ตอน 19
ความหวัง
“เมื่อเลือกจะเดินบนเส้นทางที่ยากลำบาก
ก็ต้องทนกับความเจ็บปวดที่ตามมา”
เมื่อถึงวันนัดหมาย ผมขับรถออกจากคอนโดตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อให้ถึงบ้านอาก่อนเที่ยง และเผื่อเวลาเอาไว้สำหรับการเดินทางกลับไม่ให้ค่ำมืดจนเกินไปนัก บ้านของอาอยู่ในจังหวัดบ้านเกิดของผม ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยไปหาอาที่บ้านเลยสักครั้ง แต่ก็พอเดาได้ว่าอยู่ตรงไหน
วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ดีมาก เพราะอยู่ๆ เธอก็โทรมาบอกว่าช่วงค่ำจะเข้ามานอนพักค้างคืนที่คอนโด หลายวันมานี้เธอดูเป็นปกติมากขึ้น กลับมาเป็นเธอคนเดิม แม้ว่าบางช่วงจะมีอาการนิ่งเงียบอยู่บ้างก็ตาม
รถยนต์แล่นเข้ามาในซอย ด้านหน้ามีป้ายเล็กๆ บอกเอาไว้ ผมจอดรถแล้วก็เดินเข้าไปภายในบ้าน อาผู้หญิงออกมาต้อนรับบอกให้นั่งรอสักครู่ ตอนนี้อากำลังมีแขกอยู่ และคิดว่าน่าจะใกล้คุยเสร็จแล้ว เนื่องจากแขกทั้งสองเดินทางมาตั้งแต่เช้า ไม่นานแขกทั้งสองก็เดินออกมาจากภายในบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเดินจากไปยังหันมายิ้มอย่างเป็นมิตร อาผู้หญิงเดินมาบอกว่าให้เข้าไปด้านใน อากำลังรออยู่
ห้องของอาเป็นเหมือนห้องทำงานและห้องรับแขก มีโต๊ะทำงานหนึ่งตัว ด้านหลังเป็นโต๊ะหมู่บูชา มีเก้าอี้สองตัวอยู่ด้านหน้าเอาไว้สำหรับให้แขกนั่งคุย ซึ่งตอนนี้ผมนั่งอยู่ ส่วนด้านหลังของผมมีโซฟาอีกหนึ่งตัว อาเดินทางเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม
“คิดดีแล้วนะที่จะทำแบบนี้” อาถามย้ำอีกครั้ง
ผมรู้ว่าอาอยากให้ผมเปลี่ยนใจ ด้วยความเป็นห่วงเรื่องปัญหาความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ ในขณะที่ผมตอบทันทีว่าได้คิดอย่างดีแล้ว และยินดีที่จะรับผลที่เกิดขึ้น
จากนั้นอาก็เริ่มเปิดสมุดเล่มหนึ่ง ที่ภายในเขียนอะไรไว้อย่างยุ่งเหยิงจนเต็มหน้ากระดาษ โดยมียันต์อยู่ตรงกลางกับตัวเลขต่างๆ เต็มไปหมด แล้วอาก็เริ่มอธิบายตัวเลขเหล่านั้น
ตัวเลขที่เขียนเอาไว้ล้วนแล้วแต่มีความหมาย เชื่อมโยงกันและกัน อธิบายถึงตัวตนของเธอได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาเคยบอกผมทางโทรศัพท์แล้วครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้มีรายละเอียดมากขึ้น
“ดูตัวเลขนี้สิ บ่งบอกถึงอุปนิสัยของเธอ เธอแทบไม่เข้าวัดเลย... อุปนิสัยเอาแต่ใจ... รูปร่างของเธอสูงโปร่ง... ผิวขาว... รักสวยรักงาม...
ส่วนตัวเลขนี้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเธอเคยมีสามีมาแล้ว แล้วนี่ก็อีก... เลขนี้บอกว่าเธอมีผู้ชายอีกคนอาศัยอยู่ด้วยกันตอนนี้ ก็น่าจะเป็นสามีอีกนั่นแหล่ะ...
ตัวเลขนี้บอกว่าเธอกำลังตกอยู่ในคราวเคราะห์ ด้วยตัวเลขอายุที่ตกอยู่ในช่วงเบญจเพส...”
ตัวเลขเชื่อมโยงจากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา แล้วก็กลับขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง ผมนั่งฟังความหมายของตัวเลขต่างๆ ด้วยความฉงนสนเท่ห์ เป็นไปได้ยังไง ตัวเลขนี้จะบ่งบอกถึงเรื่องราวของคนเราได้อย่างแม่นยำขนาดนี้ จนมาถึงตัวเลขชุดหนึ่ง
“ตัวเลขนี้สำคัญ ยืนยันชัดเจนว่าเธอต้องมนตร์ดำ... ส่วนตัวเลขนี้บอกว่าคนที่ทำมนตร์ดำเป็นผู้หญิงที่มาชอบพอเธอ...”
หลายเรื่องราวผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน แต่กลับถูกตัวเลขเหล่านี้เปิดเผยออกมาอย่างน่าตกใจ ยิ่งลงรายละเอียดลึกเท่าไหร่ทุกอย่างยิ่งชัดเจนราวกับว่าอารู้จักกับเธอมาก่อน
ผมได้แต่พยักหน้าไม่พูดอะไร เป็นการยืนยันว่าทุกอย่างที่อาพูดเป็นจริงทุกอย่าง จากนั้นอาก็สอบถามอาการของเธอว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ผมเล่าอาการของเธอให้อาฟัง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นปกติ แต่มีอาการซึมเศร้าเหมืนคนวิตกจริตอยู่บ้าง บางครั้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป หลายครั้งที่ผมเดินเข้าไปใกล้ เธอก็จะถอยห่างทันที บอกเพียงแต่ว่ารู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นจากตัวผมจนทนไม่ได้ แล้วก็มีหลายครั้งที่อาละวาดหนักเหมือนคนเสียสติ โดยรวมแล้วอาการของเธอยังไม่ดีขึ้นเลย วนเวียนไปมาอย่างนี้ตลอดหลายเดือน
อานั่งฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็อธิบายให้ฟังว่า ความจริงแล้วเธอไม่ได้ดีขึ้นหรอก จิตของเธอกำลังถูกมนตร์ดำครอบงำ บางช่วงฤทธิ์ของมนตร์ดำอ่อนลง เธอก็จะมีสติมากขึ้น อาการซึมเศร้าก็เกิดจากอาการจิตตกอย่างที่ผมเข้าใจนั้นถูกแล้ว เป็นอาการทั่วไปของคนที่ถูกมนตร์ดำ
เธอยังไม่ดีขึ้น! อาสรุปอย่างนั้น
ส่วนอาการที่เมื่อเข้าใกล้ตัวผมแล้วจะรู้สึกเหม็นจนต้องถอยห่าง ก็เป็นผลมาจากมนตร์ดำ ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่เธอจะรู้สึกเหม็น อาการแบบนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้ตัวเธอ ผมคิดตามในสิ่งที่อากำลังอธิบาย มิน่าล่ะพักหลังมานี้ เธอหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ตัวผมโดยตลอด ไม่เคยนอนค้างคืนกับผมเลยสักครั้ง
ผมจำได้ว่า หลังจากที่เธอมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น ช่วงแรกเหมือนเธอควบคุมตัวเองได้ มีอยู่คืนหนึ่งระหว่างที่เรากลังมีความสัมพันธ์ทางเพศกันอยู่ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยดี แต่เธอกลับหยุดกลางครันโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วก็ผลักผมให้ออกจากตัวของเธอ เธอไม่เคยบอกว่าเกิดอะไรขึ้น และเหตุการณ์คราวนั้นก็เป็นครั้งที่ผมสามารถเข้าใกล้ตัวเธอได้มากที่สุด หลังจากนั้นเราไม่เคยใกล้ชิดกันอีกเลย
อาอธิบายต่อว่า มนตร์ดำที่ออกฤทธิ์เหมือนยาเสน่ห์นี้เป็นของเหลวสีดำข้น ได้มาจากการทำพิธีปลุกเสกจากซากศพในป่าช้า วิธีที่ใช้จะนำมาผสมกับเครื่องดื่มให้คนที่ตนเองหมายปองดื่มกิน บางครั้งอาจจะต้องให้ดื่มหลายครั้ง จึงจะทำให้ฤทธิ์ของมนตร์ดำได้ผลมากที่สุด แต่แท้ที่จริงแล้ว เมื่อได้ดื่มเข้าไปเพียงครั้งเดียว มนตร์ดำก็จะมีผลทันที เธอเองก็เช่นเดียวกัน ได้ดื่มไปหลายครั้ง เพราะคนที่ทำเห็นว่าช่วงแรกยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ เธอยังดูเป็นปกติ จนต้องหาทางให้เธอดื่มอีก
ส่วนอาการของเธอที่อาละวาดไม่ได้สติ ให้ลองนึกย้อนดูว่าเป็นช่วงวันไหนบ้าง ผมจำทุกเหตุการณ์ได้อย่างเม่นยำ และเมื่อทบทวนดูก็ต้องตกใจ เพราะว่าเธอจะคลุ้มคลั่งแทบทุกสัปดาห์
สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง!
อาหันไปหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะจากด้านข้าง จากนั้นก็ใช้ดินสอวงกลมวันที่ในแต่สัปดาห์ แล้วก็ยื่นให้ผมดู พลางถามว่าใช่วันตามนี้หรือไม่ ผมเห็นวันที่ถูกวงเอาไว้ในปฏิทินก็ต้องตกใจ เพราะเป็นวันที่ตามที่อาวงกลมเอาไว้ทั้งสิ้น
อาอธิบายอีกว่า อาการของคนที่โดนมนตร์ดำ จะมีอาการคลุ้มคลั่งในช่วงวันพระ และยิ่งถ้าเป็นวันพระใหญ่ด้วยแล้ว อาการจะหนักมาก แล้ววันตามที่อาได้วงเอาไว้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวันพระทั้งสิ้น
ให้คอยระมัดระวังช่วงวันพระให้ดี อาเน้นย้ำเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ผมเริ่มเข้าใจอาการของเธอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามากขึ้น จากนั้นอาก็พูดสั้นๆ ว่า
พอที่จะรักษาได้!
“ชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง
เมื่อยังมีหนทาง ก็ยังมีความหวัง”
“พอที่จะรักษาได้”
ผมมีความหวังขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินอาพูดคำนี้
อามองมาที่ผมพลางถอนหายใจ ซึ่งผมไม่อาจเข้าใจได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อาจเป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยินดีช่วยเหลือตามที่ผมต้องการ
อาเล่าว่าการจะช่วยเหลือเธอให้พ้นจากมนตร์ดำ จะต้องทำพิธีช่วงค่ำทุกวันเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของอาที่จะต้องทำ โดยที่ผมไม่ได้ถามว่าพิธีที่ว่านั้น เป็นพิธีอะไร แล้วต้องทำอย่างไร อาพูดต่อว่า สำหรับตัวผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำด้วยเช่นกัน ด้วยการเอาข้าวสารที่ให้ไปแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกต้องเอาไปหุงข้าวแล้วนำมาใส่บาตรพระสงฆ์ในช่วงเช้า จากนั้นก็กรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทำทุกวันติดต่อกันจนครบเจ็ดวัน อย่าได้ขาดไปแม้แต่วันเดียว
อาย้ำว่า
“ต้องต่อเนื่องจนครบเจ็ดวัน อย่าได้ขาดแม้แต่วันเดียว”
ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะไม่ได้ผล ถึงเวลานั้นคงจะหมดหนทางที่จะช่วยเหลือเธอได้
ส่วนข้าวสารอีกส่วนหนึ่งให้นำไปหุงให้เธอทาน จากนั้นอาก็หยิบข้าวสารขึ้นมาวางบนโต๊ะถุงหนึ่ง ดูแล้วน้ำหนักน่าจะราวๆ หนึ่งกิโลกรัม ผมนั่งมองข้าวสารอย่างสงสัย เพราะข้าวสารถุงนี้ไม่ต่างจากข้าวสารทั่วไปเลย ไม่มีการเขียนยันต์หรืออักขระอะไรทั้งสิ้น ดูแล้วก็เป็นข้าวสารธรรมดานี่เอง
อาเห็นผมมองดูข้าวสารอย่างสงสัย พลางพูดขึ้นว่า ข้าวสารนี้ผ่านการทำพิธีปลุกเสกมาแล้ว นอกจากนั้นอายังบอกให้ผมไปซื้อน้ำดื่มและของกินอย่างอื่นที่เธอชอบที่ร้านสะดวกซื้อตรงปากซอย แล้วอาจะทำพิธีปลุกเสกให้ ถึงแม้ว่าจะดูขัดกับความเชื่อของผมอยู่บ้าง แต่ผมก็ยอมทำแต่โดยดี โดยไม่ได้สอบถามอะไรทั้งสิ้น
สุดท้ายผมก็ไม่รู้จะซื้ออะไร เธอไม่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะของในร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ ไม่นานผมก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำดื่ม และน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง
จากนั้นอาก็บอกให้นำของที่ซื้อมาทั้งหมดวางบนโต๊ะ แล้วอาก็เริ่มหลับตาท่องบทสวดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ ส่วนมือทั้งสองข้างวางสัมผัสเอาไว้กับของ ผมไม่เคยเห็นพิธีกรรมลักษณะนี้มาก่อน ครู่เดียวอาก็ลืมตาขึ้น แล้วก็บอกว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก่อนเดินทางกลับ อาย้ำอีกครั้งว่า ในช่วงเจ็ดวันให้ผมตักบาตรและกรวดน้ำให้ครบเจ็ดวัน อย่างได้ขาดไปแม้แต่วันเดียว ส่วนสิ่งของทั้งหมดที่ผ่านการปลุกเสก โดยเฉพาะข้าวสารและน้ำดื่มสามารถนำไปผสมกับของทั่วไปได้ เพื่อให้ปริมาณเพิ่มขึ้น
ผมยืนยันกับอาว่าสามารถทำได้อย่างที่อาบอกไว้แน่นอน
ผมกล่าวลาอา จากนั้นก็ขับรถกลับทันที ด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เลวร้ายกำลังรอผมอยู่ที่ห้อง!
by พรนับพัน
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ
หนังสือ บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
โดย พรนับพัน
สำนักพิมพ์คุณหนูชูใจ
เปิดให้พรีออเดอร์แล้วนะครับ หนังสือไม่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
เป็นบันทึกเรื่องราวน่าพิศวงที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและจบลงภายในเวลาหนึ่งปี เรื่องราวไม่น่าเชื่อหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นตลอดเวลา เชื่อมโยงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้ากับคำว่า “มนตร์ดำ” อย่างลงตัว เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่ทั้งสุขและทุกข์ทนไปพร้อมกัน และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป สำหรับบุคคลต่างๆ ผมต้องขอสงวนชื่อเอาไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ (ตอน 19)
ตอน 19
ความหวัง
เมื่อถึงวันนัดหมาย ผมขับรถออกจากคอนโดตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อให้ถึงบ้านอาก่อนเที่ยง และเผื่อเวลาเอาไว้สำหรับการเดินทางกลับไม่ให้ค่ำมืดจนเกินไปนัก บ้านของอาอยู่ในจังหวัดบ้านเกิดของผม ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยไปหาอาที่บ้านเลยสักครั้ง แต่ก็พอเดาได้ว่าอยู่ตรงไหน
วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ดีมาก เพราะอยู่ๆ เธอก็โทรมาบอกว่าช่วงค่ำจะเข้ามานอนพักค้างคืนที่คอนโด หลายวันมานี้เธอดูเป็นปกติมากขึ้น กลับมาเป็นเธอคนเดิม แม้ว่าบางช่วงจะมีอาการนิ่งเงียบอยู่บ้างก็ตาม
รถยนต์แล่นเข้ามาในซอย ด้านหน้ามีป้ายเล็กๆ บอกเอาไว้ ผมจอดรถแล้วก็เดินเข้าไปภายในบ้าน อาผู้หญิงออกมาต้อนรับบอกให้นั่งรอสักครู่ ตอนนี้อากำลังมีแขกอยู่ และคิดว่าน่าจะใกล้คุยเสร็จแล้ว เนื่องจากแขกทั้งสองเดินทางมาตั้งแต่เช้า ไม่นานแขกทั้งสองก็เดินออกมาจากภายในบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนเดินจากไปยังหันมายิ้มอย่างเป็นมิตร อาผู้หญิงเดินมาบอกว่าให้เข้าไปด้านใน อากำลังรออยู่
ห้องของอาเป็นเหมือนห้องทำงานและห้องรับแขก มีโต๊ะทำงานหนึ่งตัว ด้านหลังเป็นโต๊ะหมู่บูชา มีเก้าอี้สองตัวอยู่ด้านหน้าเอาไว้สำหรับให้แขกนั่งคุย ซึ่งตอนนี้ผมนั่งอยู่ ส่วนด้านหลังของผมมีโซฟาอีกหนึ่งตัว อาเดินทางเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม
“คิดดีแล้วนะที่จะทำแบบนี้” อาถามย้ำอีกครั้ง
ผมรู้ว่าอาอยากให้ผมเปลี่ยนใจ ด้วยความเป็นห่วงเรื่องปัญหาความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้ ในขณะที่ผมตอบทันทีว่าได้คิดอย่างดีแล้ว และยินดีที่จะรับผลที่เกิดขึ้น
จากนั้นอาก็เริ่มเปิดสมุดเล่มหนึ่ง ที่ภายในเขียนอะไรไว้อย่างยุ่งเหยิงจนเต็มหน้ากระดาษ โดยมียันต์อยู่ตรงกลางกับตัวเลขต่างๆ เต็มไปหมด แล้วอาก็เริ่มอธิบายตัวเลขเหล่านั้น
ตัวเลขที่เขียนเอาไว้ล้วนแล้วแต่มีความหมาย เชื่อมโยงกันและกัน อธิบายถึงตัวตนของเธอได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาเคยบอกผมทางโทรศัพท์แล้วครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้มีรายละเอียดมากขึ้น
“ดูตัวเลขนี้สิ บ่งบอกถึงอุปนิสัยของเธอ เธอแทบไม่เข้าวัดเลย... อุปนิสัยเอาแต่ใจ... รูปร่างของเธอสูงโปร่ง... ผิวขาว... รักสวยรักงาม...
ส่วนตัวเลขนี้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเธอเคยมีสามีมาแล้ว แล้วนี่ก็อีก... เลขนี้บอกว่าเธอมีผู้ชายอีกคนอาศัยอยู่ด้วยกันตอนนี้ ก็น่าจะเป็นสามีอีกนั่นแหล่ะ...
ตัวเลขนี้บอกว่าเธอกำลังตกอยู่ในคราวเคราะห์ ด้วยตัวเลขอายุที่ตกอยู่ในช่วงเบญจเพส...”
ตัวเลขเชื่อมโยงจากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา แล้วก็กลับขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง ผมนั่งฟังความหมายของตัวเลขต่างๆ ด้วยความฉงนสนเท่ห์ เป็นไปได้ยังไง ตัวเลขนี้จะบ่งบอกถึงเรื่องราวของคนเราได้อย่างแม่นยำขนาดนี้ จนมาถึงตัวเลขชุดหนึ่ง
“ตัวเลขนี้สำคัญ ยืนยันชัดเจนว่าเธอต้องมนตร์ดำ... ส่วนตัวเลขนี้บอกว่าคนที่ทำมนตร์ดำเป็นผู้หญิงที่มาชอบพอเธอ...”
หลายเรื่องราวผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน แต่กลับถูกตัวเลขเหล่านี้เปิดเผยออกมาอย่างน่าตกใจ ยิ่งลงรายละเอียดลึกเท่าไหร่ทุกอย่างยิ่งชัดเจนราวกับว่าอารู้จักกับเธอมาก่อน
ผมได้แต่พยักหน้าไม่พูดอะไร เป็นการยืนยันว่าทุกอย่างที่อาพูดเป็นจริงทุกอย่าง จากนั้นอาก็สอบถามอาการของเธอว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ผมเล่าอาการของเธอให้อาฟัง ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นปกติ แต่มีอาการซึมเศร้าเหมืนคนวิตกจริตอยู่บ้าง บางครั้งก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป หลายครั้งที่ผมเดินเข้าไปใกล้ เธอก็จะถอยห่างทันที บอกเพียงแต่ว่ารู้สึกว่ามีกลิ่นเหม็นจากตัวผมจนทนไม่ได้ แล้วก็มีหลายครั้งที่อาละวาดหนักเหมือนคนเสียสติ โดยรวมแล้วอาการของเธอยังไม่ดีขึ้นเลย วนเวียนไปมาอย่างนี้ตลอดหลายเดือน
อานั่งฟังอย่างตั้งใจ แล้วก็อธิบายให้ฟังว่า ความจริงแล้วเธอไม่ได้ดีขึ้นหรอก จิตของเธอกำลังถูกมนตร์ดำครอบงำ บางช่วงฤทธิ์ของมนตร์ดำอ่อนลง เธอก็จะมีสติมากขึ้น อาการซึมเศร้าก็เกิดจากอาการจิตตกอย่างที่ผมเข้าใจนั้นถูกแล้ว เป็นอาการทั่วไปของคนที่ถูกมนตร์ดำ
เธอยังไม่ดีขึ้น! อาสรุปอย่างนั้น
ส่วนอาการที่เมื่อเข้าใกล้ตัวผมแล้วจะรู้สึกเหม็นจนต้องถอยห่าง ก็เป็นผลมาจากมนตร์ดำ ไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่เธอจะรู้สึกเหม็น อาการแบบนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้ตัวเธอ ผมคิดตามในสิ่งที่อากำลังอธิบาย มิน่าล่ะพักหลังมานี้ เธอหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ตัวผมโดยตลอด ไม่เคยนอนค้างคืนกับผมเลยสักครั้ง
ผมจำได้ว่า หลังจากที่เธอมีอาการแปลกๆ เกิดขึ้น ช่วงแรกเหมือนเธอควบคุมตัวเองได้ มีอยู่คืนหนึ่งระหว่างที่เรากลังมีความสัมพันธ์ทางเพศกันอยู่ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยดี แต่เธอกลับหยุดกลางครันโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วก็ผลักผมให้ออกจากตัวของเธอ เธอไม่เคยบอกว่าเกิดอะไรขึ้น และเหตุการณ์คราวนั้นก็เป็นครั้งที่ผมสามารถเข้าใกล้ตัวเธอได้มากที่สุด หลังจากนั้นเราไม่เคยใกล้ชิดกันอีกเลย
อาอธิบายต่อว่า มนตร์ดำที่ออกฤทธิ์เหมือนยาเสน่ห์นี้เป็นของเหลวสีดำข้น ได้มาจากการทำพิธีปลุกเสกจากซากศพในป่าช้า วิธีที่ใช้จะนำมาผสมกับเครื่องดื่มให้คนที่ตนเองหมายปองดื่มกิน บางครั้งอาจจะต้องให้ดื่มหลายครั้ง จึงจะทำให้ฤทธิ์ของมนตร์ดำได้ผลมากที่สุด แต่แท้ที่จริงแล้ว เมื่อได้ดื่มเข้าไปเพียงครั้งเดียว มนตร์ดำก็จะมีผลทันที เธอเองก็เช่นเดียวกัน ได้ดื่มไปหลายครั้ง เพราะคนที่ทำเห็นว่าช่วงแรกยังไม่ได้ผลตามที่ต้องการ เธอยังดูเป็นปกติ จนต้องหาทางให้เธอดื่มอีก
ส่วนอาการของเธอที่อาละวาดไม่ได้สติ ให้ลองนึกย้อนดูว่าเป็นช่วงวันไหนบ้าง ผมจำทุกเหตุการณ์ได้อย่างเม่นยำ และเมื่อทบทวนดูก็ต้องตกใจ เพราะว่าเธอจะคลุ้มคลั่งแทบทุกสัปดาห์
สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง!
อาหันไปหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะจากด้านข้าง จากนั้นก็ใช้ดินสอวงกลมวันที่ในแต่สัปดาห์ แล้วก็ยื่นให้ผมดู พลางถามว่าใช่วันตามนี้หรือไม่ ผมเห็นวันที่ถูกวงเอาไว้ในปฏิทินก็ต้องตกใจ เพราะเป็นวันที่ตามที่อาวงกลมเอาไว้ทั้งสิ้น
อาอธิบายอีกว่า อาการของคนที่โดนมนตร์ดำ จะมีอาการคลุ้มคลั่งในช่วงวันพระ และยิ่งถ้าเป็นวันพระใหญ่ด้วยแล้ว อาการจะหนักมาก แล้ววันตามที่อาได้วงเอาไว้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวันพระทั้งสิ้น
ให้คอยระมัดระวังช่วงวันพระให้ดี อาเน้นย้ำเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ผมเริ่มเข้าใจอาการของเธอตลอดหลายเดือนที่ผ่านมามากขึ้น จากนั้นอาก็พูดสั้นๆ ว่า
พอที่จะรักษาได้!
“พอที่จะรักษาได้”
ผมมีความหวังขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินอาพูดคำนี้
อามองมาที่ผมพลางถอนหายใจ ซึ่งผมไม่อาจเข้าใจได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อาจเป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยินดีช่วยเหลือตามที่ผมต้องการ
อาเล่าว่าการจะช่วยเหลือเธอให้พ้นจากมนตร์ดำ จะต้องทำพิธีช่วงค่ำทุกวันเป็นเวลาถึงเจ็ดวัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของอาที่จะต้องทำ โดยที่ผมไม่ได้ถามว่าพิธีที่ว่านั้น เป็นพิธีอะไร แล้วต้องทำอย่างไร อาพูดต่อว่า สำหรับตัวผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำด้วยเช่นกัน ด้วยการเอาข้าวสารที่ให้ไปแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกต้องเอาไปหุงข้าวแล้วนำมาใส่บาตรพระสงฆ์ในช่วงเช้า จากนั้นก็กรวดน้ำให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทำทุกวันติดต่อกันจนครบเจ็ดวัน อย่าได้ขาดไปแม้แต่วันเดียว
อาย้ำว่า “ต้องต่อเนื่องจนครบเจ็ดวัน อย่าได้ขาดแม้แต่วันเดียว”
ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็จะไม่ได้ผล ถึงเวลานั้นคงจะหมดหนทางที่จะช่วยเหลือเธอได้
ส่วนข้าวสารอีกส่วนหนึ่งให้นำไปหุงให้เธอทาน จากนั้นอาก็หยิบข้าวสารขึ้นมาวางบนโต๊ะถุงหนึ่ง ดูแล้วน้ำหนักน่าจะราวๆ หนึ่งกิโลกรัม ผมนั่งมองข้าวสารอย่างสงสัย เพราะข้าวสารถุงนี้ไม่ต่างจากข้าวสารทั่วไปเลย ไม่มีการเขียนยันต์หรืออักขระอะไรทั้งสิ้น ดูแล้วก็เป็นข้าวสารธรรมดานี่เอง
อาเห็นผมมองดูข้าวสารอย่างสงสัย พลางพูดขึ้นว่า ข้าวสารนี้ผ่านการทำพิธีปลุกเสกมาแล้ว นอกจากนั้นอายังบอกให้ผมไปซื้อน้ำดื่มและของกินอย่างอื่นที่เธอชอบที่ร้านสะดวกซื้อตรงปากซอย แล้วอาจะทำพิธีปลุกเสกให้ ถึงแม้ว่าจะดูขัดกับความเชื่อของผมอยู่บ้าง แต่ผมก็ยอมทำแต่โดยดี โดยไม่ได้สอบถามอะไรทั้งสิ้น
สุดท้ายผมก็ไม่รู้จะซื้ออะไร เธอไม่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษ โดยเฉพาะของในร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ ไม่นานผมก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำดื่ม และน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง
จากนั้นอาก็บอกให้นำของที่ซื้อมาทั้งหมดวางบนโต๊ะ แล้วอาก็เริ่มหลับตาท่องบทสวดพึมพำด้วยเสียงที่แผ่วเบาฟังไม่ได้ศัพท์ ส่วนมือทั้งสองข้างวางสัมผัสเอาไว้กับของ ผมไม่เคยเห็นพิธีกรรมลักษณะนี้มาก่อน ครู่เดียวอาก็ลืมตาขึ้น แล้วก็บอกว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก่อนเดินทางกลับ อาย้ำอีกครั้งว่า ในช่วงเจ็ดวันให้ผมตักบาตรและกรวดน้ำให้ครบเจ็ดวัน อย่างได้ขาดไปแม้แต่วันเดียว ส่วนสิ่งของทั้งหมดที่ผ่านการปลุกเสก โดยเฉพาะข้าวสารและน้ำดื่มสามารถนำไปผสมกับของทั่วไปได้ เพื่อให้ปริมาณเพิ่มขึ้น
ผมยืนยันกับอาว่าสามารถทำได้อย่างที่อาบอกไว้แน่นอน
ผมกล่าวลาอา จากนั้นก็ขับรถกลับทันที ด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น
โดยไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์เลวร้ายกำลังรอผมอยู่ที่ห้อง!
by พรนับพัน
ขอขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามครับ
หนังสือ บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
โดย พรนับพัน
สำนักพิมพ์คุณหนูชูใจ
เปิดให้พรีออเดอร์แล้วนะครับ หนังสือไม่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป
บันทึกลับ เมื่อแฟนผม... ต้องมนตร์ดำ
เป็นบันทึกเรื่องราวน่าพิศวงที่เกิดขึ้นจริง ในช่วงระยะเวลาเริ่มต้นและจบลงภายในเวลาหนึ่งปี เรื่องราวไม่น่าเชื่อหลายๆ เรื่องเกิดขึ้นตลอดเวลา เชื่อมโยงอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้ากับคำว่า “มนตร์ดำ” อย่างลงตัว เป็นช่วงเวลาหนึ่งปีที่ทั้งสุขและทุกข์ทนไปพร้อมกัน และเรื่องราวทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในความทรงจำตลอดไป สำหรับบุคคลต่างๆ ผมต้องขอสงวนชื่อเอาไว้ทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด