พรุ่งนี้ 5 มิถุนายน 2562 จะมีการประชุมรัฐสภา
ถ้าเหตุการณ์ไม่วุ่นวายมาก อาจจะมีการโหวตเพื่อหา นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย
(ถ้าได้คนเดิมก็จะนับเป็นคนที่ 29 )

การเลือกนายกฯครั้งนี้ ตัวแปรที่สำคัญกลับไม่ใช่พรรคการเมืองที่ผ่านสนามเลือกตั้งอย่างยากลำบาก
แต่กลับเป็น ส.ว สรรหา 250 คน ที่มาแบบสบายๆ จะเป็นตัวชี้ขาด

หลายวันนี้ จะเห็นได้ว่า ส.ว ตัวหลักๆที่ได้รับการแต่งตั้งมาตลอดสิบกว่าปีนี้ ต่างออกมาเคลื่อนไหว
ชี้นำทั้ง ส.ว และชี้นำไปถึงประชาชน โดยให้เหตุผลไปต่างๆนานา เช่น
เพื่อความต่อเนื่อง , เพื่อความสงบสุข , ร.ธ.น และ คำถามพ่วง ผ่านประชามติแล้ว.....ฯลฯ

ฟังข้ออ้างที่คนกลุ่มนี้นำมาอ้างแล้ว
เหลวไหลทั้งเพ
เหตุผลที่ จขกท ไม่เห็นด้วย หลักๆมี 3 ข้อ คือ
http:1 การลงคะแนนประชามติ ไม่ยุติธรรม 2 คำถามพ่วง ไม่เคลียร์ และมีลักษณะชี้นำ 3 คุณสมบัติและหน้าที่ของ ส.ว มีปัญหา

1
การลงคะแนนประชามติ ไม่ยุติธรรม ประชาชนไม่ได้รับการชี้แจงให้เข้าใจโดยสุจริต
ก่อนการลงมติ 7 สิงหาคม 2559 มีการออก พรบ การออกเสียงประชามติ ฯ

ซึ่งใน พรบ ฉบับนี้ ก็ระบุชัดเจนถึง เสรีภาพของประชาชนทั้งการแสดงความคิดเห็นและการเผยแพร่ข้อมูล

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง มีการจับกุมคนไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญนี้ มากมาย
แม้กระทั่งการใส่เสื้อ รับหรือไม่รับร่าง ก็เป็นความผิด
https://ilaw.or.th/node/4168
ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ถือว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินเลย ซึ่งเป็นข้อห้ามในมาตรา 56 ของ พ.ร.บ นี้

นอกจากประชาชนจะถูกจำกัดเสรีภาพรับรู้ข้อมูลทั้งสองด้านแล้ว
ในด้านเนื้อหาของ ร.ธ.น ฉบับนี้ ยังมีหลายหมวดหลายข้อ ที่เป็นปัญหามากมาย
ที่เห็นชัดที่สุดตอนนี้ คือ
การคำนวน ส.ส บัญชีรายชื่อ ทำให้มีพรรคเล็กมากเกินไป
เกิดการต่อรองผลประโยชน์จนวุ่นวาย
ซึ่งสังคมส่วนใหญ่ยอมรับแล้วว่า ต้องแก้ไขโดยด่วน

นี่ยังไม่นับรวมกับอีกหลายหมวดหลายมาตรา โดยเฉพาะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ที่ออกหลังจากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว จำนวน 10 ฉบับ ตามมาตรา 267


ถึงแม้ว่า รัฐธรรมนูญ จะผ่านประชามติไปด้วยคะแนน 16,820,402 คะแนน
แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่ประกาศว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
มีคะแนนรวมกันคร่าวๆเกิน 20 ล้านเสียง เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่จะอ้าง ร.ธ.น ฉบับนี้ ก็ควรจะหมดไป
อีกประการหนึ่ง พูดกันเหลือเกินว่า ร.ธ.น ผ่านประชามติแล้ว ห้ามแก้ไข
แล้วเมื่อคราว ร.ธ.น ปี 2550 ก็ผ่านประชามติเหมือนกัน ทำไมยอมให้ฉีก หน้าตาเฉย
หรือว่า ใครจะแก้ ใครจะฉีก ขอให้ฝั่งตัวเองได้ประโยชน์ ก็ยอมรับได้
แต่ถ้าฝั่งตัวเองเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ ก็จะไม่ยอม

2
คำถามพ่วง มีลักษณะ ชี้นำ คลุมเครือ
2.1
การขึ้นต้นประโยคว่า
เพื่อให้การปฎิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์....
ณ.เวลานั้น เนื้อหาของแผนยุทธศาสตร์...ยังไม่มี มีแค่ระบุใน
รัฐธรรมนูญมาตรา 65 ว่าต้องมีเท่านั้น
เนื้อหาทั้งหมดของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา
วันที่ 13 ตุลาคม 2561 นี่เอง
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/082/T_0001.PDF
2.2 ในท้ายประโยคของคำถามพ่วง ใช้คำว่า
"ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา"
ต้องยอมรับความจริงกันว่า คนทั่วไปไม่รู้ว่า ส.ว ไม่ใช่ 200 คนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107
แต่เป็น 250 คน ตามมาตรา 269 ในบทเฉพาะกาล
และที่สำคัญ ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ส.ว จะฟรีโหวต ไม่เป็นสภาตรายาง

3
ที่มาของ ส.ว
ในรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 107 ระบุให้มี ส.ว 200 คน ซึ่งต้องมาจากหลากหลายอาชีพ
และมีคุณสมบัติและข้อห้ามหลายข้อ 1 ในจำนวนนั้นคือ ต้องไม่เป็นรัฐมนตรีมาก่อน
หรือถ้าเคยเป็นต้องพ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี


แต่ในบทเฉพาะกาลมาตรา 269 กลับกำหนดจำนวน ส.ว เพิ่มเป็น 250 คน
อาชีพก็ไม่หลากหลาย แต่กลับกระจุกตัวอยู่ที่
ข้าราชการทหาร
หนำซ้ำคุณสมบัติที่น่าจะเป็นมาตรฐานของ ส.ว กลับถูกยกเลิกไป เช่น
อนุญาตให้ รัฐมนตรี ที่เพิ่งพ้นตำแหน่ง มาเป็น ส.ว ได้ เป็นต้น

จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นว่า การกล่าวอ้างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ผ่านประชามติ
ไม่สมเหตุสมผล
ประกอบกับที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว ชุดนี้ ไม่โปร่งใสและไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเท่าที่ควร
เมื่อที่มาและเหตุผลเป็นดังนี้
ความชอบธรรมของ ส.ว ชุดนี้ ก็ไม่สมบูรณ์ จึง
ควรงดออกเสียง ในการเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้
เพื่อแสดงถึงมาตรฐานความรับผิดชอบที่พึงมีต่อประเทศชาติ !!!
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ถ้าพรรคพลังประชารัฐ รวบรวมเสียงไม่ถึง 250 เสียง
ส.ว ยิ่งไร้ความชอบธรรมที่จะโหวตหนุน แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐ
เพราะการสนับสนุนพรรคเสียงข้างน้อยในสภา ให้ได้เป็นรัฐบาล
เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยและประเทศชาติอย่างสิ้นเชิง
และจะทำให้สังคมไทยแตกแยก และ ไร้ทางออก ตามมาด้วยวิกฤตการณ์เหมือนเมื่อในอดีต ในที่สุด
ป.ล ไม่ได้หวังให้ ส.ว มีสำนึก เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องดักคอไว้ว่า
อย่าคิดว่าประชาชนจะรู้ไม่ทันพฤติกรรม
ป.ล 2 เม้นท์ย่อย จะมีคุณสมบัติของ ส.ว บางคนที่ไม่เหมาะสม
ป.ล 3 ในเม้นท์ย่อยจะมีการแฉ การไร้ความรับผิดชอบในการทำงานของ ส.น.ช ชุดที่แล้ว
ที่จำนวนมากตามมาเป็น ส.ว ชุดนี้
ป.ล 4 เห็นคำพูดของ ส.ว บางคน กร่าง เหมือนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่เห็นหัวประชาชน
ดูแล้วอยาก
cnck
ส.ว อย่าสวนทาง.....เจตนารมณ์ของประชาชน.....อย่าทำให้สังคมไม่มีทางออก cnck
ถ้าเหตุการณ์ไม่วุ่นวายมาก อาจจะมีการโหวตเพื่อหา นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของไทย
(ถ้าได้คนเดิมก็จะนับเป็นคนที่ 29 )
การเลือกนายกฯครั้งนี้ ตัวแปรที่สำคัญกลับไม่ใช่พรรคการเมืองที่ผ่านสนามเลือกตั้งอย่างยากลำบาก
แต่กลับเป็น ส.ว สรรหา 250 คน ที่มาแบบสบายๆ จะเป็นตัวชี้ขาด
หลายวันนี้ จะเห็นได้ว่า ส.ว ตัวหลักๆที่ได้รับการแต่งตั้งมาตลอดสิบกว่าปีนี้ ต่างออกมาเคลื่อนไหว
ชี้นำทั้ง ส.ว และชี้นำไปถึงประชาชน โดยให้เหตุผลไปต่างๆนานา เช่น
เพื่อความต่อเนื่อง , เพื่อความสงบสุข , ร.ธ.น และ คำถามพ่วง ผ่านประชามติแล้ว.....ฯลฯ
ฟังข้ออ้างที่คนกลุ่มนี้นำมาอ้างแล้ว เหลวไหลทั้งเพ
เหตุผลที่ จขกท ไม่เห็นด้วย หลักๆมี 3 ข้อ คือ
http:1 การลงคะแนนประชามติ ไม่ยุติธรรม 2 คำถามพ่วง ไม่เคลียร์ และมีลักษณะชี้นำ 3 คุณสมบัติและหน้าที่ของ ส.ว มีปัญหา
1 การลงคะแนนประชามติ ไม่ยุติธรรม ประชาชนไม่ได้รับการชี้แจงให้เข้าใจโดยสุจริต
ก่อนการลงมติ 7 สิงหาคม 2559 มีการออก พรบ การออกเสียงประชามติ ฯ
ซึ่งใน พรบ ฉบับนี้ ก็ระบุชัดเจนถึง เสรีภาพของประชาชนทั้งการแสดงความคิดเห็นและการเผยแพร่ข้อมูล
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง มีการจับกุมคนไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญนี้ มากมาย
แม้กระทั่งการใส่เสื้อ รับหรือไม่รับร่าง ก็เป็นความผิด
https://ilaw.or.th/node/4168
ซึ่งการกระทำในลักษณะนี้ถือว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินเลย ซึ่งเป็นข้อห้ามในมาตรา 56 ของ พ.ร.บ นี้
นอกจากประชาชนจะถูกจำกัดเสรีภาพรับรู้ข้อมูลทั้งสองด้านแล้ว
ในด้านเนื้อหาของ ร.ธ.น ฉบับนี้ ยังมีหลายหมวดหลายข้อ ที่เป็นปัญหามากมาย
ที่เห็นชัดที่สุดตอนนี้ คือ การคำนวน ส.ส บัญชีรายชื่อ ทำให้มีพรรคเล็กมากเกินไป
เกิดการต่อรองผลประโยชน์จนวุ่นวาย
ซึ่งสังคมส่วนใหญ่ยอมรับแล้วว่า ต้องแก้ไขโดยด่วน
นี่ยังไม่นับรวมกับอีกหลายหมวดหลายมาตรา โดยเฉพาะพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ที่ออกหลังจากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว จำนวน 10 ฉบับ ตามมาตรา 267
ถึงแม้ว่า รัฐธรรมนูญ จะผ่านประชามติไปด้วยคะแนน 16,820,402 คะแนน
แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่ประกาศว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้
มีคะแนนรวมกันคร่าวๆเกิน 20 ล้านเสียง เพราะฉะนั้น ความชอบธรรมที่จะอ้าง ร.ธ.น ฉบับนี้ ก็ควรจะหมดไป
อีกประการหนึ่ง พูดกันเหลือเกินว่า ร.ธ.น ผ่านประชามติแล้ว ห้ามแก้ไข
แล้วเมื่อคราว ร.ธ.น ปี 2550 ก็ผ่านประชามติเหมือนกัน ทำไมยอมให้ฉีก หน้าตาเฉย
หรือว่า ใครจะแก้ ใครจะฉีก ขอให้ฝั่งตัวเองได้ประโยชน์ ก็ยอมรับได้
แต่ถ้าฝั่งตัวเองเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ ก็จะไม่ยอม
2 คำถามพ่วง มีลักษณะ ชี้นำ คลุมเครือ
2.1 การขึ้นต้นประโยคว่า
เพื่อให้การปฎิรูปประเทศเกิดความต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์....
ณ.เวลานั้น เนื้อหาของแผนยุทธศาสตร์...ยังไม่มี มีแค่ระบุในรัฐธรรมนูญมาตรา 65 ว่าต้องมีเท่านั้น
เนื้อหาทั้งหมดของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 13 ตุลาคม 2561 นี่เอง
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/A/082/T_0001.PDF
2.2 ในท้ายประโยคของคำถามพ่วง ใช้คำว่า "ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา"
ต้องยอมรับความจริงกันว่า คนทั่วไปไม่รู้ว่า ส.ว ไม่ใช่ 200 คนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107
แต่เป็น 250 คน ตามมาตรา 269 ในบทเฉพาะกาล
และที่สำคัญ ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ส.ว จะฟรีโหวต ไม่เป็นสภาตรายาง
3 ที่มาของ ส.ว
ในรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 107 ระบุให้มี ส.ว 200 คน ซึ่งต้องมาจากหลากหลายอาชีพ
และมีคุณสมบัติและข้อห้ามหลายข้อ 1 ในจำนวนนั้นคือ ต้องไม่เป็นรัฐมนตรีมาก่อน
หรือถ้าเคยเป็นต้องพ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี
แต่ในบทเฉพาะกาลมาตรา 269 กลับกำหนดจำนวน ส.ว เพิ่มเป็น 250 คน
อาชีพก็ไม่หลากหลาย แต่กลับกระจุกตัวอยู่ที่ ข้าราชการทหาร
หนำซ้ำคุณสมบัติที่น่าจะเป็นมาตรฐานของ ส.ว กลับถูกยกเลิกไป เช่น
อนุญาตให้ รัฐมนตรี ที่เพิ่งพ้นตำแหน่ง มาเป็น ส.ว ได้ เป็นต้น
จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นว่า การกล่าวอ้างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ผ่านประชามติ
ไม่สมเหตุสมผล
ประกอบกับที่มาและคุณสมบัติของ ส.ว ชุดนี้ ไม่โปร่งใสและไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเท่าที่ควร
เมื่อที่มาและเหตุผลเป็นดังนี้
ความชอบธรรมของ ส.ว ชุดนี้ ก็ไม่สมบูรณ์ จึง ควรงดออกเสียง ในการเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้
เพื่อแสดงถึงมาตรฐานความรับผิดชอบที่พึงมีต่อประเทศชาติ !!!
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ
ถ้าพรรคพลังประชารัฐ รวบรวมเสียงไม่ถึง 250 เสียง
ส.ว ยิ่งไร้ความชอบธรรมที่จะโหวตหนุน แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐ
เพราะการสนับสนุนพรรคเสียงข้างน้อยในสภา ให้ได้เป็นรัฐบาล
เป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยและประเทศชาติอย่างสิ้นเชิง
และจะทำให้สังคมไทยแตกแยก และ ไร้ทางออก ตามมาด้วยวิกฤตการณ์เหมือนเมื่อในอดีต ในที่สุด
ป.ล ไม่ได้หวังให้ ส.ว มีสำนึก เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ต้องดักคอไว้ว่า
อย่าคิดว่าประชาชนจะรู้ไม่ทันพฤติกรรม
ป.ล 2 เม้นท์ย่อย จะมีคุณสมบัติของ ส.ว บางคนที่ไม่เหมาะสม
ป.ล 3 ในเม้นท์ย่อยจะมีการแฉ การไร้ความรับผิดชอบในการทำงานของ ส.น.ช ชุดที่แล้ว
ที่จำนวนมากตามมาเป็น ส.ว ชุดนี้
ป.ล 4 เห็นคำพูดของ ส.ว บางคน กร่าง เหมือนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่เห็นหัวประชาชน
ดูแล้วอยาก
cnck