บทความเรื่อง นิมิตจริง & นิมิตหลอก รู้ได้อย่างไร?


สมาธิเขียนเรียงตามลำดับเริ่มจาก ขณิกสมาธิ(สมาธิในการทำงานของคนทั่วไป), อุปจารสมาธิ(สมาธิเฉียดฌาน), ฌาน1, ฌาน2, ฌาน3, ฌาน4
การฝึกสมาธิ เพื่อให้สามารถใช้ความเป็นทิพย์ของจิตได้นั้น จะมีจังหวะอยู่2ช่วง คือช่วง "อุปจารสมาธิ" และ "ฌาน4"

เปรียบเสมือน คุณไปยืนอยู่หน้าตึก 4 ชั้น แล้วสามารถมองเห็นไปได้รอบตัว(อุปจารสมาธิ)
แต่พอคุณเดินเข้าไปในตัวตึก คุณจะไม่สามารถมองเห็นสภาพภายนอกตัวตึกที่ปิดทึบได้ จนกว่าคุณจะเดินพ้นชั้นที่4 ขึ้นไปยืนบนชั้นดาดฟ้า(ฌาน4)

คุณจะสามารถใช้ความเป็นทิพย์ของจิตได้เพียงแค่สองจังหวะนี้เท่านั้น
(ส่วนฌาน5,6,7,8 จะมีกำลังสมาธิเท่ากับฌาน4 เปรียบเสมือนคุณยืนอยู่บนดาดฟ้าชั้น4 แล้วกระโดดไปยังดาดฟ้าของตึกที่สูงเท่ากันที่อยู่ข้างๆถัดไป)

การเห็นนิมิต ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือแปลกอะไร เพราะจิตยังอยู่แค่อุปจารสมาธิ ยังไม่ใช่ทิพย์จักษุญาณจริงๆ
การเห็นด้วยทิพย์จักษุญาณจริงๆนั้น โดยปกติ จะต้องเห็นด้วยกำลังของฌาน4

เพราะฉนั้น การเห็นทั่วไปของผู้ที่ฝึกสมาธิใหม่ๆนั้นก็คือ การเห็นในจังหวะช่วงที่จิตเข้าถึง อุปจารสมาธิ กันเป็นส่วนมาก เพราะยังมีกำลังฌานสมาธิน้อย
จุดสังเกตก็คือ ภาพมันจะโผล่แว่บขึ้นมาเอง แล้วก็หายไป จะไม่สามารถกำหนดย้อนดูใหม่อีกครั้งนึงได้ (นี่ก็คือ อุปจารสมาธิ ยังไม่ถึง ปฐมฌาน)
ตรงจุดนี้คือที่มาของประโยคที่ว่า "ท่านเห็นอย่างนั้นจริง แต่สิ่งที่ท่านเห็นนั้นไม่จริง" (ก็คือการเห็นนิมิตหลอก ตอนที่จิตเข้าถึง อุปจารสมาธิ)

(มีบางคนไม่เข้าใจตรงจุดนี้ คิดว่าพระอริยะสงฆ์บางรูป พูดเพ้อเจ้อว่าเห็นอะไรมากมาย แต่ความจริงท่านมีทิพย์จักษุญาณ และอาจจะเห็นด้วย ฌาน4)
(พูดตรงจุดนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า มีบางคนในเวปนี้ ตัวเขาไม่มีทิพย์จักษุญาณ แต่ดันคิดว่าพระอริยะสงฆ์ จะทำได้แค่เห็นนิมิตหลอกเหมือนที่ตัวเองฟังมา)

ถ้าอยากจะเห็นด้วยกำลังของ อุปจารสมาธิ "จะต้องเห็นด้วยการฝึกเฉพาะ" เช่น มโนมยิทธิ (มโนมยิทธิ จะเห็นได้ทั้งจังหวะ อุปจารสมาธิ และ ฌาน4)

- ถ้ายกจิตไป ดูนรก-ดูสวรรค์ โดยที่จิตยังโยงอยู่กับร่างกายตนเองด้านล่างอยู่ เป็นการใช้ "มโนมยิทธิ แบบครึ่งกำลัง" (ไปด้วยกำลังของ อุปจารสมาธิ)
- ถ้าถอดจิตไป ดูนรก-ดูสวรรค์ โดยที่ถอดจิตออกไปจากร่างกายหมดตัวเลย เป็นการใช้ "มโนมยิทธิ แบบเต็มกำลัง" (ไปด้วยกำลังของ ฌาน4)



เพราะฉนั้น จุดสังเกตสำคัญในเรื่องนี้ก็คือ คนที่มีทิพย์จักษุญาณจริงๆนั้น เขาจะสามารถกำหนดเองได้ ว่าเขาจะดูอะไร? (ให้จำตรงจุดนี้ไว้)
เช่นจะดู นรก,สวรรค์,พรหม,อดีต,ปัจจุบัน,อนาคต และจะสามารถกำหนดดูย้อนหลังได้ไม่จำกัดครั้ง (เรียกมาดูได้อีก) (นี่ถึงจะเรียกว่าของจริง)
ไม่เหมือนกับนิมิตหลอกของอุปจารสมาธิ ที่จะโผล่เข้ามาแว๊ปเดียวแล้วก็หายไป จะไม่สามารถกำหนดดูสิ่งนั้นย้อนหลังได้อีก

และการฝึกใช้ทิพย์จักษุญาณดูเรื่องต่างๆนั้น เขาจะให้คุณดูของหยาบๆก่อน เช่น เลขในธนบัตรว่ามีเลขอะไรบ้าง? (วิธีเดียวกับที่หมอดูอีทีของพม่าใช้)
เพราะว่า ถ้าคุณดูของหยาบๆ เช่น ตัวเลขในธนบัตรของคนที่คุณจะดูดวงให้ไม่ถูก นั่นแสดงว่าของละเอียดเช่น อนาคตของคนที่คุณจะดูให้ย่อมไม่ถูก
(หมอดูอีที จึงบอกว่า ถ้าวันไหนเธอดูตัวเลขในธนบัตรของคนที่เธอจะดูดวงให้ไม่ถูก เธอจะไม่ดู และไม่ต้องมาเชื่อถือเธอ ก็เพราะเหตุนี้)

ถ้าคุณไม่มีความรู้ คุณก็ควรจะฟังคนที่เขามีความรู้ อย่าเพิ่งรีบพูดอะไรโดยที่ไม่คิด จะเป็นการปรามาสพระ จะมีกรรมติดตัวคุณไปโดยใช่เหตุ

และเพื่ออยากจะบอกกับคุณว่า คนส่วนมากบนโลกนี้ ที่เป็นบาทฐานรากของวัฏสงสารนั้น มักจะเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ โดยเฉพาะไม่รู้เรื่องธรรมะชั้นสูง
การจะหาคำตอบจากคนทั่วไป จึงอาจจะทำให้คุณได้ข้อมูลที่สับสนและไขว้เขวไม่ตรงทางกลับมาแทน (เพราะคนรู้ตรงทางมีน้อย)
เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ ปฏิบัติไม่ได้-ปฏิบัติไม่ถึง จึงบอกปัดเรื่องธรรมะชั้นสูงที่ตัวเองปฏิบัติไม่ได้ว่าเป็นเรื่องเท็จไปซะอย่างนั้น คนพวกนี้มีมาก
คุณจึงควรจะต้องใช้การพินิจพิจารณาให้มากกว่าปกติ ลองฟังข้อมูลจากหลายๆด้าน หลายๆทาง เพื่อนำมาประกอบการพิจารณา



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่