ที่มาของบทความ เนชั่นสุดสัปดาห์ NationWeekend
เจ้าของกระทู้เข้าใจถึงการติดหล่ม การแก้ยาก โปรดดูแผนภาพด้านล่างนี้ก่อนอ่านบทความจาก NationWeekend
พรรคเพื่อไทย สานต่อความสัมพันธ์กับ พรรคประชาชน ต่อการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เฉพาะประเด็น “เพิ่ม หมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ผ่านกลไกของ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (สสร.)
ทั้ง 2 พรรค วางโมเดล ที่มาของ “สสร.” ไว้คล้ายกัน คือ มีกระบวนการเลือก 2 ชั้น โดย ชั้นแรก ให้มาจากการเลือกของ “ประชาชน” ใน 77 จังหวัด จากนั้นให้ “รัฐสภา” เป็นผู้คัดสรรในชั้นที่สอง ซึ่งเป็นวิธีที่ทั้ง 2 พรรค มองว่าเป็นวิธีเลี่ยง ที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ที่ปิดทาง “สสร.” มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่ยังพอมีช่องให้ “สสร.” ยึดโยงกับประชาชนทั้งประเทศ
ทว่าในความคล้าย พบความแตกต่างในรายละเอียด คือ “วิธีการเลือก สสร.” โดย “พรรคเพื่อไทย” ยึดโมเดลเลือกตั้งแบบง่าย คือ แนวเดียวกับการเลือกตั้ง สส.
กล่าวคือ ให้ กกต. เปิดรับสมัคร บุคคลที่จะเข้ารับการสรรหาเป็น “สสร.” แต่ละจังหวัด และให้ประชาชนเป็นผู้เลือก โดยแต่ละจังหวัดจะกำหนดสัดส่วนจำนวน สสร. ตามสัดส่วนประชากรในพื้นที่ รวมทั้งสิ้น 200 คน ซึ่งกรณีนี้ “ชลน่าน ศรีแก้ว” สส.น่าน ฐานะคณะทำงานของพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าจะปิดทาง “ระบบฮั้ว” ที่เป็นปัญหากับระบบเลือกกันเองของ “สว.กลุ่มอาชีพ” มาแล้ว
“เมื่อได้ สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 200 คน แล้ว ให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 100 คนโดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมี สสร. เป็นตัวแทนจากทุกจังหวัด ตามสัดส่วนที่คำนวณผ่านฐานประชากร อย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน” นพ.ชลน่าน ระบุ
ขณะที่ “พรรคประชาชน” ตามไอเดียของ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” ออกแบบให้มี สสร. จากการเลือกตั้ง 200 คน มาจากการเลือก 2 ระบบคือ เลือกตั้งผ่านระบบเขตจังหวัด 100 คน เพื่อทำหน้าที่สภาที่ปรึกษาและ เลือกตั้งผ่านระบบบัญชีรายชื่อระดับประเทศ 70 คน ซึ่งระบบที่สองนี้กำหนดให้ “รัฐสภา” คัดเลือกเหลือ 35 คน เพื่อทำหน้าที่ “ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
โดยที่มา “สสร.” ตามไอเดียของ “พริษฐ์” นั้น ยังอยู่ในชั้นของการรับฟังความเห็น และอาจถูกปรับรายละเอียดเมื่อถึงคราวที่เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา ที่วางเดดไลน์ไว้ในสัปดาห์หน้า ที่ต้องยื่นต่อ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา เพื่อให้ทันต่อการปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 31 ต.ค. นี้
อย่างไรก็ดีในประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ยอมที่จะมองข้าม “เงื่อนไข” ที่เคยกาหัวว่าเป็น ปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตลอด คือ การได้รับความยินยอม และเห็นชอบด้วย จาก “สว.” ตามมาตรา 256 กำหนดให้ได้เสียงสว.สนับสนุน จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ สว.ที่มีอยู่ หรือ 67 เสียง
ประเด็นนี้ “นพ.ชลน่าน” ขยายความไว้ว่า เพื่อไม่ให้มีปัญหา ที่กระทบต่อการตัดสินใจของ สว. ที่ไม่ให้ความร่วมมือ จนนำไปสู่การปิดทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประตูสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“ตามไทม์ไลน์ที่พรรคเพื่อไทยคิดไว้ คือ ก่อนปิดสมัยประชุมเดือน ต.ค. รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และหากรัฐสภาเห็นชอบโดยไม่มีปัญหา จะผ่านเข้าสู่การตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุม เดือน พ.ย. และเมื่อเปิดสมัยประชุมอีกครั้งเดือน ธ.ค. จะเข้าสู่วาระสองและวาระสาม แต่หากมีปัญหาตั้งแต่วาระหนึ่ง เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องจบไป ไม่สามารถเสนอเรื่องให้รัฐสภาพิจารณาได้อีก" นพ.ชลน่าน ระบุ พร้อมประเมินว่าเหตุนี้มีความเป็นไปได้
แต่หากไม่แตะประเด็นที่อาจเป็นปัญหา เชื่อว่าการแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านไปได้ จนถึงการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 เข้าสู่การทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ทั่วไปหลังยุบสภาใน 4 เดือนได้ และสิ่งที่จะได้เพิ่มคือ ตั้งคำถามประชามติ 2 ข้อไปได้ในคราวเดียว” นพ.ชลน่าน ย้ำ
กับสิ่งที่ “พรรคเพื่อไทย” คาดการณ์ว่าจะเป็นปัญหา และหลบช่อง เพราะจากประสบการณ์ที่เคยถูก “สว.ชุดก่อนหน้า” ขวางทางมาแล้ว และขณะนี้มีปรากฏการณ์ จาก “สว.บางกลุ่ม” ที่ส่อใช้เทคนิคเดิมขวางทางไม่ให้รัฐสภาเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ
ตามความเคลื่อนไหวของ “สว.” เริ่มมีเค้าลางต่อการขวางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ “สภาฯ” ผ่านคำสัมภาษณ์ของ “พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์” โฆษกวิปวุฒิสภา ที่มองว่า การริเริ่มแก้รัฐธรรมนูญของสภาฯไม่ใช่การแก้แค่เนื้อหา แต่คือ การฉีกแล้วร่างใหม่ ดังนั้นกระบวนการต้องเริ่มจากการทำประชามติถามประชาชนก่อน ไม่ใช่ให้รัฐสภาริเริ่ม
ดังนั้นความพยายามหลบหลีก เงื่อนไขขัดแย้ง ที่อาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์และการได้รับความร่วมมือจาก “สว.ชุดปัจจุบัน” ออกไป อาจทำให้ด่านแรกของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผ่าน “ป้อม สว.” ไปได้
นอกจากนั้นในมุมทางการเมือง หากถอนฟืนจากกองไฟได้ อาจได้ประโยชน์ต่อที่สอง คือปิดช่อง ที่ “พรรคภูมิใจไทย” อาจยืมมือ “สว.” ให้เป็นตัวช่วย - ต่อรอง ยืดการยุบสภา ตามข้อตกลงทางการเมืองได้
อย่างไรก็ดีในเกมแก้รัฐธรรมนูญ ที่ “พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาชน” ผลักดันและเสนอโมเดล “สสร.” ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทางอ้อมนั้น ในฟากฝั่ง “พรรคภูมิใจไทย” ยังคงรอดูท่าทีของสังคม
แม้ให้ฝ่ายกฎหมายจัดทำเนื้อหารอไว้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่า จะถ่ายโอนสิทธิการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ “ประชาชน” อย่างไร
ทั้งนี้เชื่อว่า “พรรคภูมิใจไทย” ต้องคิดให้หนัก เพราะหากแสดงตนเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว ต้องหาทางแก้เกม - ปิดทาง “ฝ่ายก้าวหน้า” ที่วางกลไกใช้ช่อง “เสียงข้างมากในสภาฯ” คุมคน-คุมทิศทาง “จัดทำรัฐธรรมนูญ” ให้ได้ในสภาฯชุดนี้
ผ่าเกมแก้รัฐธรรมนูญ รอมชอม สว. ถอนฟืนออกจากไฟ เพื่อให้ทำประชามติได้
เจ้าของกระทู้เข้าใจถึงการติดหล่ม การแก้ยาก โปรดดูแผนภาพด้านล่างนี้ก่อนอ่านบทความจาก NationWeekend
พรรคเพื่อไทย สานต่อความสัมพันธ์กับ พรรคประชาชน ต่อการยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เฉพาะประเด็น “เพิ่ม หมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ผ่านกลไกของ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” (สสร.)
ทั้ง 2 พรรค วางโมเดล ที่มาของ “สสร.” ไว้คล้ายกัน คือ มีกระบวนการเลือก 2 ชั้น โดย ชั้นแรก ให้มาจากการเลือกของ “ประชาชน” ใน 77 จังหวัด จากนั้นให้ “รัฐสภา” เป็นผู้คัดสรรในชั้นที่สอง ซึ่งเป็นวิธีที่ทั้ง 2 พรรค มองว่าเป็นวิธีเลี่ยง ที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ที่ปิดทาง “สสร.” มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่ยังพอมีช่องให้ “สสร.” ยึดโยงกับประชาชนทั้งประเทศ
ทว่าในความคล้าย พบความแตกต่างในรายละเอียด คือ “วิธีการเลือก สสร.” โดย “พรรคเพื่อไทย” ยึดโมเดลเลือกตั้งแบบง่าย คือ แนวเดียวกับการเลือกตั้ง สส.
กล่าวคือ ให้ กกต. เปิดรับสมัคร บุคคลที่จะเข้ารับการสรรหาเป็น “สสร.” แต่ละจังหวัด และให้ประชาชนเป็นผู้เลือก โดยแต่ละจังหวัดจะกำหนดสัดส่วนจำนวน สสร. ตามสัดส่วนประชากรในพื้นที่ รวมทั้งสิ้น 200 คน ซึ่งกรณีนี้ “ชลน่าน ศรีแก้ว” สส.น่าน ฐานะคณะทำงานของพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าจะปิดทาง “ระบบฮั้ว” ที่เป็นปัญหากับระบบเลือกกันเองของ “สว.กลุ่มอาชีพ” มาแล้ว
“เมื่อได้ สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน 200 คน แล้ว ให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 100 คนโดยมีเงื่อนไขคือ ต้องมี สสร. เป็นตัวแทนจากทุกจังหวัด ตามสัดส่วนที่คำนวณผ่านฐานประชากร อย่างน้อยจังหวัดละ 1 คน” นพ.ชลน่าน ระบุ
ขณะที่ “พรรคประชาชน” ตามไอเดียของ “พริษฐ์ วัชรสินธุ” ออกแบบให้มี สสร. จากการเลือกตั้ง 200 คน มาจากการเลือก 2 ระบบคือ เลือกตั้งผ่านระบบเขตจังหวัด 100 คน เพื่อทำหน้าที่สภาที่ปรึกษาและ เลือกตั้งผ่านระบบบัญชีรายชื่อระดับประเทศ 70 คน ซึ่งระบบที่สองนี้กำหนดให้ “รัฐสภา” คัดเลือกเหลือ 35 คน เพื่อทำหน้าที่ “ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
โดยที่มา “สสร.” ตามไอเดียของ “พริษฐ์” นั้น ยังอยู่ในชั้นของการรับฟังความเห็น และอาจถูกปรับรายละเอียดเมื่อถึงคราวที่เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา ที่วางเดดไลน์ไว้ในสัปดาห์หน้า ที่ต้องยื่นต่อ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา เพื่อให้ทันต่อการปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 31 ต.ค. นี้
อย่างไรก็ดีในประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ยอมที่จะมองข้าม “เงื่อนไข” ที่เคยกาหัวว่าเป็น ปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตลอด คือ การได้รับความยินยอม และเห็นชอบด้วย จาก “สว.” ตามมาตรา 256 กำหนดให้ได้เสียงสว.สนับสนุน จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของ สว.ที่มีอยู่ หรือ 67 เสียง
ประเด็นนี้ “นพ.ชลน่าน” ขยายความไว้ว่า เพื่อไม่ให้มีปัญหา ที่กระทบต่อการตัดสินใจของ สว. ที่ไม่ให้ความร่วมมือ จนนำไปสู่การปิดทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประตูสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“ตามไทม์ไลน์ที่พรรคเพื่อไทยคิดไว้ คือ ก่อนปิดสมัยประชุมเดือน ต.ค. รัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และหากรัฐสภาเห็นชอบโดยไม่มีปัญหา จะผ่านเข้าสู่การตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุม เดือน พ.ย. และเมื่อเปิดสมัยประชุมอีกครั้งเดือน ธ.ค. จะเข้าสู่วาระสองและวาระสาม แต่หากมีปัญหาตั้งแต่วาระหนึ่ง เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องจบไป ไม่สามารถเสนอเรื่องให้รัฐสภาพิจารณาได้อีก" นพ.ชลน่าน ระบุ พร้อมประเมินว่าเหตุนี้มีความเป็นไปได้
แต่หากไม่แตะประเด็นที่อาจเป็นปัญหา เชื่อว่าการแก้ไขเพิ่มเติมจะผ่านไปได้ จนถึงการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 เข้าสู่การทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้ง สส.ทั่วไปหลังยุบสภาใน 4 เดือนได้ และสิ่งที่จะได้เพิ่มคือ ตั้งคำถามประชามติ 2 ข้อไปได้ในคราวเดียว” นพ.ชลน่าน ย้ำ
กับสิ่งที่ “พรรคเพื่อไทย” คาดการณ์ว่าจะเป็นปัญหา และหลบช่อง เพราะจากประสบการณ์ที่เคยถูก “สว.ชุดก่อนหน้า” ขวางทางมาแล้ว และขณะนี้มีปรากฏการณ์ จาก “สว.บางกลุ่ม” ที่ส่อใช้เทคนิคเดิมขวางทางไม่ให้รัฐสภาเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ
ตามความเคลื่อนไหวของ “สว.” เริ่มมีเค้าลางต่อการขวางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ “สภาฯ” ผ่านคำสัมภาษณ์ของ “พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์” โฆษกวิปวุฒิสภา ที่มองว่า การริเริ่มแก้รัฐธรรมนูญของสภาฯไม่ใช่การแก้แค่เนื้อหา แต่คือ การฉีกแล้วร่างใหม่ ดังนั้นกระบวนการต้องเริ่มจากการทำประชามติถามประชาชนก่อน ไม่ใช่ให้รัฐสภาริเริ่ม
ดังนั้นความพยายามหลบหลีก เงื่อนไขขัดแย้ง ที่อาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์และการได้รับความร่วมมือจาก “สว.ชุดปัจจุบัน” ออกไป อาจทำให้ด่านแรกของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ผ่าน “ป้อม สว.” ไปได้
นอกจากนั้นในมุมทางการเมือง หากถอนฟืนจากกองไฟได้ อาจได้ประโยชน์ต่อที่สอง คือปิดช่อง ที่ “พรรคภูมิใจไทย” อาจยืมมือ “สว.” ให้เป็นตัวช่วย - ต่อรอง ยืดการยุบสภา ตามข้อตกลงทางการเมืองได้
อย่างไรก็ดีในเกมแก้รัฐธรรมนูญ ที่ “พรรคเพื่อไทย-พรรคประชาชน” ผลักดันและเสนอโมเดล “สสร.” ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ทางอ้อมนั้น ในฟากฝั่ง “พรรคภูมิใจไทย” ยังคงรอดูท่าทีของสังคม
แม้ให้ฝ่ายกฎหมายจัดทำเนื้อหารอไว้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่า จะถ่ายโอนสิทธิการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ “ประชาชน” อย่างไร
ทั้งนี้เชื่อว่า “พรรคภูมิใจไทย” ต้องคิดให้หนัก เพราะหากแสดงตนเป็นตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์รัฐธรรมนูญ 2560 แล้ว ต้องหาทางแก้เกม - ปิดทาง “ฝ่ายก้าวหน้า” ที่วางกลไกใช้ช่อง “เสียงข้างมากในสภาฯ” คุมคน-คุมทิศทาง “จัดทำรัฐธรรมนูญ” ให้ได้ในสภาฯชุดนี้