ข่าวที่ผู้ประกาศข่าวท่านนึงไลฟ์สดบุลลี่ ล้อเลียน ส.ส.ท่านนึงที่เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า กำลังเป็นกระแสร้อนแรงงอยู่ในสังคมตอนนี้ เรื่องจะจบอย่างไรผมไม่ทราบ แต่วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ของการเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าให้ได้ฟังกัน
ผมเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในหน่วยงานการแห่งหนึ่ง เริ่มป่วยตั้งแต่ทำงานมาได้สักพัก เวลาเครียดมาก ๆ รู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนมีใครมาบีบหัวใจ มีอาการวิงเวียนศีรษะ ไม่สบายในช่วงเวลาที่เจอแรงกดดันมาก ๆ ผมจึงปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่ง และก็ทานยา รักษาตัวเองเรื่อยมา
มีคนเคยพูดไว้ว่า 3 สิ่งต้องเผชิญเมื่อคุณเจ็บป่วย ประกอบด้วย 1. อาการเจ็บป่วย 2. ผลข้างเคียงของการรักษา 3. การตีตราจากคนรอบข้าง 1. กับ 2. ที่ต้องเจอก็นับว่าแย่แล้ว เพราะอาการเจ็บป่วย การปรับยาไปมาของหมอ ก็ทำให้ “เรา” “ผิดปกติ” ไปจากคนอื่น แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ 3. เพราะทำให้เราได้รับผลกระทบทั้งเรื่องการงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นำมาซึ่งการถูกล้อเลียน ถูกเพื่อนร่วมงานซุบซิบนินทาในทางเสียหาย (ถึงแม้จะไม่ได้ไปถึงขั้นบุลลี่ก็ตาม) เจ้านายขาดความเชื่อมั่น นำไปสู่การกีดกันทั้งเรื่องงาน การปรับเงินเดือน
ผมได้รับหน้าที่ให้ทำประเมินหน่วยงานจากหน่วยงานหนึ่ง แม้ว่าผลคะแนนจะอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างไปในทางที่ดี แต่ก็ยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากเจ้านาย ผู้บริหารของหน่วยงาน บางครั้ง ผมต้องทนฟังคำพูดที่ระคายเสียดแทงความรู้สึกว่า “คนสติไม่สมประกอบ จะไปสู้คนปกติได้ยังไง” ถึงต่อให้ผมจะทำงานได้ดีแค่ไหน เรื่องการเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ก็เป็นประเด็นที่ถูกใช้เพื่อกีดกันผมจากความก้าวหน้า ความสำเร็จ หรือแม้แต่คำชื่นชมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการทำงานได้ดี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมสะท้อนภาพใหญ่ของปัญหาของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า รวมทั้งอาการผิดปกติทางสมอง ถูกเหมารวมว่าเป็น “คนบ้า” ทั้งที่มันไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น คนเหล่านี้มีความสามารถไม่แพ้คนทั่วไป แต่สิ่งที่ถ่วงศักยภาพของเราไม่ใช่อาการเจ็บป่วย แต่เป็น “อคติ” ที่เขามีต่อพวกเรา ซ้ำร้าย เรายังตกเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตี เล่นงงานอยู่ตลอด
ภาพ เสียง ในไลฟ์สดของผู้ประกาศข่าว คนที่กำลังอื้อฉาวในตอนนี้คือหนึ่งใน “ด้านมืด” ของสังคมที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องเผชิญ ด้านมืดที่เราต้องเผชิญไม่ได้มีอยู่เพียงแค่การหยิบยกอาการป่วยมาล้อเลียนเท่านั้น แต่ยังอยู่ทุกมิติของชีวิต ทั้งการทำงาน ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงบุคคลที่เราไม่รู้จักกัน
การที่คนในสังคมกำลังสร้าง “ด้านมืด” นี้ให้ปกคลุมไปทั้งสังคม ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม มันคือภัยร้ายที่น่ากลัวกว่าการเจ็บป่วยหลายเท่า ต้องไม่ลืมว่าการเจ็บป่วย (ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม) ล้วนสร้างความทุกข์ทรมานให้เขาอย่างมากแล้ว การต้องเผชิญกับ “ด้านมืด” ที่ตนในสังคมประกอบสร้างจากมายาคติส่วนตัว ยิ่งทำให้ความทุกข์ทรมาณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
ผม และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทุกคนคงไม่อาจคาดหวังให้”ด้านมืด“ นี้หายไปได้ในทันที แต่สิ่งพวกเราต้องการ ไม่ใช่ความสงสาร เพราะมันไม่ได้จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เราต้องการคือ ไม่ร่มกันสร้าง ”ด้านมืด“ ให้พวกเราต้องเผชิญ ให้เราได้มีโอกาสเหมือนคนทั่วไป การให้สิทธิการรักษาที่ทุกคนเข้าถึงได้ การไม่ตีตราทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ นี่คือสิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างพวกผมต้องการ
ผมอาจไม่ใช่นักเขียนที่ดี แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้จะช่วยให้พวกเราไม่ต้องเผชิญกับเรื่องร้าย ๆ แบบนี้อีก
โรคซึมเศร้ากับด้านมืดที่ใครหลายคนช่วยกันสร้าง
ผมเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในหน่วยงานการแห่งหนึ่ง เริ่มป่วยตั้งแต่ทำงานมาได้สักพัก เวลาเครียดมาก ๆ รู้สึกแน่นหน้าอกเหมือนมีใครมาบีบหัวใจ มีอาการวิงเวียนศีรษะ ไม่สบายในช่วงเวลาที่เจอแรงกดดันมาก ๆ ผมจึงปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่ง และก็ทานยา รักษาตัวเองเรื่อยมา
มีคนเคยพูดไว้ว่า 3 สิ่งต้องเผชิญเมื่อคุณเจ็บป่วย ประกอบด้วย 1. อาการเจ็บป่วย 2. ผลข้างเคียงของการรักษา 3. การตีตราจากคนรอบข้าง 1. กับ 2. ที่ต้องเจอก็นับว่าแย่แล้ว เพราะอาการเจ็บป่วย การปรับยาไปมาของหมอ ก็ทำให้ “เรา” “ผิดปกติ” ไปจากคนอื่น แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ 3. เพราะทำให้เราได้รับผลกระทบทั้งเรื่องการงาน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง นำมาซึ่งการถูกล้อเลียน ถูกเพื่อนร่วมงานซุบซิบนินทาในทางเสียหาย (ถึงแม้จะไม่ได้ไปถึงขั้นบุลลี่ก็ตาม) เจ้านายขาดความเชื่อมั่น นำไปสู่การกีดกันทั้งเรื่องงาน การปรับเงินเดือน
ผมได้รับหน้าที่ให้ทำประเมินหน่วยงานจากหน่วยงานหนึ่ง แม้ว่าผลคะแนนจะอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างไปในทางที่ดี แต่ก็ยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากเจ้านาย ผู้บริหารของหน่วยงาน บางครั้ง ผมต้องทนฟังคำพูดที่ระคายเสียดแทงความรู้สึกว่า “คนสติไม่สมประกอบ จะไปสู้คนปกติได้ยังไง” ถึงต่อให้ผมจะทำงานได้ดีแค่ไหน เรื่องการเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้า ก็เป็นประเด็นที่ถูกใช้เพื่อกีดกันผมจากความก้าวหน้า ความสำเร็จ หรือแม้แต่คำชื่นชมเล็ก ๆ น้อย ๆ จากการทำงานได้ดี
สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมสะท้อนภาพใหญ่ของปัญหาของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า รวมทั้งอาการผิดปกติทางสมอง ถูกเหมารวมว่าเป็น “คนบ้า” ทั้งที่มันไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นนั้น คนเหล่านี้มีความสามารถไม่แพ้คนทั่วไป แต่สิ่งที่ถ่วงศักยภาพของเราไม่ใช่อาการเจ็บป่วย แต่เป็น “อคติ” ที่เขามีต่อพวกเรา ซ้ำร้าย เรายังตกเป็นเป้าหมายที่ถูกโจมตี เล่นงงานอยู่ตลอด
ภาพ เสียง ในไลฟ์สดของผู้ประกาศข่าว คนที่กำลังอื้อฉาวในตอนนี้คือหนึ่งใน “ด้านมืด” ของสังคมที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องเผชิญ ด้านมืดที่เราต้องเผชิญไม่ได้มีอยู่เพียงแค่การหยิบยกอาการป่วยมาล้อเลียนเท่านั้น แต่ยังอยู่ทุกมิติของชีวิต ทั้งการทำงาน ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงบุคคลที่เราไม่รู้จักกัน
การที่คนในสังคมกำลังสร้าง “ด้านมืด” นี้ให้ปกคลุมไปทั้งสังคม ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม มันคือภัยร้ายที่น่ากลัวกว่าการเจ็บป่วยหลายเท่า ต้องไม่ลืมว่าการเจ็บป่วย (ไม่ว่าจะโรคอะไรก็ตาม) ล้วนสร้างความทุกข์ทรมานให้เขาอย่างมากแล้ว การต้องเผชิญกับ “ด้านมืด” ที่ตนในสังคมประกอบสร้างจากมายาคติส่วนตัว ยิ่งทำให้ความทุกข์ทรมาณเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
ผม และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทุกคนคงไม่อาจคาดหวังให้”ด้านมืด“ นี้หายไปได้ในทันที แต่สิ่งพวกเราต้องการ ไม่ใช่ความสงสาร เพราะมันไม่ได้จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เราต้องการคือ ไม่ร่มกันสร้าง ”ด้านมืด“ ให้พวกเราต้องเผชิญ ให้เราได้มีโอกาสเหมือนคนทั่วไป การให้สิทธิการรักษาที่ทุกคนเข้าถึงได้ การไม่ตีตราทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ นี่คือสิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอย่างพวกผมต้องการ
ผมอาจไม่ใช่นักเขียนที่ดี แต่หวังว่าสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้จะช่วยให้พวกเราไม่ต้องเผชิญกับเรื่องร้าย ๆ แบบนี้อีก