
.
ปชน.เตรียม 36 ส.ส.อภิปรายนโยบายรัฐบาลหนู ย้ำมีทั้งฮั้วส.ว.-เขากระโดง
.
วันที่ 16 กันยายน ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคประชาชนถูกกล่าวหาว่าเป็นนั่งร้านให้พรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาล ว่า เรื่องคนที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำงานของรัฐบาล และเป็นเหตุผลหนึ่งที่มีการจำกัดระยะเวลาของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยที่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยเฉพาะกาลเพื่อภารกิจบางอย่างเท่านั้น ยืนยันการตรวจสอบอย่างเข้มข้นดำเนินกับภาคประชาชนและเครือข่ายอย่างใกล้ชิด และน้อมรับเคารพเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคประชาชนเป็นนั่งร้าน ยกมือโหวตให้นายกรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย
.
แต่ชี้แจงว่ายังไงก็ตามพรรคประชาชนก็ต้องตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลสีน้ำเงิน รัฐบาลสีแดง ซึ่งหากยกมืออีกฝ่ายก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นนั่งร้านให้อีกอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ดี
.
นายวิโรจน์ ระบุว่า มั่นใจว่ารัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน และเข้าใจดีถึงความอึดอัดถึงโฉมคณะรัฐมนตรีบางคนที่ถูกข้อกังขาของสังคม แต่เชื่อว่าด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วยรัฐสภาเสียงปริ่มน้ำ ต่อให้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หน้าตารัฐมนตรียังคงวนเวียนอยู่กับกลุ่มเดิม การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนคือการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ชอบธรรมมาจากการเลือกตั้ง น้อมรับข้อต่อว่าท้วงติ่ง
.
ส่วนในวันแถลงนโยบายพรรคประชาชนจัดผู้อภิปรายไว้อย่างไรบ้างนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า
.
มีการเตรียมกรอบในระยะเวลา 4 เดือนในการประคับประคองเศรษฐกิจจะทำอย่างไร ซึ่งรับผิดชอบโดยนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน และการท้วงติงเพื่อเตือนหรือส่งสัญญาณว่าสิ่งใดไม่ควรกระทำในระยะเวลา 4 เดือนซึ่งตนเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งการฮั้ว สว.เขากระโดง และการเข้ามาของนายทุนที่เชื่อมโยงไปถึงทุนฝั่งกัมพูชา ตนและสส.อย่างน้อย 36 คนจะรวบรวมข้อมูลและอภิปรายท้วงติ่งพร้อมปักหมุดตรวจสอบ ครม.อนุทิน 1 ไว้ล่วงหน้า
.
เมื่อถามว่าการอภิปรายจะสามารถลบความครางแคลงใจว่าเป็นฝ่ายค้านจริงหรือเป็นฝ่ายรัฐบาลได้หรือไม่ นายวิโรจน์ ระบุว่า ต้องดูที่เนื้อหาสาระซึ่งเราได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเรื่องนี้ได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องคำนึงถึงเจ้าของปราสาทสายฟ้า ดำเนินการตามเนื้อผ้า เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจบทบาทของพวกเรามากขึ้นจากการอภิปราย และการตัดสินใจครั้งนี้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริง ๆ เราคำนวณแล้วว่าหากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะเปิดประตูบานแรกถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านการทำประชามติ 4 เดือนเพียงพอแล้ว และให้ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน และจะได้รัฐบาลที่มีความชอบธรรมปลดโซ่ตรวนจากรัฐธรรมนูญปี 2560
.
เมื่อถามว่ากรณีที่นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ ว่าเพราะพรรคประชาชนจึงได้โควตารัฐมนตรีคนนอกโปรไฟล์ดี ๆ เข้ามาอยู่ในครม.อนุทิน1 จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการตกลงตำแหน่งรัฐมนตรีกันมาก่อนหรือไม่ นายวิโรจน์ ระบุว่า เราไม่ประสงค์ที่จะร่วมรัฐบาลต้องการแค่รัฐบาลเสียงข้างน้อย 4 เดือนเท่านั้น หากเราคิดถึงคณิตศาสตร์การเมืองแบบดั้งเดิม สส. 10 คนต่อ 1 รัฐมนตรี ก็เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีว่าจะจัดการอย่างไรซึ่งเป็นความรับผิดชอบของนายอนุทิน
” ถ้าเขาตั้งหน้าตารัฐมนตรีที่ดีเขาก็ควรได้รับคำชมจากประชาชน ถ้าเขาตั้งรัฐมนตรีเป็นคนที่ประชาชนไม่ต้องการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบจากประชาชน นายอนุทินก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ผมว่าคุณรักชนกคงสัมภาษณ์ในลักษณะของคณิตศาสตร์มากกว่า แต่ในการเจรจาไม่มีในส่วนนี้ขอตอบสั้น ๆ ว่าเราไม่ร่วมรัฐบาล ” นายวิโรจน์กล่าว
.
สำหรับหน้าตาคณะรัฐมนตรีจะสามารถพาประเทศไปสู่เป้าหมายภายใน 4 เดือนตาม MOA หรือไม่ นายวิโรจน์ มองว่า หน้าตารัฐมนตรีก็เป็นส่วนหนึ่ง เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่พยายามจะไม่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบจากประชาชน ในวันแรกแต่ยืนยันว่าระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน รัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งมีหน้าที่ประคับประคองบ้านเมืองไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ และเชื่อว่ารัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก ได้ฉันทามติจากประชาชนจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายที่สัญญาให้กับประชาชนได้
.
“ต้องยอมรับว่ารัฐมนตรีต่อให้เป็นซุปเปอร์แมนถ้าอยู่ในสภาวะที่สภาปริ่มน้ำแบบนี้ขับเคลื่อนไปได้ยากพอสมควร เชื่อว่าหน้าตารัฐมนตรีที่ดี อย่างน้อย ๆ ก็สามารถประคับประคอง เพราะจะไม่ถูกการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาชนจะทำงานให้ราบรื่นขึ้น” นายวิโรจน์กล่าว
.
ทั้งนี้นายวิโรจน์ ยืนยันว่า จะใช้กลไกทางสภา ทั้งตั้งกระทู้ถามสด เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา กรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบรัฐบาลรวมถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งถ้าเกิดมีความชัดเจนชัดแจ้งก็จะยกมือคว่ำรัฐบาล
.
.
ปกรณ์วุฒิ แนะเลิกตรรกะแก้ปากท้องก่อนรธน. ยันทำพร้อมกันได้ ชวนเพื่อไทยผ่านกม.เป็นประโยชน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_5369927
.
‘ปกรณ์วุฒิ’ ตอก เลิกตรรกะแก้ปากท้องก่อนแก้ รธน. ชี้ทำพร้อมกันได้ จับตาพฤหัสนี้ ถกกฎหมายล้มละลาย-อากาศสะอาด ชวน ‘เพื่อไทย’ พิจารณาผ่าน กม.ที่เป็นประโยชน์กับ ปชช.
.
เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 16 กันยายน ที่รัฐสภา นาย
ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์นี้ว่า จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้มละลาย ที่ยังค้างอยู่ในระเบียบวาระการประชุม และหากมีการพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพก็จะเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ต่ออีกฉบับ คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาหลายสัปดาห์เพราะมีหลายมาตรา
.
นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับท้องถิ่น ทั้งเรื่องการจัดการบริหารราชการ และบุคลากรท้องถิ่น การจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล การกำหนดอายุผู้สมัคร และวาระการดำรงตำแหน่ง
.
เมื่อถามถึงการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะฝ่ายค้าน นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เริ่มทำงานอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ซึ่งสังคมได้รับทราบแล้วว่าเรากำลังจะมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น ได้ประสานกับพรรค พท.ตลอดเวลา ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะที่เป็นรัฐบาลและมีเสียงข้างน้อยในสภา เขาก็ต้องมาขอความร่วมมือเรื่องต่างๆ จากเรา จึงกลายเป็นความร่วมมือกันทั้ง พรรค ปชน. พรรค พท. และพรรค ภท. เพื่อกำหนดวาระการประชุมในสภา อยากเชิญชวนให้พรรค พท. ในฐานะที่เราเป็นเสียงข้างมากในสภา ผ่านกฎหมายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด
.
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันภายใน 4 เดือน นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มีความซับซ้อน จะมีก็เพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญตอบในสิ่งที่เราไม่ได้ถามไป แต่บรรยากาศการหารือของทั้งสามพรรคก็เป็นไปได้ด้วยดี เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกัน พยายามหาทางออกร่วมกัน
.
นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา พรรค ปชน.ได้มีการประชุมถึงเรื่องนี้เช่นกัน นำโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค ปชน. ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียว หากเห็นตรงกันหมดก็จะใช้เวลาไม่นาน โดยคำถามที่หนึ่งใช้มติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนคำถามที่สองอยู่ที่รัฐสภา แก้เพียงคำถามเดียว
.
เมื่อถามถึงข้อวิจารณ์ที่ระบุว่าอยากให้แก้เศรษฐกิจปากท้องมากกว่าแก้รัฐธรรมนูญ นาย
ปกรณ์วุฒิกล่าวว่า สมาชิกรัฐสภามี 700 คน คงไม่ใช้ทรัพยากรที่มีทั้งหมดทำเรื่องเรื่องเดียว ทุกเรื่องสามารถทำพร้อมกันได้ คิดว่าควรเลิกใช้ตรรกะนี้ได้แล้ว เรื่องต่างๆ มีผู้รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว ทุกอย่างทำพร้อมกันได้ ยืนยันว่ารัฐธรรมนูญนี้ถูกร่างขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมและมีอำนาจนอกระบบที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนจำนวนมาก และเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนเป็นไปได้ยาก ทุกเรื่องสอดคล้องกัน ดังนั้น จึงเห็นสมควรต้องมีการแก้ไข
.
.
นายกสมาคมทนายฯ ชงส.ว.เสนอญัตติถามวุฒิฯ พร้อมเท 67 เสียง หนุนแก้รธน. ม.256 หรือไม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5369866
.
นายกสมาคมทนายฯ ชง ส.ว.เสนอญัตติถามวุฒิฯ พร้อมเท 67 เสียง หนุนแก้ รธน. ม.256 หรือไม่
.
เมื่อวันที่ 16 กันยายน นาย
นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีบันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เสียงจาก ส.ว. รวมถึงการทำประชามติ ความดังนี้
.
บันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ
.
การตอบคำถามที่ไม่มีใครถามของศาล เกี่ยวกับประเด็นการจัดทำประชามติเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญแถมคำตอบมาให้ว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรงนั้น สร้างความรู้สึกถึงขนาดที่เรียกว่า “ช็อก” กับประชาชนที่รักประชาธิปไตยโดยทั่วถ้วนหน้า และเป็นการยืนยันคำกล่าวที่ว่า “ชนชั้นใดออกกฎหมายก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นนั้น”
.
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกร่างขึ้นโดยกลุ่มคนที่เผด็จการ คสช.แต่งตั้งขึ้น วัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเผด็จการของฝ่ายอนุรักษนิยม คนไทยจึงได้เห็นกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงนักการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและฮั้วการแต่งตั้ง ที่พยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ให้แก้ไขหรือร่างขึ้นใหม่โดยประชาชน เพราะจะทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมซึ่งนิยมเผด็จการไม่มีที่ยืนในสังคมประชาธิปไตย
.
ความจริงที่ทั้งโลกยอมรับ ซึ่งแม้แต่เผด็จการก็ยังเอาข้อความนี้มาเขียนหลอกคนไทยไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ความว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” แต่ปวงชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจกลับไม่มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดกติกาทางการเมืองของประเทศนี้ ความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นตลกร้ายทางการเมืองที่เผด็จการทิ้งไว้ให้ที่แทบจะไม่มีโอกาสแก้ไข เพราะแม้จะมีการทำประชามติและประชาชนเห็นด้วยที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้เสียง ส.ว.ลงมติเห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม (67 คน) ของ ส.ว.ทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256 (3) และ (6)
.
เพื่อเป็นทางออกให้กับประเทศและไม่ทำให้เงินงบประมาณที่จะใช้ทำประชามติสูญเปล่า ผมจึงเสนอให้ ส.ว.ที่เป็นกลางเสนอญัตติต่อประธาน ส.ว. เพื่อสอบถาม ส.ว.ที่อยู่ในตำแหน่งขณะนี้ว่า หากประชาชนลงมติผ่านกระบวนการประชามติ ต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตัวแทนของประชาชน ส.ว.ที่อยู่ในตำแหน่งจะลงมติให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 (3) และ (6) หรือไม่
JJNY : ปชน.เตรียม 36ส.ส.อภิปราย│ปกรณ์วุฒิแนะเลิกตรรกะแก้ปากท้องก่อนรธน.│นายกสมาคมทนายฯ ชงส.ว.│อังกฤษเสริมแนวป้องกัน NATO
https://www.matichon.co.th/politics/news_5370041
.
ปชน.เตรียม 36 ส.ส.อภิปรายนโยบายรัฐบาลหนู ย้ำมีทั้งฮั้วส.ว.-เขากระโดง
.
วันที่ 16 กันยายน ที่อาคารอนาคตใหม่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคประชาชนถูกกล่าวหาว่าเป็นนั่งร้านให้พรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาล ว่า เรื่องคนที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำงานของรัฐบาล และเป็นเหตุผลหนึ่งที่มีการจำกัดระยะเวลาของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยที่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน ให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยเฉพาะกาลเพื่อภารกิจบางอย่างเท่านั้น ยืนยันการตรวจสอบอย่างเข้มข้นดำเนินกับภาคประชาชนและเครือข่ายอย่างใกล้ชิด และน้อมรับเคารพเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคประชาชนเป็นนั่งร้าน ยกมือโหวตให้นายกรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย
.
แต่ชี้แจงว่ายังไงก็ตามพรรคประชาชนก็ต้องตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลสีน้ำเงิน รัฐบาลสีแดง ซึ่งหากยกมืออีกฝ่ายก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นนั่งร้านให้อีกอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ดี
.
นายวิโรจน์ ระบุว่า มั่นใจว่ารัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือน และเข้าใจดีถึงความอึดอัดถึงโฉมคณะรัฐมนตรีบางคนที่ถูกข้อกังขาของสังคม แต่เชื่อว่าด้วยรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วยรัฐสภาเสียงปริ่มน้ำ ต่อให้เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หน้าตารัฐมนตรียังคงวนเวียนอยู่กับกลุ่มเดิม การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือการคืนอำนาจให้กับประชาชนคือการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ชอบธรรมมาจากการเลือกตั้ง น้อมรับข้อต่อว่าท้วงติ่ง
.
ส่วนในวันแถลงนโยบายพรรคประชาชนจัดผู้อภิปรายไว้อย่างไรบ้างนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า
.
มีการเตรียมกรอบในระยะเวลา 4 เดือนในการประคับประคองเศรษฐกิจจะทำอย่างไร ซึ่งรับผิดชอบโดยนางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน และการท้วงติงเพื่อเตือนหรือส่งสัญญาณว่าสิ่งใดไม่ควรกระทำในระยะเวลา 4 เดือนซึ่งตนเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งการฮั้ว สว.เขากระโดง และการเข้ามาของนายทุนที่เชื่อมโยงไปถึงทุนฝั่งกัมพูชา ตนและสส.อย่างน้อย 36 คนจะรวบรวมข้อมูลและอภิปรายท้วงติ่งพร้อมปักหมุดตรวจสอบ ครม.อนุทิน 1 ไว้ล่วงหน้า
.
เมื่อถามว่าการอภิปรายจะสามารถลบความครางแคลงใจว่าเป็นฝ่ายค้านจริงหรือเป็นฝ่ายรัฐบาลได้หรือไม่ นายวิโรจน์ ระบุว่า ต้องดูที่เนื้อหาสาระซึ่งเราได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเรื่องนี้ได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องคำนึงถึงเจ้าของปราสาทสายฟ้า ดำเนินการตามเนื้อผ้า เชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจบทบาทของพวกเรามากขึ้นจากการอภิปราย และการตัดสินใจครั้งนี้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองจริง ๆ เราคำนวณแล้วว่าหากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะเปิดประตูบานแรกถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผ่านการทำประชามติ 4 เดือนเพียงพอแล้ว และให้ยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน และจะได้รัฐบาลที่มีความชอบธรรมปลดโซ่ตรวนจากรัฐธรรมนูญปี 2560
.
เมื่อถามว่ากรณีที่นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ ว่าเพราะพรรคประชาชนจึงได้โควตารัฐมนตรีคนนอกโปรไฟล์ดี ๆ เข้ามาอยู่ในครม.อนุทิน1 จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการตกลงตำแหน่งรัฐมนตรีกันมาก่อนหรือไม่ นายวิโรจน์ ระบุว่า เราไม่ประสงค์ที่จะร่วมรัฐบาลต้องการแค่รัฐบาลเสียงข้างน้อย 4 เดือนเท่านั้น หากเราคิดถึงคณิตศาสตร์การเมืองแบบดั้งเดิม สส. 10 คนต่อ 1 รัฐมนตรี ก็เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีว่าจะจัดการอย่างไรซึ่งเป็นความรับผิดชอบของนายอนุทิน
” ถ้าเขาตั้งหน้าตารัฐมนตรีที่ดีเขาก็ควรได้รับคำชมจากประชาชน ถ้าเขาตั้งรัฐมนตรีเป็นคนที่ประชาชนไม่ต้องการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบจากประชาชน นายอนุทินก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ผมว่าคุณรักชนกคงสัมภาษณ์ในลักษณะของคณิตศาสตร์มากกว่า แต่ในการเจรจาไม่มีในส่วนนี้ขอตอบสั้น ๆ ว่าเราไม่ร่วมรัฐบาล ” นายวิโรจน์กล่าว
.
สำหรับหน้าตาคณะรัฐมนตรีจะสามารถพาประเทศไปสู่เป้าหมายภายใน 4 เดือนตาม MOA หรือไม่ นายวิโรจน์ มองว่า หน้าตารัฐมนตรีก็เป็นส่วนหนึ่ง เป็นความตั้งใจของรัฐบาลที่พยายามจะไม่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบจากประชาชน ในวันแรกแต่ยืนยันว่าระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน รัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งมีหน้าที่ประคับประคองบ้านเมืองไปสู่การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ และเชื่อว่ารัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมาก ได้ฉันทามติจากประชาชนจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายที่สัญญาให้กับประชาชนได้
.
“ต้องยอมรับว่ารัฐมนตรีต่อให้เป็นซุปเปอร์แมนถ้าอยู่ในสภาวะที่สภาปริ่มน้ำแบบนี้ขับเคลื่อนไปได้ยากพอสมควร เชื่อว่าหน้าตารัฐมนตรีที่ดี อย่างน้อย ๆ ก็สามารถประคับประคอง เพราะจะไม่ถูกการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาชนจะทำงานให้ราบรื่นขึ้น” นายวิโรจน์กล่าว
.
ทั้งนี้นายวิโรจน์ ยืนยันว่า จะใช้กลไกทางสภา ทั้งตั้งกระทู้ถามสด เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา กรรมาธิการที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบรัฐบาลรวมถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งถ้าเกิดมีความชัดเจนชัดแจ้งก็จะยกมือคว่ำรัฐบาล
.
.
ปกรณ์วุฒิ แนะเลิกตรรกะแก้ปากท้องก่อนรธน. ยันทำพร้อมกันได้ ชวนเพื่อไทยผ่านกม.เป็นประโยชน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_5369927
.
‘ปกรณ์วุฒิ’ ตอก เลิกตรรกะแก้ปากท้องก่อนแก้ รธน. ชี้ทำพร้อมกันได้ จับตาพฤหัสนี้ ถกกฎหมายล้มละลาย-อากาศสะอาด ชวน ‘เพื่อไทย’ พิจารณาผ่าน กม.ที่เป็นประโยชน์กับ ปชช.
.
เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 16 กันยายน ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์นี้ว่า จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ล้มละลาย ที่ยังค้างอยู่ในระเบียบวาระการประชุม และหากมีการพิจารณาอย่างมีประสิทธิภาพก็จะเข้าสู่การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด ต่ออีกฉบับ คาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาหลายสัปดาห์เพราะมีหลายมาตรา
.
นายปกรณ์วุฒิกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับท้องถิ่น ทั้งเรื่องการจัดการบริหารราชการ และบุคลากรท้องถิ่น การจัดตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล การกำหนดอายุผู้สมัคร และวาระการดำรงตำแหน่ง
.
เมื่อถามถึงการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะฝ่ายค้าน นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เริ่มทำงานอย่างไม่เป็นทางการแล้ว ซึ่งสังคมได้รับทราบแล้วว่าเรากำลังจะมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย ดังนั้น ได้ประสานกับพรรค พท.ตลอดเวลา ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะที่เป็นรัฐบาลและมีเสียงข้างน้อยในสภา เขาก็ต้องมาขอความร่วมมือเรื่องต่างๆ จากเรา จึงกลายเป็นความร่วมมือกันทั้ง พรรค ปชน. พรรค พท. และพรรค ภท. เพื่อกำหนดวาระการประชุมในสภา อยากเชิญชวนให้พรรค พท. ในฐานะที่เราเป็นเสียงข้างมากในสภา ผ่านกฎหมายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด
.
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทันภายใน 4 เดือน นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้มีความซับซ้อน จะมีก็เพียงแค่ศาลรัฐธรรมนูญตอบในสิ่งที่เราไม่ได้ถามไป แต่บรรยากาศการหารือของทั้งสามพรรคก็เป็นไปได้ด้วยดี เพราะทุกฝ่ายเห็นตรงกัน พยายามหาทางออกร่วมกัน
.
นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา พรรค ปชน.ได้มีการประชุมถึงเรื่องนี้เช่นกัน นำโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค ปชน. ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงมาตราเดียว หากเห็นตรงกันหมดก็จะใช้เวลาไม่นาน โดยคำถามที่หนึ่งใช้มติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนคำถามที่สองอยู่ที่รัฐสภา แก้เพียงคำถามเดียว
.
เมื่อถามถึงข้อวิจารณ์ที่ระบุว่าอยากให้แก้เศรษฐกิจปากท้องมากกว่าแก้รัฐธรรมนูญ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า สมาชิกรัฐสภามี 700 คน คงไม่ใช้ทรัพยากรที่มีทั้งหมดทำเรื่องเรื่องเดียว ทุกเรื่องสามารถทำพร้อมกันได้ คิดว่าควรเลิกใช้ตรรกะนี้ได้แล้ว เรื่องต่างๆ มีผู้รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว ทุกอย่างทำพร้อมกันได้ ยืนยันว่ารัฐธรรมนูญนี้ถูกร่างขึ้นโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมและมีอำนาจนอกระบบที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนจำนวนมาก และเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนเป็นไปได้ยาก ทุกเรื่องสอดคล้องกัน ดังนั้น จึงเห็นสมควรต้องมีการแก้ไข
.
.
นายกสมาคมทนายฯ ชงส.ว.เสนอญัตติถามวุฒิฯ พร้อมเท 67 เสียง หนุนแก้รธน. ม.256 หรือไม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5369866
.
นายกสมาคมทนายฯ ชง ส.ว.เสนอญัตติถามวุฒิฯ พร้อมเท 67 เสียง หนุนแก้ รธน. ม.256 หรือไม่
.
เมื่อวันที่ 16 กันยายน นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย มีบันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องใช้เสียงจาก ส.ว. รวมถึงการทำประชามติ ความดังนี้
.
บันทึกจากนายกสมาคมทนายความฯ
.
การตอบคำถามที่ไม่มีใครถามของศาล เกี่ยวกับประเด็นการจัดทำประชามติเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญแถมคำตอบมาให้ว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรงนั้น สร้างความรู้สึกถึงขนาดที่เรียกว่า “ช็อก” กับประชาชนที่รักประชาธิปไตยโดยทั่วถ้วนหน้า และเป็นการยืนยันคำกล่าวที่ว่า “ชนชั้นใดออกกฎหมายก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นนั้น”
.
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันถูกร่างขึ้นโดยกลุ่มคนที่เผด็จการ คสช.แต่งตั้งขึ้น วัตถุประสงค์ของรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเผด็จการของฝ่ายอนุรักษนิยม คนไทยจึงได้เห็นกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงนักการเมืองทั้งที่มาจากการเลือกตั้งและฮั้วการแต่งตั้ง ที่พยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ให้แก้ไขหรือร่างขึ้นใหม่โดยประชาชน เพราะจะทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมซึ่งนิยมเผด็จการไม่มีที่ยืนในสังคมประชาธิปไตย
.
ความจริงที่ทั้งโลกยอมรับ ซึ่งแม้แต่เผด็จการก็ยังเอาข้อความนี้มาเขียนหลอกคนไทยไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ความว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” แต่ปวงชนชาวไทยที่เป็นเจ้าของอำนาจกลับไม่มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ เพื่อกำหนดกติกาทางการเมืองของประเทศนี้ ความเห็นของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นตลกร้ายทางการเมืองที่เผด็จการทิ้งไว้ให้ที่แทบจะไม่มีโอกาสแก้ไข เพราะแม้จะมีการทำประชามติและประชาชนเห็นด้วยที่จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องได้เสียง ส.ว.ลงมติเห็นชอบไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม (67 คน) ของ ส.ว.ทั้งหมด ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 256 (3) และ (6)
.
เพื่อเป็นทางออกให้กับประเทศและไม่ทำให้เงินงบประมาณที่จะใช้ทำประชามติสูญเปล่า ผมจึงเสนอให้ ส.ว.ที่เป็นกลางเสนอญัตติต่อประธาน ส.ว. เพื่อสอบถาม ส.ว.ที่อยู่ในตำแหน่งขณะนี้ว่า หากประชาชนลงมติผ่านกระบวนการประชามติ ต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยตัวแทนของประชาชน ส.ว.ที่อยู่ในตำแหน่งจะลงมติให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 (3) และ (6) หรือไม่