ดินเนอร์มื้อคำสุดหรูในวันนี้นัทจะพาทุกคนไปดื่มด่ำกับสีสันและงานศิลปะ
ที่ถ่ายทอดผ่านเมนูอาหารไทยรังสรรค์โดยเชฟพิม เตชะมวลไววิทย์
ซึ่งเชฟพิมเป็นเชฟคนไทยที่มีดีกรีระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว
จากร้าน Nahm ( น้ำ )
ร้านอาหารไทยที่เป็นแบบฟูลคอร์ส
ส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยวิธีการเสิร์ฟสไตล์นี้กับอาหารฝรั่งเศส หรืออาหารโซนยุโรป
แต่วันนี้เราจะได้เห็นเมนูอาหารไทยที่มีแรงบันดาลใจจากความรัก
และการเอาใจใส่ในสำรับคาวหวานของคุณย่า คุณยาย
สืบทอดกันมาถึงรุ่นลูก รุ่นหลานในปัจจุบัน
ที่มาในรูปโฉมใหม่ ผสมผสานรสชาติแบบไทยกับศิลปะการตกแต่งอย่างตะวันตกได้อย่างดี
เมนูแต่ละอย่างล้วนจัดลำดับการรับรสชาติอาหารของมนุษย์เอาไว้แล้ว
อย่าง Appetizer จานแรกที่ได้ชิม คือ
ขนมเบื้องหน้ากุ้ง
รสชาติหวานเค็มเข้มข้นกำลังดี ตัวแป้งที่ทำได้บางกรอบเสมอกันทั้งแผ่น
ทำให้รับรสชาติหน้าขนมเบื้องได้อย่างเต็มที่
เปิดประสาทรับรสให้อยากชิมจานต่อๆไป
ปูซ่อนกลิ่น
จานนี้ประทับใจไม่แพ้กัน ด้วยรสชาติที่จัดจ้านอย่างไทย เปรี้ยว เค็ม เผ็ด
และความหวานจากเนื้อปูที่เข้ากันอย่างลงตัวกับข้าวตังกรอบๆ มาพอดีคำ
เวลาเคี้ยวกลิ่นหอมของเนื้อปูและข้าวตังเข้ากันดี
กระตุ้นความอยากอาหารได้ไม่น้อย
เมี่ยงนพเก้า
เป็นเมี่ยงที่มีเนื้อล็อบสเตอร์ ผสมกับมะม่วงและสมุนไพรต่างๆ
รสชาติหวานอมเปรี้ยว สดชื่นเหมือนเราได้กินผลไม้สดๆ ก่อนจะเริ่มเมนูอาหารคาวต่อไป
การจัดลำดับค่อยๆแทรกรสชาติต่างๆเพิ่มขึ้นมาตามลำดับเมนู
จานต่อไปคือ
ยำผักผลไม้อย่างทวาย
อันนี้ถ้าใครเคยกินยำถั่วพูก็จะนึกรสชาติออก
เครื่องแกงเข้มข้นขึ้น ผักสดหลากหลาย เหมาะกับสาย healthy
งบทะเล จานนี้เด็ด!
รสเผ็ดกำลังดี คล้ายห่อหมกทะเลแต่กินคู่กับข้าวตัง
เพิ่มรสสัมผัสในการเคี้ยวแปลกใหม่ดี
ปกติเวลากินห่อหมกเราจะเจอเนื้อปลาที่นุ่มๆเพียงอย่างเดียว
แต่งบทะเลนอกจากจะได้ลิ้มรสของทะเลที่สดไม่มีกลิ่นคาวแล้ว
ยังได้ความกรอบหอมจากข้าวตังอีกด้วย
ลาบคั่วไก่ต๊อก
ถ้าใครเคยลิ้มรสชาติของลาบทางภาคเหนือ ไทยใหญ่
คงถูกปากกับจานนี้อย่างแน่นอนเพราะกลิ่นสมุนไพรชัด
แกล้มกับผักสดสักหน่อย อร่อยเพลิน
ก่อนจะมาถึงเมนูหลัก ทางเชฟพิมก็เซอร์ไพรส์พวกเราด้วย
ข้าวเขียว
แค่ชื่อก็ชวนสงสัยแล้วว่า ข้าวเขียวคืออะไร?
ข้าวเขียวเป็นข้าวอ่อนที่ยังมีสีเขียวอยู่ ไม่ขัดสี
กลิ่นหอมเหมือนเราไปเดินอยู่กลางทุ่งนา แล้วได้กลิ่นข้าวอ่อนๆ
เมล็ดข้าวอวบมีสีน้ำตาลอ่อนๆและเหนียวนุ่ม
อร่อยจนต้องขอเติมข้าวอีก
ต้มกะทิไก่ใส่มะม่วงเปรี้ยว
อันนี้เป็นเมนูโบราณหน้าตาประมาณต้มข่าไก่
แต่ไม่จัดจ้านเท่าเพราะเชฟต้องการชูรสชาติอันหอมมันของกะทิสดแท้ๆ
เริ่มต้นทำเองตั้งแต่การขูดมะพร้าว และคั้นเองกับมือ ที่หาชิมได้ยาก
น้ำพริกไหม้ ใส่มะขามป้อม
เมนูนี้นัทไม่ได้ชิมด้วยตัวเองเพราะไม่กินเนื้อ
ได้แต่สอบถามเพื่อนๆเอาว่ารสชาติเป็นอย่างไร
ก็ได้บทสรุปมาว่าเนื้อวากิวนุ่มลิ้นอร่อยลืม
กะปิพล่าพริกไทยอ่อน
เมนูนี้แปลกตา แปลกใจ ไม่เคยกินมาก่อน
กลิ่นกะปิจากชุมพรหอมกลมกล่อมรสเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดกำลังดี
จัดคู่กับไข่ต้มยางมะตูมเพิ่มความหอมมันเข้าไป ลงตัวอย่างที่สุด
แกงปูใบชะพลู
เครื่องแกงจัดจ้าน เนื้อปูแน่น กลมกล่อมหอมมัน
จานนี้ส่วนตัวนัทชอบมากเหมือนกัน
เพราะรสชาติเข้มข้น หอมกะทิสด กินไม่เบื่ออยากขออีกจาน
ให้ 10/10
แกงป่าหมูสมุนไพรใส่ข้าวคั่ว
เนื้อหมูนุ่มดี เผ็ดกลางๆ กินได้เรื่อยๆ
จานนี้เชฟแนะนำให้เราฟังว่าใช้ส่วนสันคอและคางหมู
เพื่อให้ความรู้สึกเวลาที่เคี้ยวไปมีความหวานนุ่ม
เข้ากับน้ำแกง
กุ้งแม่น้ำผัดชะคราม
จานนี้ให้คะแนนเต็มสิบเอาใจนัทไปเลย เพราะกุ้งหอมหวานมาก
เนื้อเด้งกรอบ เชฟบอกว่ายังว่ายน้ำอยู่เลย
ดังนั้นไม่ต้องสืบเรื่องความสด รสชาติหอมเค็มนำ เผ็ดแต่ไม่มาก
อาจจะเพราะนัทเป็นคนทานรสจัดเลยรู้สึกว่ากำลังดี
น้ำพริกโศกา
จานนี้เตรียมน้ำตากันได้เลย
เพราะกินเสร็จแล้วน้ำตาไหลกันสมชื่อเมนู เผ็ดร้อน
แต่อร่อยลงตัวกินคู่กับหมูกรอบ เจริญอาหารดีค่ะ
มาถึงเมนูสุดท้ายของอาหารคาว
ผัดผักกูดไฟแดง
ที่เชฟบอกกับเราว่าที่มาของความกรอบแต่ยังคงความสด
คือไฟที่แรงจัดแล้วแค่เอาผักไปผ่านกระทะ
ต้องอาศัยความชำนาญและการปรุงที่แม่นยำ
เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
ช่วงเปลี่ยนรสชาติ เขาจะเสิร์ฟ
ไอศกรีมดอกกระวาน
รสชาติหวาน เย็น มีความฝาดลิ้นเพื่อปรับการรับรส
ตอนชิมเข้าไปคำแรก รู้สึกเหมือนถูกแปรงฟันทั้งที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร
เป็นการปรับประสาทการรับรสได้เฉียบพลัน หมดจดดีค่ะ
มาถึงเวลาที่เรารอคอย เมนูของหวานที่ทำจากข้าวทั้งจาน
ไอศกรีมข้าว ข้าวหมาก ข้าวเกรียบว่าว
อร่อยหอมหวาน
แต่ตัวข้าวหมากนี่แรงมาก
เห็นคำเล็กๆแต่ฤทธิ์เยอะน่าดูต้องทานคู่ไอศกรีมข้าว ละมุนดี
ตอนเปิด เปิดด้วยขนมเบื้องหน้ากุ้ง และตอนปิดก็ตบท้ายด้วย
ขนมเบื้องหน้าหวาน
รสชาติกำลังดีไม่หวานเลี่ยน เหมือนว่าจะฝานเปลือกมะนาวลงไปนิดหน่อย
ทำให้ตัวขนมไม่หวานเลี่ยนและดับกลิ่นอาหารในปากได้ดี
กินคู่กับชาเอิร์ลเกรย์
มาถึงเมนูปิดท้าย
เขาจะมีทั้งชา และกาแฟให้เราได้เลือกหลากหลาย
ใครชอบเมนูไหนก็สามารถบอกกับพนักงานได้เลยค่ะ แต่ที่นัทเลือก
เป็นชา เอิร์ลเกรย์ แล้วเขายังมีขนมปิดท้ายให้ทานเล่นกันด้วย
คอร์สที่นัทไปทานอยู่ที่ราคา 3,200 บาท
แต่รสชาติและบรรยากาศคุ้มเกินราคาไปไกล ใครกำลังมีแพลนดีๆ
จะพาคนรักไปดินเนอร์ ขอแต่งงาน หรือ
จะเป็นโอกาสพิเศษต่างๆ นัทว่าที่ Nahm Restaurant
เป็นที่นึงที่น่าจะสร้างความประทับใจให้กับคุณได้ไม่น้อยเลยค่ะ
[SR] Nahm Restaurant มันจะดีแค่ไหน? หากเราได้ชิมอาหารไทย จากเชฟคนไทยที่มีดีกรีระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาว
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ข้อมูลเพิ่มเติม