[๑๑๒] ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป
เป็นวิปัสสนาญาณอย่างไร ฯ
จิตมีรูปเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้วย่อมแตกไป
พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์นั้นแล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตนั้น
ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่าพิจารณาเห็น
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง
ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นของเที่ยง
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์
ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นสุข
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา
ไม่พิจารณาเห็นโดยความเป็นอัตตา
ย่อมเบื่อหน่าย ไม่เพลิดเพลิน ย่อมคลายกำหนัด
ไม่กำหนัด ย่อมให้ดับ ไม่ให้เกิด ย่อมสละคืน ไม่ถือมั่น
เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมละนิจจสัญญาได้
เมื่อพิจารณาเห็นโดยความเป็นทุกข์ ย่อมละสุขสัญญาได้
เมื่อพิจารณาโดยความเป็นอนัตตา ย่อมละอัตตสัญญาได้
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมละความเพลิดเพลินได้
เมื่อคลายกำหนัด ย่อมละราคะได้
เมื่อให้ดับย่อมละสมุทัยได้ เมื่อสละคืน ย่อมละความถือมั่นได้ ฯ
[๑๑๓] จิตมีเวทนาเป็นอารมณ์ ฯลฯ
จิตมีสัญญาเป็นอารมณ์ ฯลฯ
จิตมีสังขารเป็นอารมณ์ ฯลฯ
จิตมีวิญญาณเป็นอารมณ์ ฯลฯ
จิตมีจักษุเป็นอารมณ์ ฯลฯ
จิตมีชราและมรณะเป็นอารมณ์
เกิดขึ้นแล้วย่อมแตกไป
พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์นั้นแล้ว
พิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตนั้น
ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่าพิจารณาเห็น
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง เมื่อสละคืน ย่อมละความถือมั่นได้ ฯ
[๑๑๔] การก้าวไปสู่อัญญวัตถุแต่ปุริมวัตถุ การหลีกไปด้วยปัญญาอันรู้ชอบ
การคำนึงถึงอันเป็นกำลัง ธรรม ๒ ประการ คือ
การพิจารณาหาทางและความเห็นแจ้ง
บัณฑิตกำหนดเอาด้วย สภาพเดียวกัน
โดยความเป็นไปตามอารมณ์ ความน้อมจิตไปในความดับ
ชื่อว่าวิปัสสนาอันมีความเสื่อมไปเป็นลักษณะ
การที่พระโยคาวจรพิจารณาอารมณ์แล้ว
พิจารณาเห็นความแตกไปแห่งจิตและความปรากฏโดยความเป็นของสูญ
ชื่อว่า อธิปัญญาวิปัสสนา (ความเห็นแจ้งด้วยอธิปัญญา)
พระโยคาวจรผู้ฉลาดในอนุปัสนา ๓ ในวิปัสสนา ๔
ย่อมไม่ หวั่นไหวเพราะทิฐิต่างๆ เพราะความเป็นผู้ฉลาดความ
ปรากฏ ๓ ประการ ฯ
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น
ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์
แล้วพิจารณาเห็นความแตกไป เป็นวิปัสสนาญาณ ฯ
จิตมีขันธ์5 ขันธ์5มีวิญญาณ