ปรึกษาอาชีพที่เหมาะ และโรงพยาบาลที่ดีและถูกสำหรับคนเป็นโรคซึมเศร้า

สวัสดีค่ะ อยากขอคำปรึกษาเป็นโรคซึมเศร้ามาประมาณ7ปีแล้วเข้ารับการรักษาโดยจิตแพทย์อย่างต่อเนื่องจริงจังเมื่อประมาณ3-4ปีที่แล้ว แต่ว่าเนื่องจากต้องไปฝึกงานต่างจังหวัดเวลา3เดือน แล้วผลข้างเคียงจากยามีผลกระทบมากจนต้องเลิกกินยาเพื่อฝึกงาน แต่ผลก็ยิ่งเลวร้าย มันกลายเป็นการฝึกงานที่เลวร้าย จริงๆมันเป็นงานที่เราชอบมาก เราคิดว่าถ้าเราไม่มีปัญหาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา หรืออาการจากโรค เราคิดว่ามันเป็นงานที่ทำให้เรามีความสุขและสนุกกับการทำงานมาก แต่ว่ามันเฟลไปแล้ว เราเบลอเพราะยา ง่วงนอนตลอดเวลา อ่อนเพลีย เหมือนไม่สบายบ่อยๆ หลับลึกจนไม่ตื่นตื่นสายไปเลทบ่อยๆ เพื่อนๆที่ฝึกงานและพี่เลี้ยงต่างก็ต่อว่าเรา เค้าเคยถามเราว่าทำไมเป็น เป็นแบบนี้เราเลยบอกเค้าไปเพราะเรากินยาเพื่อรักษาโรค แต่พี่เค้ากลับยังต่อว่าเราว่าเห็นแก่ตัว เอาโรคมาเป็นข้ออ้าง คนอื่นยังทำได้ทำไมเราทำไมได้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะทำงานที่ไหนได้ หลังจากนั้นเราก็โดนเพ่งเล่ง และโดนกระแทก-ดันเสมอจนฝึกงานเสร็จ ยังดีพี่เค้าให้เราผ่านการฝึกงาน แต่หลังจากต้องส่งแบบประเมินกลับอาจารย์เพื่อนที่ไปฝึกพร้อมกัน ก็รายงานอาจารย์ว่าเราเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวเพราะเวลาที่ทำงานพี่เค้าจะให้ช่วยกันคิดช่วยกันทำ เราจะค่อนข้างเบลอคิดอะไรไม่ออกเลยต้องให้เพื่อนคิดแล้วเราช่วยทำ แต่หลังๆเพื่อนก็เหมือนกับแอนตี้ คือไม่ค่อยให้เราช่วยทำมีอะไรก็จะประมาณว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวทำเองๆเราเองก็ไม่กล้าแย้งอยู่แล้ว เรากลัวทำให้คนอื่นไม่พอใจ เราเข้าใจนะแต่เราก็เสียใจ สุดท้ายเพื่อนที่ไปฝึกงานก็เอาเราไปนินทา เลยกลายเป็นว่าเพื่อนในคลาสก็ยิ่งไม่ชอบเรา ก่อนหน้านั้นเราก็ทะเลาะกับเพื่อนสนิทในมหาลัยเพราะพฤติกรรมของเราเพราะผลข้างเคียงจากยา ไม่ได้ทะเลาะกันนะแต่เหมือนเพื่อนไม่โอเคกับเราจนเงียบไม่พูดไม่คุย แอบไปสร้างกรุ๊ปใหม่เพื่อคุยกันโดยที่ไม่มีเรา เราไม่รู้ตัวเลยจนเพื่อนคนึงในกลุ่มมันก็สงสารเลยคุยกะบเรา ว่าไม่รู้ตัวหรอว่าเพื่อนไม่อยากคุยเพื่อนเลิกคบแล้วนะ เราก็เลยคุยแล้วเล่าปัญหาต่างๆให้เพื่อนคนนี้ฟัง เพื่อนคนี้ก็พยายามเป็นกาวให้เรากับเพื่อนในกลุ่ม แต่ก็ไม่ดีขึ้น มันแย่มากเราต้องตัวคนเดียวเรียนคนเดียวกินข้าวคนเดียว งานกลุ่มก็ต้องทำคนเดียว จนเราเรียนจะไม่ไหวท้อจนเกือบออกก็หลายหนพยามประคองจนผ่านไปเป็นเทอมจนฝึกงานกลับมา ก็ยังเหมือนเดิม จนเพื่อนทุกคนได้ยินเพื่อนกลุ่มอื่นพูดถึงเราเลย ทั้งเราเองก็ไม่ไหวหวิดจะคิดสั้นหลายหนแล้ว เลยได้ปรับความเข้าใจกัน แต่ว่าทุกอย่างมันก็ไมาเหมือนเดิมแล้ว แต่ยังพูดคุยช่วยเหลือกัน เรียนจบมาได้เพรสะเพื่อนๆช่วยมามากจริงๆ ทั้งช่วยติว ช่วยเตือน บางครั้งก็ช่วยทำงาน ตั้งแต่ฝึกงานก็ยังไม่ได้กลับไปรักษาต่อและขาดยา แล้วจิตแพทย์ที่เคยพบ เรารู้สึกว่าไม่โอเค การพูดจาเค้าทำให้เรารู้สึกไม่ดี เลยไม่คิดอยากจะกลับไปอีก โดยที่พยายามอดทนกับอาการของโรคที่กลับมาเป็นซ้ำแบบที่หนักกว่าแต่ก่อนมาก
ซึ่งตอนนี้เราจบมา1ปีแล้ว แต่ก็ยังหางานประจำไม่ได้ ทำได้แป๊บๆก็ออก ที่แรกเราเป็นเซลล์ขายรถ หัวหน้าดี เพื่อนร่วมงานดีรายได้ก็จะดีถ้ามียอด แต่เราอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ต้องออกเพราะกดดันเนื่องจากขายไม่ได้ตามยอดหัวหน้าเราคนนี้ดีมากไม่ยอมให้เราออกรั้งเราไว้ช่วยเราทุกอย่าง แต่เราขายไม่ได้เรารู้สึกผิด รู้สึกแย่ รู้สึกเป็นตัวถ่วงเลยออกดีกว่า เพื่อให้หัวหน้าเด็ดขาดกับคนอื่นได้ด้วย เใแล้วเราก็หางานใหม่ ใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งปีกับการตกงานที่ใหม่เราได้งานเป็นคอลเซ็ลเตอร์ เนื่องจากเราเบลอๆคิดไรไม่ค่อยออกคิดไรไม่ค่อยทัน เราจำข้อมูลช้าเรียนรู้ช้า ไม่ค่อยเข้าใจเลยถามพี่ๆเค้าบ่อยเลยโดนเพ่ง แล้วยิ่งช่วงเป็นประจำเดือนเราจะปวดท้องจนลุกไม่ได้บางเดือนเราเลยลาป่วย บางครั้งเราเบลอเดินตกรถเมขาพลิกไปทำงานต้องไปห้องพยาบาล หรือถ้าไม่เราไปทำงานเราจะทำได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำจนได้4เดือนหัวหน้าเค้าเลยเริ่มกดดัน ถามอะไรไม่ตอบ ไม่พูดไม่คุย สั่งให้ จ้องจับผิด ตำหนิต่อหน้าผู้คนเสียงดังเหมือนอยากให้เราทนไม่ได้ให้เราลาออกเอง แต่เราทน คงเป็นเค้าเองที่ทนไม่ไหวเลยเรียกเราไปให้เขียนใบลาออกแจ้งสาเหตุว่าไม่ผ่านงานเพราะปัญหาสุขภาพ เราเลยต้องกลับมาเตะฝุ่นอีกครั้งครั้งนี้ไม่นานมากแต่เราคิดว่าจะหางานที่ไม่ค่อยทำงานแบบเพื่อนร่วมงานเยอะๆเราเลยสมัครเป็นแคชเชียร์ที่สนามบอลเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่นี่ตอนแรกเราลังเลตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่ทำเพราะเค้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเราตามไม่ทันแต่คุยกันจนเข้าใจเราเลยคิดว่าลองดูก่อนก็ได้ งานที่นี่เป็นเหมือนกิจจการส่วนตัวเจ้าของมาดูแลเอง เงินและสวัสดิการเลยไม่เป็นไปตามกฏหมายคุ้มครอง ตอนแรกเราคิดว่สแคชเชียร์คือคิดเงินทอนเงินค่าสนามบริการให้กับลูกค้าแต่พอมาทำจริงๆคือเราต้องขายของในร้านชำ ทำความสะอาดร้านเอง ยกน้ำแพ็คขนเบียร์ต่างๆเข้าสต็อค ตรวจเช็จจำนวน จัดของเรียงของ ดูแลลูกค้าในสนามด้วย เป็นหัวหน้าแม่บ้านประสานงานกันไปในตัวมันเป็นงานที่ต้องใข้แรง ต้องละเอียดคอยตรวจตราลูกค้าในสนาม แล้วไหนจะลูกค้าที่เข้ามาซื้อของในร้านไหนจะต้องเติมของอีก งานมันจะเข้าบ่ายๆเลิกประมาณเที่ยงคืนตี1 ซึ่งกลับบ้านมาเราปวดตัวจนเป็นไข้ทุกคืน กินยาทุกคืนจนหมดไปหลายแผง จริงๆเราว่าเป็นงานที่ค่อนข้างโอเคเพราะเราผ่านงานหนักมาตั้งแต่เด็กทั้งขายของตลาดนัด ขายข้าวหน้ารรตอนเช้า ขายของทอดตอนเย็น ต้องแบกของตากแดดตากฝนเอว แต่เราก็โดนจับผิดตลอดเวลา เราไปขนของเค้าก็จะว่าทำไมไม่อยู่ในร้าน พอเรายุ่งวุ่นวายในร้านเพราะลูกค้าเยอะจนไปเติมของไม่ทันหรือดูในสนามไม่ทั่วถึงก็โดนว่า ใช้ดินสอเขียนเพราะกลัวผิดพลาดจะได้ลบได้ไม่สกปรก ก็ว่าจะทำงานทำไมหลายรอบ พอใช้ปากกาเขียนเลยก็ว่าทำไมใช้ปากกาถ้ามีการเปลี่ยนแปลงมันต้องลบสกปรกอีก เราโดนทุกวันคือจะมีข้อผิดพลาดให้เค้ามาติทุกวันเล็กๆน้อยๆก็ไม่ปล่อยผ่าน ทำไมไม่ซักผ้าขี้ริ้ว ทำไมๆๆ ถ้างานหนักมากแล้วเงินเดือนเกินหมื่นเราคงจะทนทำต่อแต่นี่คือวันละ400แล้วไม่มีสวัสดิการใดๆเดือนนั้นประมาณ8000 เราก็ออกเลย  เราทนงานหนักเรารับความกดดันจากลูกค้าได้เพราะถ้ามีปัญหาแป๊บๆมันจบมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่เราทนความกดดันจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าไม่ได้เพราะต้องเจอกันตลอดเรา
ตอนนี้เราก็ว่างงานอีกครั้ง ตอนนี่ก็เกือบเดือนแล้ว เรามีเงินเหลือแค่3พัน ไม่ใช่ว่าเราไม่มีพ่อแม่คอยซับพอร์ทนะแต่เราไม่ได้ขอเงินพ่อแม่มาตั้งแต่ม.4แล้ว พ่อแม่เราแยกทางกัน แล้วต่างคนต่างมีใหม่ เราและน้องชายอยู่กับพ่อ แต่ปัญหาลูกเลี้ยงแม่เลี้ยงมันมีมาทุกยุคและนี่คือสาเหตุหลักของการเป็นโคซึมเศร้า พ่อเราเป็นคนไม่พูด เค้าจะเจรจาพาทีกับคนข้างนอก แต่กับเราถ้าไม่มีอะไรให้เราช่วยหรือถามเรื่องเรียนต่อก็ไม่คุย เพราะแม่เลี้ยงจะไม่ให้พ่อและน้องชายคุยกับเรา เราเลยไม่กล้าขอเงินพ่อมาตั้งแต่ม.4 เราหาเงินใช้เองทำงานพาร์ทไทม์ เจ้าของร้านรู้เรื่องเรามาโดยตลอดแล้วคอยช่วยเหลือเราเงินไม่ได้ให้เยอะ แต่ส่วนมากจะให้เป็นของกิน พาเที่ยวพาไปกินบางคืนเราดิ่งๆก็อาศัยนอนที่ร้านเอกสารรายงานเวลาเรียนเค้าก็คอยซัพพอร์ทช่วยตลอดแต่หลังจากเรียนจบเราก็ไม่ค่อยได้ติดต่อเค้าเลยห่างกันนานๆทีเราจะเข้าไปหาไปคุยกับพวกเค้า คือเป็นครอบครัวเลยแหละ จะมีแค่ค่าเทอมที่พ่อจะเบิกได้ แต่มหาลัยเราก็กู้เรียนบ้างบางเทอมก็ให้พ่อเบิก
แต่ตอนนี้ปัญหาของเราก็คือเราดิ่งมาก หลังจากผ่านการหางานตกงานเจอความล้มเหลวมาตลอด เรารู้สึกกลัวการไปสมัครงาน เรากลับไปมีอาการกลัวการเจอผู้คน เหมือนเมื่อก่อนแล้วคนั้งนี้มันแย่กว่าเดิมเรารู้สึกไร้ค่าและเป็นภาระ เราก้าวข้าวผ่านความรู้สึกไปไม่ได้ ทุกอย่างมันยาก เพื่อนๆจะบอกว่าเราคิดไปเอง บอกว่าเราพยายามคิดพยายามให้ตัวเองเป็นโรคนี้ เราไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปเราอยากกลับไปรักษาตัว ทุกคนมองว่าเราขี้เกียจนอนขลุกอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมไปหางานทำ เราไม่คิดอะไรไม่ออก พูดอะไรไม่ถูก ล่าสุดไปสมัครงานมาเพื่อนแนะนำให้ เรารู้ตัวเลยว่าเราคุยกันคนสัมพาษณ์ไม่ค่อยรู้เรื่อง คิดช้า ไม่เข้าใจ คิดอะไรไม่ออก คิดคำพูดไม่ออก คิดอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่น เพื่อนที่เราคบมานานมันเข้าใจเราแต่กับคนอื่นเราคุยไม่รู้เรื่องเลย ความคิดตื้อตันคิดอะไรไม่ออก เรากลายเป็นคนไม่ค่อยพูด เพราะเรากลัวความผิดพลาด จริงๆถ้าใครมาอ่านคงจะงงๆซักหน่อยมันวกไปวนมา แต่การพิมพ์คือวิธีการสื่อสารกับคนอื่นที่เราทำได้ดีที่สุดในเวลานี้ เรารู้เลยว่าถ้าไปหาหมออีกครั้งเรารู้เลยว่าเราคงอธิบายอะไรไม่ได้แน่
ตอนนี้เราไม่มีคนให้ปรึกษาเลย เราไม่มีญาติไม่มีใครสนิทพอที่จะปรึกษา มีแค่เพื่อนสนิทแค่คนเดียว แต่มันก็ไม่เข้าใจโรคที่เราเป็นตอนนี้เราเคว้งคว้างมาก ไม่รู้จะเอายังไงต่อกับชีวิต
เราลำดับขั้นตอนไม่ได้ว่าควรทำอะไร จะหางานทำต่อเราก็คิดว่าลงเอยแบบเดิม จะรักษาตัวก่อน เราก็ไม่มีเงินมากพอจะกินอยู่และไปหาหมอจนหายแน่ จะทำงานไปด้วยหาหมอด้วย เราก็ต้องเป็นเหมือนตอนฝึกงานแน่ๆ สุดท้ายคงพัง
เราไม่รู้จริงๆว่าควรทำไง
ปล.1.ถ้าแนะนำรพ.คิดว่าที่ไหนดีสุดและมีอัตตราการหายมากและราคาถูก
ปล.2ถ้าแนะนำอาชีพการหาเงิน คนเป็นโรคนี้เหมาะกับอาชีพใด
ปล3.เรียนจบการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแขนงไมซ์อีเว้นค่ะ เกรด2.5นิดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่