อิงเมฆเก็บของส่วนตัวลงเป้สะพายที่ติดตัวมาจากบ้าน ก่อนตวัดมันขึ้นพาดหลัง ขยับเมาส์ปิดคอมบริษัท ตรวจความเป็นระเบียบของโต๊ะทำงานและเดินออกไปจากที่นั้นโดยที่ไม่ต้องลาใคร เนื่องจากเพื่อนร่วมงานรวมทั้งหัวหน้าต่างพาทยอยกลับบ้านไปก่อน ป่านนี้ยังติดแหง็กอยู่บนท้องถนนหรือถึงบ้านใครบ้านมันแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถกำหนดได้จากระบบจราจรที่เป็นอยู่
ด้วยความที่ล่วงเวลาทำงานปกติมาชั่วโมงกว่า ชายหนุ่มจึงพบว่าทุกแผนกที่อยู่บนชั้นเดียวกันปราศจากผู้คน เป็นการดีสำหรับเขาเสียอีกที่ไม่ต้องเดินชนคนวุ่นวาย หรือเบียดใครลงลิฟต์
พอลงมาถึงชั้นล่างของตึกสำนักงานแปดชั้น ที่คิดว่าเป็นคนสุดท้ายนอกเหนือจากรปภและแม่บ้านก็ผิดถนัด เพราะพอประตูลิฟต์เปิด เขาก็พบว่ามีใครอีกสามคนยืนอยู่ในโถงล่างบริษัท ตรงรูปหุ่นประติมากรรมขนาดใหญ่ เป็นรูปนางระบำชูแขนสองข้างบิดเป็นเกลียวและขาสองข้างไขว้กันหล่อด้วยทองเหลือง เบื้องหลังตรงกำแพงมีภาพวิจิตรศิลป์ในกรอบขนาดใหญ่แขวนอยู่
รูปการณ์บอกว่าทั้งสามยืนตรงนั้นได้สักครู่ และไม่คาดว่าจะมีใครยังหลงเหลืออยู่ในตึกนี้อีก เมื่อเสียงลิฟต์ดัง สองในสามของคนที่ยืนอยู่จึงมองมาอย่างแปลกใจ
หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ผมบางแต่หวีเท่าที่มีเรียบสนิท สูทที่ใส่ราคาแพงระยับ แต่ตอนนั้นดูพินอบพิเทาอย่างไรพิกล นอกเหนือจากสายตาเล็กหรี่ที่มองมายังอิงเมฆอย่างฉงนแต่ก็กลิ้งกลอกไปมา
อีกหนึ่งคนเป็นสตรีที่อยู่ในชุดสูทเช่นกัน ข้างในเป็นเสื้อคอเว้าแบบไม่หน้าเกลียด กระโปรงที่ใส่ดูเรียบร้อย หน้าตาและทรงผมตกแต่งมาดีจนยากจะระบุอายุได้ ดวงตาทั้งคู่หลังกรอบแว่นหันมาทางชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจากลิฟต์อย่างสงสัยมากกว่าจะคิดสิ่งใด
แต่ร่างระหงซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง เท่าที่อิงเมฆมองทันเคือเสี้ยวหน้าที่หันมาให้เห็นส่วนจมูกโด่งงอน ศีรษะได้รูปรวบผมตึงไปข้างหลัง ซีกข้างของใบหน้าแลดูดวงตาเป็นวงรีรวมกับแผงงอนของขนตาที่ดูไม่เป็นอย่างไรก็รู้ว่ามีมาตั้งแต่กำเนิด
เธอแต่งกายเรียบๆแต่ก็ดูสง่าในเลื้อเลื่อมแขนกุดสีขาว และกระโปรงรับรูปยาวตรงกับเข่า วินาทีนั้น
ชายหนุ่มรู้สึกว่า เธอส่งสายตามองมาเช่นกัน แต่เขาไม่แน่ใจเพราะไม่ได้เหลียวไปดู เพราะ
ไม่มีอะไรที่ชายหนุ่มสนใจในตอนนี้ นอกเหนือไปจากภาระทางครอบครัวที่ต้องรีบไปทำ วันนี้ระหว่างทำงานจนลืมเวลา จู่ๆน้าสาวก็โทรมาขอให้ช่วยดูบ้านอย่างฉุกละหุก เพราะต้องไปงานศพเพื่อนที่ต่างจังหวัด แถมด้วยหลานชายและหญิงและแมวสองตัว ซึ่งจะเป็นภาระของเขาในช่วงเย็นนี้และวันถัดไปทั้งวันทั้งคืน
ก็ช่วยไม่ได้เพราะในบรรดาญาติทุกคน อิงเฆมยังโสดอย่างเหลือเชื่อ ไม่มีญาติคนไหนรู้ว่าเขาประคองตัวอย่างไร ทั้งๆที่หน้าตารูปร่างหล่อเหลาเหลือเกิน
ก็ด้วยความโสดนี้แหละมันคือการไม่ต้องกังวลเอาเวลาส่วนตัวไปดูแลคนอื่น ในความหมายตีขลุมของบรรดาเครือญาติ ทำให้เขาต้องกลายเป็นบุคคลสาธารณะของครอบครัวใหญ่ทั้งพี่ น้อง ป้า น้า อา รวมไปยันรุ่นหลาน
เกือบทั้งหมดมีเหย้ามีเรือนแยกออกไปปลูกหลักปักฐานกันแล้ว หรือย้ายไปอยู่ด้วยกันเฉยๆแบบไม่มีพิธีรีตองก็มี แต่ธุระไหว้วานเรื่องต่างๆนั้นมีมาทางชายหนุ่มอย่างเนืองๆ ไม่ว่างเว้นนับตั้งแต่เรื่องสัพเพเหระ เรื่องสำคัญพอประมาณ ถึงขั้นเรื่องคอขาดบาดตาย
ไม่ว่าจะแบกหน้าตัวเองเป็นหนังหน้าไฟเอาแฟ้มเอกสารที่จำเป็นในการทำงานของพี่เขย ในบ้านที่กำลังร้อนด้วยไฟ สืบเนื่องจากสภาวะทะเลาะเบาะแว้งที่ทำให้พี่เขยเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ เลยต้องระเห็จมานอนกับอิงเมฆชั่วคราว ตอนนั้นชายหนุ่มไม่ได้นำคำสาดเสียเทเสียของพี่สาวมาฝากพี่เขย เพราะตัวเองตอนหอบแฟ้มเอกสารกองโตวิ่งมาขึ้นรถ ก็โดนให้พรไล่หลังมาเหมือนกัน
“แก ไอ้เมฆ ไอ้น้องเวร เห็นขี้ดีกว่าใส้ใช่ไหม ดันไปเข้าข้างไอ้นั่น”
หรือน้องสาวที่โทรมาจากคอนโดร้องห่มร้องให้ตอนตีสอง เพราะทะเลาะกับแฟน ฟูมฟายสะอึกสะอื้นว่า
“พี่เมฆมาช่วยเก็บของหน่อย หนูจะย้ายออกเดี๋ยวนี้ หนูเลิกกับมันแล้ว”
ชายหนุ่มต้องออกทางประตูหน้าบริษัท ซึ่งหมายความว่าต้องเดินผ่านบุคคลแปลกหน้าทั้งสามคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความที่หน้าบริษัทมีป้อมยามสองที่ รวมถึงรปภเดินตรวจภายในตลอด
ดังนั้นคนทั้งสามจะเดินดุ่มมาเฉยๆแบบนึกอยากจะเข้ามาก็เข้านั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะมาทำอะไร อิงเมฆไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับเขา ระหว่างเดินผ่านเขาจึงแคยิ้มให้พร้อมทั้งก้มหน้าเร่งรีบเดินให้พ้นประตู แต่ก็ไม่วาย
มีเสียงเรียกขึ้นจากข้างหลัง ชายหนุ่มชะงักมือที่คว้ามือจับประตูกระจกค้าง
“เดี๋ยวๆ เธอ อย่าเพิ่งไป”
ชายหนุ่มหันกลับไป ถึงอยู่ในภาวะเร่งรีบแต่ด้วยความสุภาพเป็นนิสัย จึงตอบกลับไปอย่างอ่อนน้อม
“เรียกผม มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
ชายคนเดียวในกลุ่มนั้นเองที่เป็นคนเรียกให้อิงเมฆหยุด เขาขยับแว่นกรอบทองมองดูชายหนุ่มแล้วกวักมือ
“ช่วยเดินมาตรงนี้หน่อยสิ ตะโกนคุยกันอย่างนี้ มันหนวกหูคุณทิวา เอ้อ ฉันมีอะไรจะถามเธอ”
ความที่เกรงใจคนทำให้เขาเดินไปโดยไม่ปฏิเสธ เมื่อเข้าใกล้หญิงสาวที่หันหลังอยู่ก็ค่อยๆหันมาทางชายหนุ่ม
วินาทีนั้นอิงเมฆแทบจะลืมกิจธุระทางบ้าน ลืมคำไหว้วานจากน้าสาว ลืมหลานสองคนและแมวอีกสองตัว
ถึงชายหนุ่มจะเผลอตะลึงออกมาอย่างเสียมารยาก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะความงามหมดจดทั่งโครงหน้า คิ้วตาจมูก ปากรวมถึงรูปร่างที่สง่าดุดนางพญา ราวกับเนรมิตมาสะกดให้ผู้ชายลืมตัวมองเหมือนถูกนะจังงัง
แน่นอนว่าผู้ชายใส่สูทวัยกลางคนนั้นย่อมดูออก สายตาเขามีแววดูถูกขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติติง
“ยืนทื่อเป็นสากเลยพ่อคุณ ฉันนัดไว้กับคุณทิวัตย์ ผู้จัดการฝ่ายตลาดของที่นี้ แต่เมื่อกี้โทรมาอ้างว่ารถติดยังมาไม่ถึง ตึกนี้มีห้องรับรองที่ไหน ช่วยพาฉัน คุณหนู กับเลขาไปพักก่อน”
อิงเมฆอึกอัก ห้องรับรองแขกอยู่บนชั้นแปดแถมยังล๊อค กว่าจะพาขึ้นลิฟต์ไปและตามตัวแม่บ้านมาเปิดประตูจะต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่ แม่บ้านที่นี้ตอนเย็นตามตัวยากเสียด้วยเพราะไม่รู้ไปอยู่จุดไหนของตึก โทรศัพท์ที่ครัวก็คงไม่รับเนื่องจากช่วงเย็นไปถึงกลางคืนมีหน้าที่ทำความสะอาดอย่างเดียว
“ว่าไงล่ะ” ชายคนนั้นย้ำเสียงดุๆ”จะพาไปได้หรือยัง”
เมื่อโดนอย่างนี้ต่อให้สุภาพแค่ไหนก็มีอารมณ์ผุดขึ้นมาบ้าง แต่ชายหนุ่มพยายามยิ้มใจเย็น
“คืออย่างนี้ครับคุณ ห้องอยู่บนชั้นแปดแล้วมันต้องใช้กุญแจเปิด ตอนนี้แม่บ้านเท่านั้นที่มีกุญแจ และผมก็ไม่รู้ว่าแม่บ้านอยู่ไหนตอนนี้ เอาอย่างนี้ไหมครับ ให้ผมพาพวกคุณไปรอที่ออฟฟิศหรือไม่ก็โรงอาหาร ไม่นานคุณทิวัตย์คงมาถึง”
“แล้วทำไมโทรศัพท์ไปที่แผนก” ชายคนนั้นคาดคั้น
แต่ชายหนุ่มพยายามนับหนึ่งถึงสิบก่อนตอบ
“ตอนเย็นแม่บ้านอยู่ไม่เป็นที่ครับ เพราะต้องทำความสะอาดทั่วตึก”
“แล้วทำไมไม่โทรเข้ามือถือ เรียกให้มาเปิดห้อง”ชายคนนั้นยืนท้าวสะเอว ชี้นิ้วออกคำสั่ง
“ผมไม่มีเบอร์ส่วนตัวแม่บ้านครับ ปกติเวลาเขามาทำงานผมก็เลิกงานแล้ว เลยไม่ได้ติดต่ออะไรกัน” อิงเมฆพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆข่มอารมณ์โกธร
แต่ทว่าชายคนนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เค้นเอากับอิงเมฆอีก “แล้วรปภไม่มีหรือฟะพ่อคุณ”
“รปภไม่มีกุญแจห้องรับรองแขกครับ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปในห้องนั้น นอกเหนือจากแม่บ้านที่ต้องเข้าไปทำความสะอาด” คราวนี้เสียงอิงเมฆเริ่มตึงๆขึ้นมาบ้าง
“หา”ชายคนนั้นตะโกน เสียงดังขึ้นกว่าเดิมเหมือนจงใจแสดงอำนาจ”ทำงานกันยังไง คอยดูนะถ้าฉันกับคุณทิวาเข้ามาบริหารเมื่อไหร่ จะเฉ่งให้เรียบ”
อิงเมฆเกือบจะทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้กับความก้าวร้าวนั้นแล้ว ถ้าเผอิญไม่มีเสียงนุ่มๆนั้นปรามขึ้นมา
“ช่างเถอะคุณบวร ฉันนั่งรอยืนรอที่ไหนก็ได้ จะได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง นั่งในรถมาเกือบทั้งวันแล้ว”
ชายชื่อบวรแทบจะค้อมรับคำพูด พลางส่งเสียงรับคำ”ครับ”ไม่วายส่งสายตาถทึงมาทางอิงเมฆ แต่ชายหนุ่มแกล้งมองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เขานึกในใจตอนนี้คือ
“แม่เจ้า คนอะไรรูปร่างหน้าตาสะสวยแล้วเวลาพูดยังเพราะอีก”
หญิงสาวผู้นั้นหันไปทางผู้หญิงใส่แว่นที่ยืนอยู่ข้าง ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่ได้พูดอะไรให้ได้ยินสักคำ
“เมื่อยไหมคุณทิพย์ ไปนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ คุณบวรด้วย ไปสิ หิวน้ำก็มีตู้กดน้ำอยู่ตรงนั้นแน่ะ ฉันจะเดินดูอะไรต่อมิอะไรหน่อย”
บวรทำท่าจะทัดทานอะไรแต่แล้วก็เดินไปนั่งโดยดี ส่วนผู้หญิงที่ชื่อทิพย์รับคำสั้นๆว่า”ค่ะ”แล้วเดินไปนั่งเช่นกัน
ชายหนุ่มรู้ว่าตัวของเขาไม่ควรจะอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่อยู่ดีๆจะไปเลยก็ใช่ที่ สุภาพสตรียังยืนอยู่ข้างหน้าทั้งคน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวแล้วกันนะครับคุณผู้หญิง ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
สายตาดำขลับคู่นั้นประสานกับอิงเมฆตรงๆ ชายหนุ่มรู้สึกหัวใจกระดอนในอก สีหน้าเธอไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใด แต่บ่งบอกได้จากแววตาว่าเธอไม่ได้มองเขาอย่างดูถูกเช่นนายบวร
“ฉันไม่ใช่คุณผู้หญิง ฉันซื่อทิวา”
ชายหนุ่มรู้สึกซาบซ่าน เลือดลมสูบฉีดอย่างแรง พูดออกมาได้คำเดียวว่า “ครับ”
แล้วเขาก็หัวใจแทบวายเมื่อจู่ๆเธอก็ถามว่า
“แล้วคุณชื่ออะไรคะ”
วินาทีนั้นชายหนุ่มจะไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้เลย เพราะความประหม่า ถ้าเผอิญชื่อนั้นไม่ใช่ของเขา แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังลิ้นพันกัน
“ผมชื่อ อะอิงเมฆครับ”
“อิงเมฆ” เธอทวนชื่อ “ชื่อคุณเก๋ดีค่ะ เอาไว้ฉันจะบอกหัวหน้าแผนกคุณให้ ว่าคุณให้ความเอื้อเฟื้อเราอย่างดี”
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอิงเมฆอาจคิดว่าเขาโดนประชดเข้าให้แล้ว แต่ผู้หญิงที่ชื่อทิวาตรงหน้าไม่แสดงวี่แววว่าจะประชดเขาแต่อย่างใด
“ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มพูดอย่างซาบซึ้ง ประโยคอื่นติดอยู่ที่คอหอย และหลังจากนั้นก็มีความกระอักกระอ่วนขึ้นเล็กน้อย ใจจริงอิงเมฆก็อยากกลับบ้านทันที แต่เธอยังยืนอยู่ตรงหน้าเขาคล้ายมีอะไรจะพูดต่อ ทำให้จะลากลับก็เกรงใจ
“คุณกลับเย็นๆยังงี้ทุกวันหรือค่ะ”ในที่สุดเธอก็ถามขึ้น”ถ้าให้ฉันเดา เข้าใจว่าพนักงานคนอื่นๆคงกลับบ้านกันหมดแล้ว”
“ไม่ทุกวันหรอกครับคุณทิวา เฉพาะตอนที่เพื่อนคนอื่นต้องกลับก่อนเท่านั้น เราสลับกันทำครับ” ชายหนุ่มตอบแบบไม่อยากเอาหน้า จริงๆไม่มีการสลับอะไรทั้งนั้น เขาก็ทำเกือบทุกวันแหละ
ตั้งใจจะพูดต่อไปว่าก็ผมเป็นโสด ไม่รู้จะรีบกลับบ้านไปทำไม โทรศัพท์เจ้ากรรมดันขัดขึ้น ซ้ำเจ้ากรรมรูปภาพที่บันทึกเลขหมายเผอิญเป็นของน้ากำลังกอดเจ้าตัวเล็กทั้งคู่ แล้วน้าเขายังดูสาวเสียด้วย
พอกดรับน้าของอิงเมฆก็ใส่เสียงดังลอดสายมาอย่างไม่บันยะบันยังทันที
“เมื่อไหร่จะมาบ้าน เจ้าตัวเล็กสองตัวมันรออยู่ “
ชายหนุ่มตกใจมองดูหน้าหญิงสาวทันที แต่สีหน้าเธอเรียบเฉยพูดกับเขาอย่างไม่แสดงอาการอะไร
“รีบกลับบ้านเถอะค่ะ ลูกกับภรรยาคุณรออยู่ที่บ้าน ดิฉันกวนเวลาคุณพอสมควรแล้ว”
ถ้ามีเวลานานกว่านั้นสักหน่อย อิงเมฆจะระล่ำระลักบอกหญิงสาวทันทีว่าเธอเข้าใจผิด แต่เธอหันตัวเดินอ้าวๆไปทันที ดูบุคลิกการเดินเป็นคนกระฉับกระเฉงมาก
มาคิดอีกทีอยู่ดีๆพูดไปก็น่าเกลียด สำหรับการไปบอกผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกว่าตัวเองเป็นโสด
น้าเขายังอยู่ในสาย ชายหนุ่มตอบไปว่าจะเร่งไปบ้านน้าสาวโดยเร็ว มีสายตาคู่หนึ่งมองไล่หลังมาอย่างขัดหูขัดตา
วิญญาณห่วง
ด้วยความที่ล่วงเวลาทำงานปกติมาชั่วโมงกว่า ชายหนุ่มจึงพบว่าทุกแผนกที่อยู่บนชั้นเดียวกันปราศจากผู้คน เป็นการดีสำหรับเขาเสียอีกที่ไม่ต้องเดินชนคนวุ่นวาย หรือเบียดใครลงลิฟต์
พอลงมาถึงชั้นล่างของตึกสำนักงานแปดชั้น ที่คิดว่าเป็นคนสุดท้ายนอกเหนือจากรปภและแม่บ้านก็ผิดถนัด เพราะพอประตูลิฟต์เปิด เขาก็พบว่ามีใครอีกสามคนยืนอยู่ในโถงล่างบริษัท ตรงรูปหุ่นประติมากรรมขนาดใหญ่ เป็นรูปนางระบำชูแขนสองข้างบิดเป็นเกลียวและขาสองข้างไขว้กันหล่อด้วยทองเหลือง เบื้องหลังตรงกำแพงมีภาพวิจิตรศิลป์ในกรอบขนาดใหญ่แขวนอยู่
รูปการณ์บอกว่าทั้งสามยืนตรงนั้นได้สักครู่ และไม่คาดว่าจะมีใครยังหลงเหลืออยู่ในตึกนี้อีก เมื่อเสียงลิฟต์ดัง สองในสามของคนที่ยืนอยู่จึงมองมาอย่างแปลกใจ
หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ผมบางแต่หวีเท่าที่มีเรียบสนิท สูทที่ใส่ราคาแพงระยับ แต่ตอนนั้นดูพินอบพิเทาอย่างไรพิกล นอกเหนือจากสายตาเล็กหรี่ที่มองมายังอิงเมฆอย่างฉงนแต่ก็กลิ้งกลอกไปมา
อีกหนึ่งคนเป็นสตรีที่อยู่ในชุดสูทเช่นกัน ข้างในเป็นเสื้อคอเว้าแบบไม่หน้าเกลียด กระโปรงที่ใส่ดูเรียบร้อย หน้าตาและทรงผมตกแต่งมาดีจนยากจะระบุอายุได้ ดวงตาทั้งคู่หลังกรอบแว่นหันมาทางชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจากลิฟต์อย่างสงสัยมากกว่าจะคิดสิ่งใด
แต่ร่างระหงซึ่งยืนอยู่ตรงกลาง เท่าที่อิงเมฆมองทันเคือเสี้ยวหน้าที่หันมาให้เห็นส่วนจมูกโด่งงอน ศีรษะได้รูปรวบผมตึงไปข้างหลัง ซีกข้างของใบหน้าแลดูดวงตาเป็นวงรีรวมกับแผงงอนของขนตาที่ดูไม่เป็นอย่างไรก็รู้ว่ามีมาตั้งแต่กำเนิด
เธอแต่งกายเรียบๆแต่ก็ดูสง่าในเลื้อเลื่อมแขนกุดสีขาว และกระโปรงรับรูปยาวตรงกับเข่า วินาทีนั้น
ชายหนุ่มรู้สึกว่า เธอส่งสายตามองมาเช่นกัน แต่เขาไม่แน่ใจเพราะไม่ได้เหลียวไปดู เพราะ
ไม่มีอะไรที่ชายหนุ่มสนใจในตอนนี้ นอกเหนือไปจากภาระทางครอบครัวที่ต้องรีบไปทำ วันนี้ระหว่างทำงานจนลืมเวลา จู่ๆน้าสาวก็โทรมาขอให้ช่วยดูบ้านอย่างฉุกละหุก เพราะต้องไปงานศพเพื่อนที่ต่างจังหวัด แถมด้วยหลานชายและหญิงและแมวสองตัว ซึ่งจะเป็นภาระของเขาในช่วงเย็นนี้และวันถัดไปทั้งวันทั้งคืน
ก็ช่วยไม่ได้เพราะในบรรดาญาติทุกคน อิงเฆมยังโสดอย่างเหลือเชื่อ ไม่มีญาติคนไหนรู้ว่าเขาประคองตัวอย่างไร ทั้งๆที่หน้าตารูปร่างหล่อเหลาเหลือเกิน
ก็ด้วยความโสดนี้แหละมันคือการไม่ต้องกังวลเอาเวลาส่วนตัวไปดูแลคนอื่น ในความหมายตีขลุมของบรรดาเครือญาติ ทำให้เขาต้องกลายเป็นบุคคลสาธารณะของครอบครัวใหญ่ทั้งพี่ น้อง ป้า น้า อา รวมไปยันรุ่นหลาน
เกือบทั้งหมดมีเหย้ามีเรือนแยกออกไปปลูกหลักปักฐานกันแล้ว หรือย้ายไปอยู่ด้วยกันเฉยๆแบบไม่มีพิธีรีตองก็มี แต่ธุระไหว้วานเรื่องต่างๆนั้นมีมาทางชายหนุ่มอย่างเนืองๆ ไม่ว่างเว้นนับตั้งแต่เรื่องสัพเพเหระ เรื่องสำคัญพอประมาณ ถึงขั้นเรื่องคอขาดบาดตาย
ไม่ว่าจะแบกหน้าตัวเองเป็นหนังหน้าไฟเอาแฟ้มเอกสารที่จำเป็นในการทำงานของพี่เขย ในบ้านที่กำลังร้อนด้วยไฟ สืบเนื่องจากสภาวะทะเลาะเบาะแว้งที่ทำให้พี่เขยเข้าบ้านตัวเองไม่ได้ เลยต้องระเห็จมานอนกับอิงเมฆชั่วคราว ตอนนั้นชายหนุ่มไม่ได้นำคำสาดเสียเทเสียของพี่สาวมาฝากพี่เขย เพราะตัวเองตอนหอบแฟ้มเอกสารกองโตวิ่งมาขึ้นรถ ก็โดนให้พรไล่หลังมาเหมือนกัน
“แก ไอ้เมฆ ไอ้น้องเวร เห็นขี้ดีกว่าใส้ใช่ไหม ดันไปเข้าข้างไอ้นั่น”
หรือน้องสาวที่โทรมาจากคอนโดร้องห่มร้องให้ตอนตีสอง เพราะทะเลาะกับแฟน ฟูมฟายสะอึกสะอื้นว่า
“พี่เมฆมาช่วยเก็บของหน่อย หนูจะย้ายออกเดี๋ยวนี้ หนูเลิกกับมันแล้ว”
ชายหนุ่มต้องออกทางประตูหน้าบริษัท ซึ่งหมายความว่าต้องเดินผ่านบุคคลแปลกหน้าทั้งสามคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ด้วยความที่หน้าบริษัทมีป้อมยามสองที่ รวมถึงรปภเดินตรวจภายในตลอด
ดังนั้นคนทั้งสามจะเดินดุ่มมาเฉยๆแบบนึกอยากจะเข้ามาก็เข้านั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าจะมาทำอะไร อิงเมฆไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับเขา ระหว่างเดินผ่านเขาจึงแคยิ้มให้พร้อมทั้งก้มหน้าเร่งรีบเดินให้พ้นประตู แต่ก็ไม่วาย
มีเสียงเรียกขึ้นจากข้างหลัง ชายหนุ่มชะงักมือที่คว้ามือจับประตูกระจกค้าง
“เดี๋ยวๆ เธอ อย่าเพิ่งไป”
ชายหนุ่มหันกลับไป ถึงอยู่ในภาวะเร่งรีบแต่ด้วยความสุภาพเป็นนิสัย จึงตอบกลับไปอย่างอ่อนน้อม
“เรียกผม มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
ชายคนเดียวในกลุ่มนั้นเองที่เป็นคนเรียกให้อิงเมฆหยุด เขาขยับแว่นกรอบทองมองดูชายหนุ่มแล้วกวักมือ
“ช่วยเดินมาตรงนี้หน่อยสิ ตะโกนคุยกันอย่างนี้ มันหนวกหูคุณทิวา เอ้อ ฉันมีอะไรจะถามเธอ”
ความที่เกรงใจคนทำให้เขาเดินไปโดยไม่ปฏิเสธ เมื่อเข้าใกล้หญิงสาวที่หันหลังอยู่ก็ค่อยๆหันมาทางชายหนุ่ม
วินาทีนั้นอิงเมฆแทบจะลืมกิจธุระทางบ้าน ลืมคำไหว้วานจากน้าสาว ลืมหลานสองคนและแมวอีกสองตัว
ถึงชายหนุ่มจะเผลอตะลึงออกมาอย่างเสียมารยาก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะความงามหมดจดทั่งโครงหน้า คิ้วตาจมูก ปากรวมถึงรูปร่างที่สง่าดุดนางพญา ราวกับเนรมิตมาสะกดให้ผู้ชายลืมตัวมองเหมือนถูกนะจังงัง
แน่นอนว่าผู้ชายใส่สูทวัยกลางคนนั้นย่อมดูออก สายตาเขามีแววดูถูกขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติติง
“ยืนทื่อเป็นสากเลยพ่อคุณ ฉันนัดไว้กับคุณทิวัตย์ ผู้จัดการฝ่ายตลาดของที่นี้ แต่เมื่อกี้โทรมาอ้างว่ารถติดยังมาไม่ถึง ตึกนี้มีห้องรับรองที่ไหน ช่วยพาฉัน คุณหนู กับเลขาไปพักก่อน”
อิงเมฆอึกอัก ห้องรับรองแขกอยู่บนชั้นแปดแถมยังล๊อค กว่าจะพาขึ้นลิฟต์ไปและตามตัวแม่บ้านมาเปิดประตูจะต้องเสียเวลาอีกเท่าไหร่ แม่บ้านที่นี้ตอนเย็นตามตัวยากเสียด้วยเพราะไม่รู้ไปอยู่จุดไหนของตึก โทรศัพท์ที่ครัวก็คงไม่รับเนื่องจากช่วงเย็นไปถึงกลางคืนมีหน้าที่ทำความสะอาดอย่างเดียว
“ว่าไงล่ะ” ชายคนนั้นย้ำเสียงดุๆ”จะพาไปได้หรือยัง”
เมื่อโดนอย่างนี้ต่อให้สุภาพแค่ไหนก็มีอารมณ์ผุดขึ้นมาบ้าง แต่ชายหนุ่มพยายามยิ้มใจเย็น
“คืออย่างนี้ครับคุณ ห้องอยู่บนชั้นแปดแล้วมันต้องใช้กุญแจเปิด ตอนนี้แม่บ้านเท่านั้นที่มีกุญแจ และผมก็ไม่รู้ว่าแม่บ้านอยู่ไหนตอนนี้ เอาอย่างนี้ไหมครับ ให้ผมพาพวกคุณไปรอที่ออฟฟิศหรือไม่ก็โรงอาหาร ไม่นานคุณทิวัตย์คงมาถึง”
“แล้วทำไมโทรศัพท์ไปที่แผนก” ชายคนนั้นคาดคั้น
แต่ชายหนุ่มพยายามนับหนึ่งถึงสิบก่อนตอบ
“ตอนเย็นแม่บ้านอยู่ไม่เป็นที่ครับ เพราะต้องทำความสะอาดทั่วตึก”
“แล้วทำไมไม่โทรเข้ามือถือ เรียกให้มาเปิดห้อง”ชายคนนั้นยืนท้าวสะเอว ชี้นิ้วออกคำสั่ง
“ผมไม่มีเบอร์ส่วนตัวแม่บ้านครับ ปกติเวลาเขามาทำงานผมก็เลิกงานแล้ว เลยไม่ได้ติดต่ออะไรกัน” อิงเมฆพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆข่มอารมณ์โกธร
แต่ทว่าชายคนนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็เค้นเอากับอิงเมฆอีก “แล้วรปภไม่มีหรือฟะพ่อคุณ”
“รปภไม่มีกุญแจห้องรับรองแขกครับ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเข้าไปในห้องนั้น นอกเหนือจากแม่บ้านที่ต้องเข้าไปทำความสะอาด” คราวนี้เสียงอิงเมฆเริ่มตึงๆขึ้นมาบ้าง
“หา”ชายคนนั้นตะโกน เสียงดังขึ้นกว่าเดิมเหมือนจงใจแสดงอำนาจ”ทำงานกันยังไง คอยดูนะถ้าฉันกับคุณทิวาเข้ามาบริหารเมื่อไหร่ จะเฉ่งให้เรียบ”
อิงเมฆเกือบจะทำอะไรสักอย่างเพื่อตอบโต้กับความก้าวร้าวนั้นแล้ว ถ้าเผอิญไม่มีเสียงนุ่มๆนั้นปรามขึ้นมา
“ช่างเถอะคุณบวร ฉันนั่งรอยืนรอที่ไหนก็ได้ จะได้ยืดเส้นยืดสายบ้าง นั่งในรถมาเกือบทั้งวันแล้ว”
ชายชื่อบวรแทบจะค้อมรับคำพูด พลางส่งเสียงรับคำ”ครับ”ไม่วายส่งสายตาถทึงมาทางอิงเมฆ แต่ชายหนุ่มแกล้งมองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เขานึกในใจตอนนี้คือ
“แม่เจ้า คนอะไรรูปร่างหน้าตาสะสวยแล้วเวลาพูดยังเพราะอีก”
หญิงสาวผู้นั้นหันไปทางผู้หญิงใส่แว่นที่ยืนอยู่ข้าง ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่ได้พูดอะไรให้ได้ยินสักคำ
“เมื่อยไหมคุณทิพย์ ไปนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ คุณบวรด้วย ไปสิ หิวน้ำก็มีตู้กดน้ำอยู่ตรงนั้นแน่ะ ฉันจะเดินดูอะไรต่อมิอะไรหน่อย”
บวรทำท่าจะทัดทานอะไรแต่แล้วก็เดินไปนั่งโดยดี ส่วนผู้หญิงที่ชื่อทิพย์รับคำสั้นๆว่า”ค่ะ”แล้วเดินไปนั่งเช่นกัน
ชายหนุ่มรู้ว่าตัวของเขาไม่ควรจะอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่อยู่ดีๆจะไปเลยก็ใช่ที่ สุภาพสตรียังยืนอยู่ข้างหน้าทั้งคน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวแล้วกันนะครับคุณผู้หญิง ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
สายตาดำขลับคู่นั้นประสานกับอิงเมฆตรงๆ ชายหนุ่มรู้สึกหัวใจกระดอนในอก สีหน้าเธอไม่ได้แสดงออกถึงอารมณ์ใด แต่บ่งบอกได้จากแววตาว่าเธอไม่ได้มองเขาอย่างดูถูกเช่นนายบวร
“ฉันไม่ใช่คุณผู้หญิง ฉันซื่อทิวา”
ชายหนุ่มรู้สึกซาบซ่าน เลือดลมสูบฉีดอย่างแรง พูดออกมาได้คำเดียวว่า “ครับ”
แล้วเขาก็หัวใจแทบวายเมื่อจู่ๆเธอก็ถามว่า
“แล้วคุณชื่ออะไรคะ”
วินาทีนั้นชายหนุ่มจะไม่สามารถตอบคำถามอะไรได้เลย เพราะความประหม่า ถ้าเผอิญชื่อนั้นไม่ใช่ของเขา แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังลิ้นพันกัน
“ผมชื่อ อะอิงเมฆครับ”
“อิงเมฆ” เธอทวนชื่อ “ชื่อคุณเก๋ดีค่ะ เอาไว้ฉันจะบอกหัวหน้าแผนกคุณให้ ว่าคุณให้ความเอื้อเฟื้อเราอย่างดี”
ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอิงเมฆอาจคิดว่าเขาโดนประชดเข้าให้แล้ว แต่ผู้หญิงที่ชื่อทิวาตรงหน้าไม่แสดงวี่แววว่าจะประชดเขาแต่อย่างใด
“ขอบคุณครับ”ชายหนุ่มพูดอย่างซาบซึ้ง ประโยคอื่นติดอยู่ที่คอหอย และหลังจากนั้นก็มีความกระอักกระอ่วนขึ้นเล็กน้อย ใจจริงอิงเมฆก็อยากกลับบ้านทันที แต่เธอยังยืนอยู่ตรงหน้าเขาคล้ายมีอะไรจะพูดต่อ ทำให้จะลากลับก็เกรงใจ
“คุณกลับเย็นๆยังงี้ทุกวันหรือค่ะ”ในที่สุดเธอก็ถามขึ้น”ถ้าให้ฉันเดา เข้าใจว่าพนักงานคนอื่นๆคงกลับบ้านกันหมดแล้ว”
“ไม่ทุกวันหรอกครับคุณทิวา เฉพาะตอนที่เพื่อนคนอื่นต้องกลับก่อนเท่านั้น เราสลับกันทำครับ” ชายหนุ่มตอบแบบไม่อยากเอาหน้า จริงๆไม่มีการสลับอะไรทั้งนั้น เขาก็ทำเกือบทุกวันแหละ
ตั้งใจจะพูดต่อไปว่าก็ผมเป็นโสด ไม่รู้จะรีบกลับบ้านไปทำไม โทรศัพท์เจ้ากรรมดันขัดขึ้น ซ้ำเจ้ากรรมรูปภาพที่บันทึกเลขหมายเผอิญเป็นของน้ากำลังกอดเจ้าตัวเล็กทั้งคู่ แล้วน้าเขายังดูสาวเสียด้วย
พอกดรับน้าของอิงเมฆก็ใส่เสียงดังลอดสายมาอย่างไม่บันยะบันยังทันที
“เมื่อไหร่จะมาบ้าน เจ้าตัวเล็กสองตัวมันรออยู่ “
ชายหนุ่มตกใจมองดูหน้าหญิงสาวทันที แต่สีหน้าเธอเรียบเฉยพูดกับเขาอย่างไม่แสดงอาการอะไร
“รีบกลับบ้านเถอะค่ะ ลูกกับภรรยาคุณรออยู่ที่บ้าน ดิฉันกวนเวลาคุณพอสมควรแล้ว”
ถ้ามีเวลานานกว่านั้นสักหน่อย อิงเมฆจะระล่ำระลักบอกหญิงสาวทันทีว่าเธอเข้าใจผิด แต่เธอหันตัวเดินอ้าวๆไปทันที ดูบุคลิกการเดินเป็นคนกระฉับกระเฉงมาก
มาคิดอีกทีอยู่ดีๆพูดไปก็น่าเกลียด สำหรับการไปบอกผู้หญิงที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกว่าตัวเองเป็นโสด
น้าเขายังอยู่ในสาย ชายหนุ่มตอบไปว่าจะเร่งไปบ้านน้าสาวโดยเร็ว มีสายตาคู่หนึ่งมองไล่หลังมาอย่างขัดหูขัดตา