ปฏิสัมภิทามรรค ภาษิตของพระสารีบุตรอธิบายข้อธรรมที่ลึกซึ้งต่างๆ
เช่นเรื่อง ญาณ ทิฏฐิ อานาปาน อินทรีย์ วิโมกข์ เป็นต้น อย่างพิสดาร เป็นทางแห่งปัญญาแตกฉาน
สารบัญ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php
--------------------
ปัญญาวรรค อภิสมยกถา
(บางส่วน)
[๖๙๙] คำว่า ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอดีต ความว่า บุคคลย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอดีตหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลนั้นก็ทำกิเลสที่สิ้นไปแล้วให้สิ้นไป ทำกิเลสที่ดับไปแล้วให้ดับไป ทำกิเลสที่ปราศไปแล้วให้ปราศไป
ทำกิเลสที่หมดแล้วให้หมดไป ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอดีตอันไม่มีอยู่ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นละกิเลสที่เป็นอดีตหาได้ไม่
คำว่า ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอนาคต ความว่า บุคคลย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอนาคตหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลนั้นก็ละกิเลสที่ยังไม่เกิด ละกิเลสที่ยังไม่บังเกิด ละกิเลสที่ไม่เกิดขึ้นแล้ว
ละกิเลสที่ยังไม่ปรากฏ ละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอนาคตอันไม่มีอยู่ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นละกิเลสที่เป็นอนาคตหาได้ไม่
คำว่า ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นปัจจุบัน ความว่า บุคคลย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นปัจจุบันหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้กำหนัดก็ละราคะได้ ผู้ขัดเคืองก็ละโทสะได้ ผู้หลงก็ละโมหะได้ ผู้มีมานะผูกพันก็ละมานะได้
ผู้ถือผิดก็ละทิฐิได้ ผู้ถึงความฟุ้งซ่านก็ละอุทธัจจะได้ ผู้ลังเลไม่แน่ใจก็ละวิจิกิจฉาได้ ผู้มีกิเลสเรี่ยวแรงก็ละอนุสัยได้
ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาวซึ่งเป็นคู่กันกำลังเป็นไป มรรคภาวนาอันมีความหม่นหมองด้วยกิเลสนั้น ก็มีอยู่
เพราะเหตุนั้น บุคคลละกิเลสที่เป็นอดีต กิเลสที่เป็นอนาคต กิเลสที่เป็นปัจจุบัน หาได้ไม่ ฯ
[๗๐๐] บุคคลย่อมละกิเลสที่เป็นอดีตหาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นอนาคตหาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นปัจจุบันหาได้ไม่ หรือ
ถ้าอย่างนั้น มรรคภาวนาก็ไม่มี การทำให้แจ้งซึ่งผลก็ไม่มี การละกิเลสก็ไม่มี ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี ฯ
หามิได้ มรรคภาวนามีอยู่ การทำให้แจ้งซึ่งผลมีอยู่ การละกิเลสมีอยู่ ธรรมาภิสมัยมีอยู่
เหมือนอะไร เหมือนต้นไม้กำลังรุ่น ยังไม่เกิดผล บุรุษพึงตัดต้นไม้นั้นที่ราก ผลที่ยังไม่เกิดแห่งต้นไม้นั้นก็ไม่เกิดเลย
ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย ที่ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลยฉันใด
ความเกิดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลายจิตเห็นโทษในความเกิดขึ้นแล้ว
จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น
กิเลสเหล่าใดพึงบังเกิด เพราะความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย
ที่ไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุแห่งความเป็นไป เพราะเหตุแห่งสังขารเป็นนิมิต เพราะเหตุแห่งกรรม
กรรมเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลาย จิตเห็นโทษในกรรมแล้ว จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีกรรม
เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีกรรม กิเลสเหล่าใดพึงบังเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย
กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย ที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย
เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้
มรรคภาวนามีอยู่ การทำให้แจ้งซึ่งผลมีอยู่ การละกิเลสมีอยู่ ธรรมาภิสมัยมีอยู่ ด้วยประการฉะนี้แล ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๑๐๓๒๑ - ๑๐๔๓๑. หน้าที่ ๔๒๙ - ๔๓๓.
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=10321&Z=10431&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=695
---------------------------
ยุคนัทธวรรค พลกถา
(บางส่วน)
[๖๒๖] สมถพละเป็นไฉน
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถเนกขัมมะ เป็นสมถพละ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมถพละ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถอาโลกสัญญา เป็นสมถพละ ฯลฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก เป็นสมถพละ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความ สละคืนหายใจเข้า เป็นสมถพละ ฯ
ชื่อว่าสมถพละ ในคำว่า สมถพลํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ
ชื่อว่าสมถพละ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน
เพราะอรรถว่าจิตไม่หวั่นไหวไปในปีติด้วยตติยฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในสุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในรูปสัญญา ปฏิฆสัญญานานัตตสัญญา ด้วยอากาสานัญจายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไปในวิญญาณัญจายตนสัญญา ด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ไม่กวัดแกว่งไปในอุทธัจจะ ในกิเลสอันสหรคตด้วยอุทธัจจะและในขันธ์
นี้เป็นสมถพละ ฯ
[๖๒๗] วิปัสสนาพละเป็นไฉน
อนิจจานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ ทุกขานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ ฯลฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาเป็นวิปัสสนาพละ
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นวิปัสสนาพละ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป เป็นวิปัสสนาพละ
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ
การพิจารณาเห็นทุกข์ในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ ฯ
ชื่อว่า วิปัสสนาพละ ในคำว่า วิปสฺสนาพลํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ
ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในสุขสัญญา ด้วยทุกขานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในความเพลิดเพลิน ด้วยนิพพิทานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในราคะ ด้วยวิราคานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในสมุทัย ด้วยนิโรธานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในความถือมั่น ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ไม่กวัดแกว่งไปในอวิชชา ในกิเลสอันสหรคตด้วยอวิชชา และในขันธ์
นี้เป็นวิปัสสนาพละ ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๙๒๙๙ - ๙๕๑๓. หน้าที่ ๓๘๖ - ๓๙๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=9299&Z=9513&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=621
ชวนอ่านและศึกษา "ปฏิสัมภิทามรรค "
เช่นเรื่อง ญาณ ทิฏฐิ อานาปาน อินทรีย์ วิโมกข์ เป็นต้น อย่างพิสดาร เป็นทางแห่งปัญญาแตกฉาน
สารบัญ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/sutta23.php
--------------------
ปัญญาวรรค อภิสมยกถา
(บางส่วน)
[๖๙๙] คำว่า ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอดีต ความว่า บุคคลย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอดีตหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลนั้นก็ทำกิเลสที่สิ้นไปแล้วให้สิ้นไป ทำกิเลสที่ดับไปแล้วให้ดับไป ทำกิเลสที่ปราศไปแล้วให้ปราศไป
ทำกิเลสที่หมดแล้วให้หมดไป ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอดีตอันไม่มีอยู่ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นละกิเลสที่เป็นอดีตหาได้ไม่
คำว่า ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอนาคต ความว่า บุคคลย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอนาคตหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลนั้นก็ละกิเลสที่ยังไม่เกิด ละกิเลสที่ยังไม่บังเกิด ละกิเลสที่ไม่เกิดขึ้นแล้ว
ละกิเลสที่ยังไม่ปรากฏ ละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นอนาคตอันไม่มีอยู่ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นละกิเลสที่เป็นอนาคตหาได้ไม่
คำว่า ย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นปัจจุบัน ความว่า บุคคลย่อมละได้ซึ่งกิเลสที่เป็นปัจจุบันหรือ
ถ้าอย่างนั้น บุคคลผู้กำหนัดก็ละราคะได้ ผู้ขัดเคืองก็ละโทสะได้ ผู้หลงก็ละโมหะได้ ผู้มีมานะผูกพันก็ละมานะได้
ผู้ถือผิดก็ละทิฐิได้ ผู้ถึงความฟุ้งซ่านก็ละอุทธัจจะได้ ผู้ลังเลไม่แน่ใจก็ละวิจิกิจฉาได้ ผู้มีกิเลสเรี่ยวแรงก็ละอนุสัยได้
ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาวซึ่งเป็นคู่กันกำลังเป็นไป มรรคภาวนาอันมีความหม่นหมองด้วยกิเลสนั้น ก็มีอยู่
เพราะเหตุนั้น บุคคลละกิเลสที่เป็นอดีต กิเลสที่เป็นอนาคต กิเลสที่เป็นปัจจุบัน หาได้ไม่ ฯ
[๗๐๐] บุคคลย่อมละกิเลสที่เป็นอดีตหาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นอนาคตหาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นปัจจุบันหาได้ไม่ หรือ
ถ้าอย่างนั้น มรรคภาวนาก็ไม่มี การทำให้แจ้งซึ่งผลก็ไม่มี การละกิเลสก็ไม่มี ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี ฯ
หามิได้ มรรคภาวนามีอยู่ การทำให้แจ้งซึ่งผลมีอยู่ การละกิเลสมีอยู่ ธรรมาภิสมัยมีอยู่
เหมือนอะไร เหมือนต้นไม้กำลังรุ่น ยังไม่เกิดผล บุรุษพึงตัดต้นไม้นั้นที่ราก ผลที่ยังไม่เกิดแห่งต้นไม้นั้นก็ไม่เกิดเลย
ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย ที่ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลยฉันใด
ความเกิดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลายจิตเห็นโทษในความเกิดขึ้นแล้ว
จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น
กิเลสเหล่าใดพึงบังเกิด เพราะความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย
ที่ไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุแห่งความเป็นไป เพราะเหตุแห่งสังขารเป็นนิมิต เพราะเหตุแห่งกรรม
กรรมเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลาย จิตเห็นโทษในกรรมแล้ว จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีกรรม
เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีกรรม กิเลสเหล่าใดพึงบังเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย
กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย ที่ยังไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย
เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้
มรรคภาวนามีอยู่ การทำให้แจ้งซึ่งผลมีอยู่ การละกิเลสมีอยู่ ธรรมาภิสมัยมีอยู่ ด้วยประการฉะนี้แล ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๑๐๓๒๑ - ๑๐๔๓๑. หน้าที่ ๔๒๙ - ๔๓๓.
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=10321&Z=10431&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=695
---------------------------
ยุคนัทธวรรค พลกถา
(บางส่วน)
[๖๒๖] สมถพละเป็นไฉน
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถเนกขัมมะ เป็นสมถพละ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถความไม่พยาบาท เป็นสมถพละ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถอาโลกสัญญา เป็นสมถพละ ฯลฯ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความสละคืนหายใจออก เป็นสมถพละ
ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยสามารถความเป็นผู้พิจารณาเห็นความ สละคืนหายใจเข้า เป็นสมถพละ ฯ
ชื่อว่าสมถพละ ในคำว่า สมถพลํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ
ชื่อว่าสมถพละ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในนิวรณ์ด้วยปฐมฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในวิตกวิจารด้วยทุติยฌาน
เพราะอรรถว่าจิตไม่หวั่นไหวไปในปีติด้วยตติยฌาน เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในสุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในรูปสัญญา ปฏิฆสัญญานานัตตสัญญา ด้วยอากาสานัญจายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไปในวิญญาณัญจายตนสัญญา ด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ไม่กวัดแกว่งไปในอุทธัจจะ ในกิเลสอันสหรคตด้วยอุทธัจจะและในขันธ์
นี้เป็นสมถพละ ฯ
[๖๒๗] วิปัสสนาพละเป็นไฉน
อนิจจานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ ทุกขานุปัสสนา เป็นวิปัสสนาพละ ฯลฯ ปฏินิสสัคคานุปัสสนาเป็นวิปัสสนาพละ
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในรูป เป็นวิปัสสนาพละ ฯลฯ การพิจารณาเห็นความสละคืนในรูป เป็นวิปัสสนาพละ
การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงในเวทนาในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ในจักษุ ฯลฯ ในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ
การพิจารณาเห็นทุกข์ในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ การพิจารณาเห็นความสละคืนในชราและมรณะ เป็นวิปัสสนาพละ ฯ
ชื่อว่า วิปัสสนาพละ ในคำว่า วิปสฺสนาพลํ นี้ เพราะอรรถว่ากระไร ฯ
ชื่อว่า วิปัสสนาพละ เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในนิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในสุขสัญญา ด้วยทุกขานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในความเพลิดเพลิน ด้วยนิพพิทานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในราคะ ด้วยวิราคานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในสมุทัย ด้วยนิโรธานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหวไปในความถือมั่น ด้วยปฏินิสสัคคานุปัสสนา
เพราะอรรถว่า จิตไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียง ไม่กวัดแกว่งไปในอวิชชา ในกิเลสอันสหรคตด้วยอวิชชา และในขันธ์
นี้เป็นวิปัสสนาพละ ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๙๒๙๙ - ๙๕๑๓. หน้าที่ ๓๘๖ - ๓๙๔.
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=31&A=9299&Z=9513&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=31&i=621