นิยายแฟนตาซีเรื่อง Conflict Before The Beginning มันเกิดก่อนเริ่ม [ตอนที่ 7 ดื้อแพ่งเอง]

บทนำ     https://pantip.com/topic/39330773    ตอนที่ 1  https://pantip.com/topic/39331305
ตอนที่ 2  https://pantip.com/topic/39332020    ตอนที่ 3  https://pantip.com/topic/39333626
ตอนที่ 4 https://pantip.com/topic/39333762    ตอนที่ 5  https://pantip.com/topic/39336452 
ตอนที่ 6 https://pantip.com/topic/39339433

          “ชำนาญการจริง ๆ ข้าเดินทางไปทั่วมาสามสิบกว่าปีแล้ว ก็เพิ่งจะเคยเห็นการชำแหละด้วยมือเปล่าครั้งนี้เอง” ผู้ชายคนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นทันที เมื่อเฝ้ามองอย่างตื่นตะลึงเสร็จ เขานั่งหัวโล้นอยู่บนก้อนหินใหญ่ วัยกลางคนในช่วงปลาย ๆ ที่มีร่างสันทัด ทว่าท้วมนิดหน่อย โดยสวมชุดยาวสีน้ำเงินเข้มคล้ายกับของศาสนจักร เนื้อผ้าเงางามสะท้อนประกายแสงจากกองไฟ ณ ยามค่ำคืน
          “ปู่! ทำได้อย่างไรกัน? แถมยังไม่ใช่พลังเวทย์เสริมกำลังด้วย แต่นี่กระชากหนังหนา ๆ เหมือนกับขอดเกล็ดปลาเลยนะนั่น” บุคคลข้าง ๆ ซึ่งพาดดาบอาคมไร้ฝักเอาไว้บนตักก็อดกล่าวขึ้นมิได้ ที่คมด้านเดียวเปล่งออร่าเจือจาง ขณะขัดสมาธิอยู่บนพื้น เกราะหนังสีน้ำตาลสวมใส่บนร่างกายที่บึกบึน ผมสีทองหวีได้เรียบเรียบดี เหมาะกับใบหน้าคมคายอันหล่อเหลา อายุน่าจะสัก 20 ปีเศษ 
          บริเวณเบื้องหลังปรากฏชายหญิง 5 คนที่แต่งกายในบรรยากาศคล้ายคลึงกัน แตกต่างแค่ทักษะเฉพาะตัว อาทิเช่น จอมเวทย์สาวซึ่งมือถือคทาดูมากฤทธิ์ อีกข้างหยิบลิปสติกสีแดงขึ้นทาริมฝีปาก นักสอดแนมคุมหน้าได้เอามีดพร้าด้ามโตมาเกาหลังยิก ๆ มิหยุด ผู้คุ้มกันอ้วนกำลังส่องหน้าบ้าน ๆ ยิงแคะขี้ฟัน โดยใช้โล่ยักษ์ขัดมันแทนกระจก นอกจากนั้นก็มีสองชายกำลังสร้างลูกธนูแก้เซ็ง
          “ฮา ๆ สำหรับเจตโก้ดาที่เป็นผู้ล่าแล้ว ต้องใช้ความรู้สึกในการตระเตรียม หากใช้เครื่องมือไร้ชีวิตล่ะก็ จะรับทราบถึงแนวของมัดกล้ามเนื้อได้อย่างไรกัน?” เฒ่ามาดิชจึงหัวเราะตอบเสียงดัง ครั้นถูกยกยอ เขานั่งพิงท้องป่อง ๆ ของอูปาซึ่งนอนขดอยู่ด้านหลัง โดยพรางร่างให้เป็นดั่งก้อนหินยาว ๆ มันเพิ่งจะเขมือบแรดมีปีกทั้งตัวไป บัดนี้เลยกำลังพักย่อยอาหารในกระเพาะ
          แล้วมาดิชก็โยนเจ้าอัลลิเกเตอร์ทั้งตัวลงบนคู่ง่าม สำหรับปิ้งย่างเหนือกองไฟอันร้อนแรงจัด มันสร้างจากหินด้วยมนตราของเขาเอง สิ่งที่เสียบปากให้ทะลุถึงรูตูดที่ไปขัดอยู่ตรงหัวกะท้าย ก็ใช้วิธีเดียวกันนั่นแหละ พร้อมกับทำให้หมุนอย่างต่อเนื่องจะได้ไม่ไหม้ 
          “...”
          (ดูพูดเข้าสิ แค่ขี้เกลียดแท้ ๆ เลย) ดิวทรานึกในใจ ตอนนี้แอบอยู่ในพุ่มเคราขาว
          “ช่วยพวกข้าด้วย ท่านผู้เฒ่า พวกมันเป็นพ่อค้าทาสอันเลวทรามต่ำช้า/ใช่ ๆ ตั้งหลายหมู่บ้านแล้ว ที่ลักพาตัวผู้คนอย่างไร้ศีลธรรม ทั้งยังใช้คำพูดหวานหูมาชักจูงความฝันด้วย ช่างยิ้มเกินบรยาย/ฯลฯ” ห่างออกไปมิไกลนัก มีรถเข็นขนาดใหญ่จอดอยู่เคียงคู่กับซากต้นไม้ใหญ่ซึ่งแห้งตายเป็นเวลานาน ส่วนพาหนะฉุดลากเป็นกระทิงศิลาสิบกว่าตัว
          ลูกกรงเหล็กดั่งคุกขังแปดปรากฏบนนั้นด้วย ผู้โดยสารกว่าห้าสิบรายแหกปากโวยวายดังลั่น เพื่อขอความช่วยเหลือสุดตัว บ้างใช้มือเท้าทุบเตะเสริม ก่อนจะถูกกระแทกหน้าท้องแรง ๆ และตำแหน่งอื่น ๆ ด้วยพลองยาวจากสิบสองพนักงานกล้ามใหญ่ พวกเขาเปลือยครึ่งท่อนและกำลังยืนล้อมรอบสินค้าอยู่ตามหน้าที่ 
          “...”
          “ท่านมาดิช อย่าไปเชื่อถือพวกนี้นะ นี่เป็นข้าทาส เพราะฝ่าฝืนตัวกฏหมาย เลยต้องโทษทัณฑ์ให้สาสมความผิด สารเลวกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็เถอะ” พ่อค้าที่เส้นผมมิงอกเงยรีบกล่าวขึ้นทันที ทั้งยังส่ายหน้าไปมาอย่างรำคาญใจ
          “ด้วยความเป็นเจ้าของ เหล่าคนต้อยต่ำที่ยังมิยอมรับศักดิ์ศรีดั่งมดปลวก ข้าสาลีบี้ ผู้เป็นนาย ขอลงแส้สั่งสอนให้หลาบจำด้วยเถิด” จากนั้นเขาก็ยกแขนซ้ายขึ้นมา หลังมือมีวงเวทย์อันซับซ้อนจารึกอยู่ พอร่ายอาคมจบ มันจึงเรืองแสง โดยลอยเหนือผิวหนังหนึ่งคืบ
          “อ๊ากกก...!!!” ผู้คนในกรงขังเลยกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ครั้นมีวงแหวนครอบศีรษะ เส้นเลือดนูน ๆ ผุดขึ้นมาที่หน้าผากเป็นแผงหนา ของเหลวสีแดงสดเหนียว ๆ เลยเริ่มทะลักออกมาด้วย พวกเขาจึงทรุดตัวและเกลือกกลิ้งอยู่ภายในพักหนึ่งทีเดียว
          “ท่านสาลีบี้ ข้าเข้าใจ ตามกฏระเบียบของฟอเรสทีเรีย แม้แต่อิสรภาพก็สามารถซื้อขายได้โดยมิผิด” กระนั้นเฒ่าชรามาดิชกลับเอ่ยปากขึ้นตามปกติ
          (พวกมนุษย์ตกต่ำลงทุกทีแล้ว) ส่วนภูตน้อยคิดในใจอย่างมีน้ำโมโห
          “หืม! ท่านมาดิช ทำไมถึงกล่าวราวกับว่าเป็นคนนอกล่ะ?” พอได้ยินแล้ว อัศวินหนุ่มจึงต้องสอบถามทันที โดยมือที่กำด้ามดาบแอบกระชับมั่น เพื่อให้พร้อมจู่โจม โดยส่งสัญญาณไปให้ลูกทีม ณ ด้านหลังไปด้วย ส่วนพ่อค้าหัวใสเองถึงจะมีสีหน้ายิ้มแย้ม ทว่าก็เตรียมกระโดดจะลุกถอยหนีเฉกเช่นกัน
          “ฮา ๆ ข้ามิใช่สายลับของอินเนียสต้าหรอกน่า พวกท่านวางใจเถอะ แหล่งกำเนิดที่จากมาอยู่ทางทิศเหนือสุด มันห่างไกลจากสังคมมากมาย จนจะเรียกว่าสันโดษเลยก็ว่าได้” มาดิชกล่าวแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว 
          มือข้างขวาก็คว้าน้ำเต้าใบใหญ่ข้างเอวขึ้นและบิดจุกก๊อก กลิ่นสุราชั้นเลิศจึงโชยต้องจมูกผ่านอากาศ โดยยกกรอกปากไปสองเต็มอึก จากนั้นก็เทราดลงบนเนื้อเจตโก้ดาย่าง ของเหลวเมามายไม่หยดลงกองไฟแม้แต่หยดเดียว เพราะถูกซึบซับประดุจฟองน้ำแห้ง สภาพภายนอกจึงมีความเต่งตึงมีนวลจนน่ารับประทาน
          “.../...” ฝ่ายพร้อมลุยพอได้ฟังและเห็นท่าทีแล้ว รวมกับเสื้อผ้าผิดแปลกไปจากผู้คน พวกเขาจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายความระมังระวังลง
          อาภรณ์ของมาดิชนั้นเป็นชุดพื้นเมือง ประหนึ่งม่อฮ่อม ตามสันปกมีลวดลายดอกไม้ปักสีขาวตัดกันกับเนื้อผ้าดำเข้ม แขนขายาวที่พับปลาย ถ้าไม่ จะยื่นออกมาอีกเกือบฟุตทีเดียว สวมคลุมทับด้วยเสื้อคลุมขนนกยาว ๆ เฉดชมพูม่วงแก่ เข็มขัดโซ่เงินพันรอบเอวแขวนแส้ทองเหลืองขดหนึ่ง สวมรองเท้าแตะหุ้มส้นเปิดนิ้วเท้า แถมยังสะพายย่ามโทนเทาสว่างอยู่ซะด้วย
          “ท่านมาดิช ขออภัยด้วยที่หวาดระแวง ข้าเป็นผู้ค้าขาย ดังนั้นต้องใส่ใจทุกรายละเอียดน่ะ” สาลีบี้จึงพูดออกมาแบบให้รู้สึกว่าเขาเสียใจจริง ๆ 
          “ข้าไม่ถืออันใด เอา! รีบกิน ๆ กันให้เสร็จ แล้วจงเร่งเดินทางจากไปซะ เดี๋ยวก็มีซอมบี้เจตโก้ดาเพิ่มมาอีกตัวหรอก” มาดิชมิใส่ใจกล่าวตอบ พร้อมกับยกโบกมือไล่ จากนั้นจึงเอาอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ออกมาวางบนแผ่นหินข้างตัว เมื่อใช้แขนจัดการปาดจนราบเรียบแล้ว เพื่อตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ และขว้างให้บรรดาแขกเหรื่อแต่ละคนทันที  
          “ปู่! อย่าแค้นเคืองเลยน่า พิกัดตรงนี้ทำเลดีนัก ทั้งยังเป็นเวลากลางค่ำกลางคืนแล้วด้วย ท่านจะไล่พวกข้าไปนอนค้างที่ไหนกัน? อยู่รวม ๆ กันสิดี อุ่นใจกว่าเยอะ” หลังกัดเนื้อนุ่มไปเต็มคำ ริมฝีปากเลยเปื้อนเลือดสด อัศวินก็พยายามพูดขออยู่ต่อให้ได้ โดยมาดิชกำลังใช้สองมือจับอาหารยัดใส่ปากอย่างรวดเร็ว ปานกลัวโดนแย่งชิงเชียวล่ะ
          “... ข้าโชคไม่ดีตั้งแต่เกิด หากพวกเจ้าเป็นอะไรไป? จะมาคาดโทษกันมิได้นะ ขอบอก” มาดิชกล่าวอู้อี้ด้วยอาหารที่เต็มลำคอ โลหิตไหลรินข้างมุมปากสู่เครายาวขาวและแหมะ ๆ ลงพื้น
          “โธ่! เรื่องแบบนี้น่ะ สามารถใช้พลังฝีมือแก้ไขทุกเรื่องราว ข้าก็นึกว่าเป็นเรื่องอะไรซะอีก หากคิดเช่นนี้ คงจะเสี่ยงเอากำไรไม่ได้อีกแล้ว ฮา ๆ” ทำให้สาลีบี้ต้องประกาศขึ้นมาในทันใด
          “... นี่ข้าเตือนแล้ว อย่ามาเสียใจล่ะ เพิ่งจะมีวาสนาได้พบกัน เลยไม่อยากให้ซวยด้วย” ขณะที่กำลังเคี้ยวของในปากจับ ๆ มาดิชขบคิดอยู่แวบหนึ่ง แล้วจึงชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจัง พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยเสียงอันเคร่งขรึม
          “...” สาลีบี้แค่ยิ้มโต้ตอบเท่านั้นและก็ยกเนื้อย่างโชกเลือดขึ้นมากัดกิน
          (ไร้มารยาททางสังคมจริง ๆ นี่ล่ะน่า คนป่าคนดอย) เขานึกในใจ
          (เอาเถอะ มีจำนวนมากขึ้นหน่อย มันก็มิต่างกันนักหรอก) มาดิชเองก็คิดตามเช่นกัน เมื่อเหล่ตาหรี่ ๆ มองไปรอบ ๆ อย่างมิใสใจอะไร ก่อนกลืนอาหารลงกระเพราะไป รวมกับยื่นมือหยิบก้อนหินในกองไฟที่ร้อนฉ่า ๆ ขึ้นกับกัดราวกับผลแอปเบิ้ล มันสร้างความประหลาดใจแด่ผู้พบเห็นมิใช่น้อยจริง ๆ 
          โดยในจังหวะนี้เอง สายลมซึ่งเคยพัดผ่านให้เย็นสบายกันก็หยุดไปซะเฉย ๆ ใบไม้ยอดหญ้าจึงนิ่งตาม ทว่ากลับเริ่มบังเกิดหมอกหนาขึ้นมาแทนที่ ครั้นค่อย ๆ ล่ามครอบคลุมทั้งบริเวณอย่างช้า ๆ ให้ไม่มีใครรู้สึกตัวแม้แต่น้อย นอกจากมาดิชและสมาชิกร่วมทีมของเขาเท่านั้น ส่วนพวกคนนอกยังลิ้มรสชาติไม่เพียงพอ เลยขยับปากขบกัดกันต่อไป
          (มาอีกวันแล้ว ข้าล่ะ เซ็งมากจริง ๆ) ดิวทราในเคราขาวคิดขึ้น ขณะที่เสกคันเกาทัณฑ์จิ๋วของเขาออกมาในมือ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่