนกระดูกหมูนั่น ผมจะจัดการมันตอนกลางวัน”
“ตามใจ..อ้อ! แล้วโทรหาพ่อเขาด้วยนะ..เขาบ่นๆอยู่ว่า เราไม่ยอมให้ไปรับ ทั้งๆที่ยูริก็อยู่บ้าน”
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม แย้งเสียงทดท้อ
“ผม 28 แล้วนะครับ..ไปไหนมาไหนได้สบาย ไม่ต้องให้น้องลำบากหรอก..ขี้เกียจฟังเจ้ายูริมันลำเลิกบุญคุณ” อาการหมั่นเขี้ยวน้องสาวสำแดงออกมาให้ผู้กำเนิดขบขัน
“เอาล่ะๆ จะไปอาบน้ำก็ไป..แล้วอย่าลืมโทรหาพ่อด้วยนะ”
“ครับ..” เขารับคำก่อนหันร่างเดินขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี
หลังอาบน้ำจนรู้สึกผ่อนคลายจากการนั่งเครื่องข้ามซีกโลกนานหลายชั่วโมง จึงหยิบโทรศัพท์หาบิดา พูดคุยเพียงไม่กี่คำ แล้ววางสาย..แต่ก็รับรู้ได้ ว่าบิดานั้นคิดถึงเขาเพียงใด เพียงแต่ท่านเขินอายเกินกว่าจะพูดหรือแสดงออกมาได้มากกว่านี้ ซึ่งตัวเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากบิดาเช่นกัน..ชายหนุ่มนั่งเล่นอีกไม่กี่นาที ก็เดินออกจากห้องไปหาน้องสาว..แต่เมื่อเคาะประตูเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบรับ จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป เพราะคิดว่าน้องนั้นใส่หูฟังเฉกเช่นทุกครั้ง
“เฮ้! ยูริ”
ทว่า..ภายในห้องสีเหลืองนวลนั้นไร้เงาน้องสาวโดยสิ้นเชิง..เขามองไปรอบๆห้องที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ เรียบร้อยนัก ซึ่งมารดานั้นพร่ำบ่นตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว น้องเขาก็ยังเหมือนเดิม..สายตาเหลือบมองภาพวาดสีน้ำมันรูปวัวกระทิงสีขาว ใส่กรอบไม้เรียบสีน้ำตาลไหม้วางบนโต๊ะทำงาน ที่มีเพียงหนังสือแปลเล่มหนาไม่กี่เล่ม
ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้าภาพวัวกระทิง เป็นฝีมือการวาดของน้อง ซึ่งเธอภาคภูมิใจกับภาพนี้มาก และเขาก็เห็นสมควรแล้วที่เธอจะรู้สึกเช่นนั้น เพราะทั้งลายเส้นและการไล่เฉดสีที่น้องตั้งใจรังสรรค์ขึ้นมานั้น มันทำให้ภาพนี้เหมือนมีจิตวิญญาณ โดยเฉพาะดวงตาของเจ้าวัวเผือกนี้มันช่างสมจริง ราวกับมันกำลังจ้องสบสายตากับเขาอยู่ และนอกจากภาพนี้แล้ว น้องสาวของเขายังวาดไว้อีกหลายภาพหลายสไตล์ แต่ส่วนใหญ่เป็นภาพวัวกระทิงในหลายอิริยาบถ และบางภาพถูกส่งไปฝากขายตามแกลเลอรี่ บางส่วนก็ส่งขายทางออนไลน์ในต่างประเทศ โดยผ่านแกลเลอรี่ที่เขารู้จัก ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้างไปตามประสา แต่ดูเหมือนน้องของเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากอยู่แล้ว..เขาละสายตาจากภาพ มองออกนอกหน้าต่าง ไปยังบ้านหลังเล็กสไตล์ลอฟท์ ซึ่งเขามองว่ามันคือห้องเก็บของเสียมากกว่า ปลูกท่ามกลางสวนผักขนาดย่อมบริเวณหลังบ้าน
ยามเดินเข้าภายในบ้านหลังน้อย ได้กลิ่นสีเจือจาง ร่างแบบบางกำลังร่างภาพผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งจ้างให้เธอวาดรูปแนวอาร์ตๆสไตล์วินเทจ..ผมยาวมัดรวบเพียงลวกๆ ให้ปอยผมบางส่วนเคลียร์แผ่นหลังบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวหลวมโคร่ง ปล่อยชายเสื้อหลุดคลุมกางเกงยีนพอดีตัว เสียงฮัมเพลงดังผ่านลำคอระหง บางครั้งริมฝีอิ่มสีเรื่อขยับตามเนื้อร้องที่ได้ยินจากแอร์พอร์ตที่เสียบคาหู ไม่สนใจสิ่งใดๆรอบตัว จนกระทั่ง..เธอเงยตัวขึ้นเมื่อรู้สึกเมื่อยหลัง จากการโน้มตัวเพ่งสายตาอยู่นานสองนาน พลัน! สะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นพี่ชายมายืนกอดอกมองเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“เฮ้ย! ผีหลอก” แม้จะดีใจ แต่ก็ยังไม่วายหยอกเย้า
จิรากรดีดหน้าผากแหม่งๆตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว
“ผีบ้านแกสิ หล่อขนาดนี้”
หญิงสาวอมยิ้มพลางลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วก็โผกอดร่างสูงเพรียว ถูใบหน้ากับอกกว้างอย่างออดอ้อน “คิดถึงจัง”
ความเอ็นดูเจืออยู่ในเสียงหัวเราะทุ้มต่ำขณะพยายามแกะเรียวแขนของน้องออกจากตัว
“ไม่ต้องมาอ้อน..จะทวงของฝากใช่ไหม”
หญิงสาวยิ้มแฉ่ง ดวงตากลมใสส่องประกายวิบวับราวเด็กน้อยเขินอายกับการรู้ทันของพี่
“ก็แหม..มันก็ต้องมีไม่ใช่เหรอ”
ฝ่ามือใหญ่ยื่นมายีผมยุ่งให้ยุ่งหนักเข้าไปอีก
“เออ พี่ไม่ลืมหรอก”
หญิงสาวทำท่าจะโผกอดอีกครั้ง แต่คราวนี้พี่ชายกางฝ่ามือแปะเต็มใบหน้า ยันร่างของเธอไว้
“พอเลยไอ้ยูริ ตัวมีแต่กลิ่นสี..ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป กว่าจะเสร็จก็ได้เวลาข้าวเที่ยงพอดี”
(ต่อค่ะ)
ชะตารักเหนือกาล : A Timeless Love. #1#
รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าหมู่บ้านหรูบริเวณชานเมือง และหยุดหน้าประตูรั้วของบ้านหลังใหญ่ตามการชี้นำของผู้โดยสารที่รับมาจากสนามบิน ชายหนุ่มผิวค่อนไปทางขาว หน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาไม่ต่างจากดาราที่ลูกสาวคลั่งไคล้ เปิดประตูก้าวลงจากรถ หลังจากจ่ายค่าโดยสารครบตามจำนวนที่ตกลงกัน และเขามุ่งหน้าหาลูกค้ารายใหม่ต่อไป
ชายหนุ่มล้วงกุญแจออกมาจากกระเป๋าใบเล็ก ไขประตูเล็กก่อนลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เข้าไปภายในบ้านอันแสนสุข ผ่านสวนอันร่มรื่นสวยงามบริเวณหน้าบ้านที่บิดามารดาของเขาช่วยกันประคบประหงมดั่งลูกรักก็ไม่ปาน และชะงักเท้า เมื่อเห็นเด็กรับใช้ก้าวเข้ามา ก่อนยกมือไหว้ เขาพยักหน้ารับพลางเอ่ยหามารดา
“แม่ล่ะ ?”
“อยู่ในครัวค่ะ..กำลังตุ๋นซี่โครงไว้เตรียมต้อนรับคุณอยู่ค่ะ”
“อ้อ..” เขายิ้มรับ และพาร่างของตนตรงไปหาผู้ให้กำเนิด โดยยกกระเป๋าเดินทางให้เป็นหน้าที่ของเด็กรับใช้
เขาสูดดมกลิ่นหอมของเมนูโปรดที่โชยออกมา และเคาะประตูทางเข้าครัวพอให้มารดารู้ตัว ก่อนก้าวเข้าสวมกอดร่างอวบอิ่มนุ่มนวลที่กำลังง่วนหน้าเตาอย่างคิดถึง
เขมจิราสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกสวมกอด แต่เพียงเสี้ยวนาทีของลมหายใจเท่านั้น ความปรีดาก็เข้ามาแทน เมื่อบุตรชายคนโตที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศอยู่หลายเดือนได้กลับมาเยี่ยมบ้าน และแม้จะกลับมาอยู่ด้วยกันไม่กี่สัปดาห์ นางก็ดีใจเป็นที่สุด..อย่างน้อยก็ได้กอดลูกจนหายคิดถึง
“เป็นไงบ้าง..หิวรึเปล่า กระดูกหมูแม่เคี่ยวไว้ได้ที่แล้ว ลูกจะกินเลยไหม รึจะอาบน้ำอาบท่าให้สบายเนื้อตัวก่อน”
ประโยคคำถามซ้ำๆกับฝ่ามือที่ลูบแขนนั้นแสนอ่อนโยนสลายความเหนื่อยล้า ให้มลายหายไปจนสิ้น
“ตอนนี้ผมขออาบน้ำก่อนดีกว่าครับ..ส่วนกระดูกหมูนั่น ผมจะจัดการมันตอนกลางวัน”
“ตามใจ..อ้อ! แล้วโทรหาพ่อเขาด้วยนะ..เขาบ่นๆอยู่ว่า เราไม่ยอมให้ไปรับ ทั้งๆที่ยูริก็อยู่บ้าน”
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม แย้งเสียงทดท้อ
“ผม 28 แล้วนะครับ..ไปไหนมาไหนได้สบาย ไม่ต้องให้น้องลำบากหรอก..ขี้เกียจฟังเจ้ายูริมันลำเลิกบุญคุณ” อาการหมั่นเขี้ยวน้องสาวสำแดงออกมาให้ผู้กำเนิดขบขัน
“เอาล่ะๆ จะไปอาบน้ำก็ไป..แล้วอย่าลืมโทรหาพ่อด้วยนะ”
“ครับ..” เขารับคำก่อนหันร่างเดินขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี
หลังอาบน้ำจนรู้สึกผ่อนคลายจากการนั่งเครื่องข้ามซีกโลกนานหลายชั่วโมง จึงหยิบโทรศัพท์หาบิดา พูดคุยเพียงไม่กี่คำ แล้ววางสาย..แต่ก็รับรู้ได้ ว่าบิดานั้นคิดถึงเขาเพียงใด เพียงแต่ท่านเขินอายเกินกว่าจะพูดหรือแสดงออกมาได้มากกว่านี้ ซึ่งตัวเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากบิดาเช่นกัน..ชายหนุ่มนั่งเล่นอีกไม่กี่นาที ก็เดินออกจากห้องไปหาน้องสาว..แต่เมื่อเคาะประตูเรียกแล้วไม่มีเสียงตอบรับ จึงถือวิสาสะเปิดเข้าไป เพราะคิดว่าน้องนั้นใส่หูฟังเฉกเช่นทุกครั้ง
“เฮ้! ยูริ”
ทว่า..ภายในห้องสีเหลืองนวลนั้นไร้เงาน้องสาวโดยสิ้นเชิง..เขามองไปรอบๆห้องที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบ เรียบร้อยนัก ซึ่งมารดานั้นพร่ำบ่นตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว น้องเขาก็ยังเหมือนเดิม..สายตาเหลือบมองภาพวาดสีน้ำมันรูปวัวกระทิงสีขาว ใส่กรอบไม้เรียบสีน้ำตาลไหม้วางบนโต๊ะทำงาน ที่มีเพียงหนังสือแปลเล่มหนาไม่กี่เล่ม
ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้าภาพวัวกระทิง เป็นฝีมือการวาดของน้อง ซึ่งเธอภาคภูมิใจกับภาพนี้มาก และเขาก็เห็นสมควรแล้วที่เธอจะรู้สึกเช่นนั้น เพราะทั้งลายเส้นและการไล่เฉดสีที่น้องตั้งใจรังสรรค์ขึ้นมานั้น มันทำให้ภาพนี้เหมือนมีจิตวิญญาณ โดยเฉพาะดวงตาของเจ้าวัวเผือกนี้มันช่างสมจริง ราวกับมันกำลังจ้องสบสายตากับเขาอยู่ และนอกจากภาพนี้แล้ว น้องสาวของเขายังวาดไว้อีกหลายภาพหลายสไตล์ แต่ส่วนใหญ่เป็นภาพวัวกระทิงในหลายอิริยาบถ และบางภาพถูกส่งไปฝากขายตามแกลเลอรี่ บางส่วนก็ส่งขายทางออนไลน์ในต่างประเทศ โดยผ่านแกลเลอรี่ที่เขารู้จัก ขายได้บ้าง ไม่ได้บ้างไปตามประสา แต่ดูเหมือนน้องของเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากอยู่แล้ว..เขาละสายตาจากภาพ มองออกนอกหน้าต่าง ไปยังบ้านหลังเล็กสไตล์ลอฟท์ ซึ่งเขามองว่ามันคือห้องเก็บของเสียมากกว่า ปลูกท่ามกลางสวนผักขนาดย่อมบริเวณหลังบ้าน
ยามเดินเข้าภายในบ้านหลังน้อย ได้กลิ่นสีเจือจาง ร่างแบบบางกำลังร่างภาพผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งจ้างให้เธอวาดรูปแนวอาร์ตๆสไตล์วินเทจ..ผมยาวมัดรวบเพียงลวกๆ ให้ปอยผมบางส่วนเคลียร์แผ่นหลังบนเสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวหลวมโคร่ง ปล่อยชายเสื้อหลุดคลุมกางเกงยีนพอดีตัว เสียงฮัมเพลงดังผ่านลำคอระหง บางครั้งริมฝีอิ่มสีเรื่อขยับตามเนื้อร้องที่ได้ยินจากแอร์พอร์ตที่เสียบคาหู ไม่สนใจสิ่งใดๆรอบตัว จนกระทั่ง..เธอเงยตัวขึ้นเมื่อรู้สึกเมื่อยหลัง จากการโน้มตัวเพ่งสายตาอยู่นานสองนาน พลัน! สะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นพี่ชายมายืนกอดอกมองเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“เฮ้ย! ผีหลอก” แม้จะดีใจ แต่ก็ยังไม่วายหยอกเย้า
จิรากรดีดหน้าผากแหม่งๆตรงหน้าอย่างหมั่นเขี้ยว
“ผีบ้านแกสิ หล่อขนาดนี้”
หญิงสาวอมยิ้มพลางลูบหน้าผากป้อยๆ แล้วก็โผกอดร่างสูงเพรียว ถูใบหน้ากับอกกว้างอย่างออดอ้อน “คิดถึงจัง”
ความเอ็นดูเจืออยู่ในเสียงหัวเราะทุ้มต่ำขณะพยายามแกะเรียวแขนของน้องออกจากตัว
“ไม่ต้องมาอ้อน..จะทวงของฝากใช่ไหม”
หญิงสาวยิ้มแฉ่ง ดวงตากลมใสส่องประกายวิบวับราวเด็กน้อยเขินอายกับการรู้ทันของพี่
“ก็แหม..มันก็ต้องมีไม่ใช่เหรอ”
ฝ่ามือใหญ่ยื่นมายีผมยุ่งให้ยุ่งหนักเข้าไปอีก
“เออ พี่ไม่ลืมหรอก”
หญิงสาวทำท่าจะโผกอดอีกครั้ง แต่คราวนี้พี่ชายกางฝ่ามือแปะเต็มใบหน้า ยันร่างของเธอไว้
“พอเลยไอ้ยูริ ตัวมีแต่กลิ่นสี..ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไป กว่าจะเสร็จก็ได้เวลาข้าวเที่ยงพอดี”
(ต่อค่ะ)