** การคิดคะแนน ส.ส. ตาม รธน. 2560 : ปรากฏการณ์และผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกติกาใหม่นี้ ** (ชุนเทียน)

สวัสดีค่ะ WM และเพื่อนสมาชิกห้องราชดำเนิน

กระทู้นี้จะขอกล่าวถึงหลักการคิดคะแนน ส.ส. ตาม รธน.2560 และแสดงความเห็นวิเคราะห์ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกติกาใหม่นี้

โดยใช้สิทธิตาม รธน.2560 มาตรา 34 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
และ อยู่บนกฎ กติกา มารยาท ของเว็บไซต์พันทิป https://pantip.com/about/tos



หลักการคิดคะแนน ส.ส. ตาม รธน.2560

หากมีตรงไหนผิดพลาดหรือเพื่อนสมาชิกมีความเห็นเพิ่มเติม โปรดช่วยแนะนำ ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ


1. จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในปี 2562 นี้มีประมาณ 51.4 ล้านคน
    คิดหักบัตรเสีย และสมมติผู้มาใช้สิทธิประมาณ 80%
    จะได้คะแนนรวมทั้งประเทศให้เป็นตัวเลขกลมๆ 40 ล้านเสียง

   นำคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 40 ล้านเสียง
   หารด้วย 500 ซึ่งเป็นจำนวนทั้งหมดของ ส.ส.ทั้งสภา

   จะได้ 40,000,000/ 500  = 80,000 (คิดง่าย ๆว่า หมายถึงทุกๆ 80,000 คะแนน พรรคนั้นจะได้ ส.ส. 1 คน)

2. คิดหา ส.ส.พึงจะมีได้ของแต่ละพรรค โดยนำผลลัพธ์ตาม (1) คือ 80,000
   ไปหารจำนวนคะแนนรวมทั้งประเทศของแต่ละพรรคการเมืองที่ได้รับจากการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตทุกเขต 

   เช่น

   พรรค ก ได้คะแนน 18 ล้านเสียง เมื่อนำ 80,000 ไปหาร ก็จะได้จำนวน ส.ส.ที่พรรคจะมีได้คือ จำนวน 225 คน
   พรรค ข ได้คะแนน 12 ล้านเสียง เมื่อนำ 80,000 ไปหาร ก็จะได้จำนวน ส.ส.ที่พรรคจะมีได้คือ จำนวน 150 คน
   คิดเช่นนี้ให้ครบทุกพรรค

3. ผู้ใดได้คะแนนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเขตนั้นไม่ว่าจะได้กี่คะแนนก็ตาม ถือเป็น ส.ส.เขต
    คำนวณหา ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นจะได้รับ โดย

   จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ = ส.ส.ที่พรรคการเมืองพึงจะมีได้ - จำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตที่ได้รับ

 

เช่น พรรค ก 18 ล้านเสียง คิดเป็น ส.ส.ที่พึงจะมีได้ทั้งหมด 225 คน และได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตมา 200 คน
       พรรค ก จะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 225 - 200 = 25 คน

       พรรค ข 12 ล้านเสียง คิดเป็น ส.ส.ที่พึงจะมีได้ทั้งหมด 150 คน และได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตมา 120 คน
       พรรค ก จะได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 150 - 120 = 30 คน


ในกรณีที่พรรคใดได้ ส.ส.เขตมากกว่า ส.ส.ที่พรรคนั้นจะพึงมีได้
ให้พรรคนั้นได้จำนวน ส.ส.เท่ากับ ส.ส.เขตไปเลย และไม่ได้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ

สมมติหากมีกรณีที่มีพรรคที่ ส.ส.เขตชนะด้วยคะแนนน้อยๆ และไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
อาจทำให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เกินมาจาก 150 ที่นั่ง ต้องปรับจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อให้เหลือเท่ากับ 150 คน
ด้วยการใช้เทียบบัญญัติไตรยางค์ให้เป็นฐานของส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน
โดยกระจายตามสัดส่วน แล้วจัดสรรตัว ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ตามลำดับทศนิยมของแต่ละพรรคจากมากไปหาน้อย


ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF
https://pantip.com/topic/37731267 กติกาเลือกตั้ง ส.ส. (mixed member apportionment system หรือ MMA) จะทำให้ทุกเสียงมีความหมายจริงหรือไม่? by The Mario)
https://ilaw.or.th/node/4079
https://www.bbc.com/thai/thailand-46902175



ปรากฏการณ์และผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากกติกาใหม่นี้


1. แต่เดิมเรากาบัตร 2 ใบ เพื่อเลือก "คนที่รัก พรรคที่ชอบ"
    ซึ่งทำให้ประชาชนได้ ส.ส.เขตที่เข้าถึงปัญหาในท้องที่นั้น และได้พรรคการเมืองที่มีนโยบายถูกใจ
    แต่ ด้วยระบบใหม่นี้ ในบางเขตคุณไม่สามารถเลือก "คนที่รัก พรรคที่ชอบ" ไปพร้อมกันได้อีก
    หากคนที่คุณชอบที่ลงเขตบ้านคุณไม่ได้อยู่พรรคที่คุณเชียร์
    หรือพรรคที่คุณเชียร์ส่ง ส.ส.เขตไม่ถูกใจ คุณก็จำเป็นต้องเลือก


2. การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นคณิตศาสตร์การเมือง
    แต่ละพรรคต้องเสียเวลาและให้ความสำคัญกับการให้ได้ ส.ส.มากที่สุด
    มากกว่านโยบายที่ยั่งยืน หรือการจัดสรร ส.ส.เขตที่เหมาะกับพื้นที่นั้น

    สิ่งที่เกิดขึ้น คือ พรรคใหญ่ที่มี ส.ส.เขตมาก จะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อย  หรืออาจไม่มีเลยสักคน
    ส.ส.คุณภาพของพรรคใหญ่อาจสอบตกยกแผง

    ในขณะที่บางพรรคส่งผู้สมัครให้มากที่สุด ถึงไม่ได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำ
    แต่ถ้ารวมคะแนนทั้ง 350 เขตแล้ว ได้เกิน 80,000 คะแนน ก็อาจมีสิทธิได้ ส.ส.เข้าสภา

3. หลังเลือกตั้ง เราจะได้รัฐบาลผสมหลายพรรค พรรคการเมืองจะอ่อนแอ
   ระบบเก่าๆ เช่น การต่อรอง การฮั้ว การแบ่งเค้ก คงจะกลับมา

   การเลือกตั้งครั้งนี้ มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครลงแข่ง ส.ส.มากเป็นประวัติศาสตร์ คือ ประมาณ 80 พรรค


4. เนื่องจากกติกาใหม่นี้ มองเห็นกันได้ว่าต้องการลด ส.ส.ของพรรคการเมืองใหญ่
    เพื่อไม่ให้เกิดแลนด์สไลด์กับพรรคใหญ่บางพรรคดังที่ผ่านมา และให้พรรคที่ดูด ส.ส.จะได้เปรียบ

    แต่มีปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือ ประเทศไทยห่างการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายมาเกือบ 8 ปี
    ครั้งนี้มีคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีโอกาสได้เลือกตั้งครั้งแรก (First Vote) ประมาณ 7.5 ล้านคน
    ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งขุมพลังที่อาจทำให้เกิดแลนด์สไลด์ไปยังพรรคบางพรรคได้ (แม้จะกันพรรคใหญ่ไว้แล้วก็ตาม)

 
5. จากการเลือกตั้งล่วงหน้า วันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา จะเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย
   
   ขั้วหนึ่งของการเมืองไทย เราเคยมีบ้านเลขที่ 111 บ้านเลขที่ 109 ฯลฯ จนแทบจะอยู่กันเป็นคอนโดแล้ว  
   ก็คงต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิด และหวังว่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นอีก

  

การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นอีกหน้าของประวัติศาสตร์การเมืองไทย และประชาชนคงได้เห็นผลของ รธน.ชัดขึ้น
(นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องการเลือกนายกฯ

พลังของคนรุ่นใหม่ บวกกับความอึดอัดของคนส่วนมากในช่วงที่ผ่านมา ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง
คงจะส่งเสียงสะท้อนอะไรบางอย่างได้หลังเลือกตั้ง

ทุกคนมีสิทธิที่จะคิด จะเลือก และคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว เป็นสิทธิของทุกคน ขอให้ออกไปแสดงพลัง
แต่ต้องเคารพกติกา และไม่เล่นนอกเกม

สำหรับ จขกท.ยังคงยืนยันค่ะว่า "ไม่ขอเป็นตรารับรองความถูกต้อง ให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง"

(ชุนเทียน)
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 27
ยี่สิบสี่ มีนา ถึงคราแล้ว
มวลมิตรแก้ว แลสหาย ทั้งชายหญิง
ร่วมแสดง พลังครั้งใหญ่ จากใจจริง
ไม่เกรงกริ่ง หรือหวั่นหวาด อำนาจใด

ประชาธิปไตย จักเบ่งบาน อย่างหาญกล้า
เหล่าประชา ต้องร่วมกัน มิหวั่นไหว
อำนาจอยู่ ในมือเรา โปรดเข้าใจ
อย่าให้ใคร เข้าครอบงำ จนช้ำทรวง

ทุกคนมี หนึ่งสิทธิ และหนึ่งเสียง
ขอแต่เพียง มุ่งมั่นใจ อันใหญ่หลวง
กากบาท เบอร์ที่ใช่ ไม่โดนลวง
สิ่งทั้งปวง จักบังเกิด อย่างเพริศแพรว

เราต่างเสีย เวลา มานานนัก
คราวนี้จัก เรียงหน้า มาเข้าแถว
สร้างประชา- ธิปไตย ให้วาวแวว
จักไม่แคล้ว โลกชื่นชู มิรู้ลืม.

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
กติกาการเลือกตั้งฉบับมีชัยยังถือว่าดูสลับซับซ้อนน้อยกว่าฉบับบวรศักดิ์ที่ถูกตีตกออกไปก่อนหน้า เสียดายที่ไม่มีให้เลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบ แต่เสมือนให้เหมารวมกาทั้งคนทั้งพรรคไปเลยในทีเดียว

กติกาฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้จำนวน ส.ส. เข้าสภามากเกินไป ด้วยข้อจำกัดของ ส.ส. ที่พึงจะมีได้ ผ่านการคำนวณตามเนื้อหาของกระทู้

EX. นำผลการเลือกตั้งปี 2548 ที่พรรคไทยรักไทยของทักษิณได้จำนวน ส.ส. ถล่มทลาย ลองนำมาแทนค่าคำนวณผ่านกติกาใหม่นี้

ผลการเลือกตั้งพรรค ทรท ได้คะแนนมา 18,993,073 คะแนน  ในปีนั้นทุกพรรคการเมืองที่ลงแข่งเลือกตั้งมีคะแนนรวมกัน 31,048,223 ล้านเสียง ก็ให้นำมาหารด้วยจำนวน ส.ส 500 จะได้ตัวเลขที่เป็นค่าสัมประสิทธิ์31,048,223/500  เท่ากับ 62,096.45

นำ 62,096.45 มาเป็นตัวหาร และนำคะแนนที่พรรค ทรท ได้เป็นตัวตั้ง จะได้ ส.ส. ที่พึงจะมีได้ตามกติกา รธน.ใหม่ล่าสุดนี้ เท่ากับ 18,993,073/62,096.45 = 305.86 หรือประมาณ 306 คน  แต่ ส.ส. เขต ที่พรรคไทยรักไทยได้รับการคัดเลือกในครั้งนั้นถูกเลือกเข้ามาแบบแบ่งเขตมาแล้ว 310 ที่นั่ง มากกว่า ส.ส. ที่พึงจะมีได้คือ 306 ที่นั่ง  จากกติกานี้ จะทำให้พรรคไทยรักไทยไม่ได้ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อแม้แต่ที่นั่งเดียว ทำให้ทักษิณหัวหน้าพรรคพร้อมลูกพรรคเบอร์บัญชีต้นๆจะสอบตกกราวรูด

ยังนึกเสียดายอยู่ลึกๆว่าถึงจะมีข้อจำกัดของจำนวน ส.ส. แต่ถ้าเปิดโอกาสให้ได้เลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบ แล้วจึงเอาคะแนนทั้งหมดเข้ามาคำนวณหาจำนวน ส.ส. ที่พึงจะมีได้ก็จะมีช่องทางเลือกให้กับประชาชนได้มากขึ้น

กติกาการเลือกตั้งครั้งนี้มีข้อเสียในหลักการคือในช่วงที่มีการโหวตเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กลับเปิดโอกาสให้ สว. ทั้ง 250 คนที่ผ่านความเห็นชอบจาก คสช. เข้ามาร่วมโหวตเลือกตัวนายกฯได้ด้วย  และหัวหน้า คสช. เองที่ดำรงตำแหน่งนายกฯคนปัจจุบัน ก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้

ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั้น เคยมีบทเรียนที่จดจำเมื่อมีการสืบทอดอำนาจจากรัฐบาลทหาร เกิดการปะทะกันระหว่ารัฐบาลทหารกับประชาชนจนเกิดการสูญเสียล้มตาย และไม่เป็นผลดีต่อตัวผู้เป็นนายกรัฐมนตรีเอง การเปิดโอกาสให้ตนเองได้บริหารประเทศต่อ ภายใต้เปลือกของการเลือกตั้งแบบมีนัยยะซ่อนเงื่อน โดยใช้โอกาสนี้ให้ประชาชนได้มีสิทธิเลือกตั้ง แต่เลือกตั้งภายใต้กติกาที่ไม่เป็นธรรม มีแต้มต่อล่วงหน้าจาก 250 สว. ที่ตนเองนั้นเห็นชอบเข้ามา ย่อมสร้างความครหาด้านความไม่เป็นกลางในการโหวตหาผู้ที่จะมาเป็นนายกฯในสมัยหน้า

กลุ่มก้อนการเมืองที่ทุกคนเห็นและเคยสัมผัสมาเช่น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( People's Alliance for Democracy, PAD)  , แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.; : United Front of Democracy Against Dictatorship; UDD) , กปปส  (  คณะกรรมการประชาชนปฏิรูปประชาธิปไตย People's Democratic Reform Committee, ,ชื่อ ย่อ: PDRC)  แม้ว่าในทางปฏิบัติจริงจะย้อนแย้งกับความเป็นประชาธิปไตย แต่ทุกกลุ่มการเมืองล้วนเอาประชาธิปไตยมาต่อท้ายทั้งสื้น เพื่อให้มวลชนของตนนั้นสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง สิ่งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าคนไทยยังโหยหาประชาธิปไตยกันอยู่  หรือแม้แต่ คสช.คณะรักษาความสงบแห่งชาติ . ( National Council for Peace and Order (NCPO) ที่ได้ทำการรัฐประหารยึดอำนาจมา นอกจากเหตุผลยุติความขัดแย้งของคนในชาติแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่กล่าวอ้างก็คือการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  

ประเทศไทยมีการปกครองแบบประชาธิปไตย  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หมายความว่า  อำนาจอธิปไตย  หรือ  อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากปวงชนชาวไทย  อันมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข  ทรงใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภา  คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  โดยอำนาจขององค์กรทั้ง 3 ฝ่าย  จะต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน  และอยู่ในลักษณะการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน แต่สิ่งที่เห็นในปัจจุบัน และกำลังจะเห็นในเวลาอันใกล้นี้ กลับกลายเป็นอำนาจบริหารกับอำนาจนิติบัญญัติไหลไปกองอยู่รวมกัน สว.หน้าที่หลักคือทำหน้าที่หลักนิติบัญญัติ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับระบุให้ล้วงลูกเข้าไปเลือกนายกฯที่เป็นฝ่ายบริหารได้ด้วย ทำให้เสียการถ่วงดุลอำนาจของอำนาจอธิปไตยทั้งสามฝ่าย  ยังไม่นับรวมอำนาจตุลาการบางส่วนเช่นศาล รธน ตุลาการทั้ง 9 คนจะต้องผ่านการเห็นชอบจาก สว. และ สว. ทั้งคณะถูกคัดเลือกมาจาก คสช. อีกที ยังไม่นับรวมเพิ่มเติมอีกเช่นองค์กรอิสระต่างๆที่มาจาก สว. อีกเช่นเคย เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าองค์กรอิสระต่างๆจะไม่มีไว้เพื่อกำจัดขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม และตีตราความชอบธรรมให้กับฝ่ายที่แต่งตั้งตนเองขึ้นมา

การเลือกตั้งผ่านปลายปากกาของประชาชน ภายใต้กติกาที่เอารัดเอาเปรียบ ฝ่ายหนึ่งมีแต่เจ๊งกับเจ๊า เลือกตั้งแล้วถ้าแพ้คาคูหาก็แพ้แล้วแพ้เลย อีกฝ่ายหนึ่งพกแต้มต่อพร้อมถือกติกาไว้ในมือ ถ้าชนะตั้งแต่เลือกตั้งเมื่อรวมกับพรรคแนวร่วมแล้ว ก็ยืนเท่ห์ๆให้ 250 สว. โนโหวตในการเลือกตัวนายกฯได้  แต่ถ้าแพ้ก็ยังมี 250 สว.เป็นตัวแปรหลักที่สำคัญในการมาโหวตนายกฯอีก ถ้าแพ้แบบเจ๊งสนิทขึ้นมาก็ยังไม่รู้ว่าจะมีแผน สอง สาม สี่ ... อะไรต่อจากนี้หรือไม่ เพราะไม่มั่นใจในองค์กรอิสระต่างๆ เช่น กกต ไม่มั่นใจในความเป็นกลางของศาล รธน หรือแม้แต่ฝ่ายกองทัพเองก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยเพียงเปลือกนอกเท่านั้น

ยังไงก็ตามแต่ ประเทศไทยเว้นวรรคการเลือกตั้งมาหลายปี ประเทศไทยเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 ไม่แปลกใจที่ประชาชนจะโหยหาการเลือกตั้งเป็นอย่างมาก ยากที่จะสวนกระแสความอยากเลือกตั้งของประชาชน แม้ส่วนตัวนั้นจะอยากเลือกผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ในสภาเช่นกัน แต่เนื่องจากกติกาในครั้งนี้มันไม่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย แล้วมันจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่อยากได้ใครมาบริหารประเทศได้จริงหรือ ในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงอยากแสดงออกในทางตรงข้ามกับระบอบที่ไม่เป็นธรรมนี้มากกว่า แต่ไม่ขอนอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ชวนใครให้นอนหลับทับสิทธิ์หรือขัดขวางผู้อื่นไม่ให้ไปเลือกตั้ง แต่จะขอใช้สิทธิ์ของตัวเองที่พอจะมีอยู่โดยการเข้าไปกาในช่องโหวตโน  (ในเขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เลือกผู้ใด (โหวตโน) เป็น ส.ส.ในเขตเลือกตั้งนั้น ให้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และไม่ให้นับคะแนนที่ผู้สมัครแต่ละคนได้รับไปใช้ในการคำนวณที่นั่งที่แต่ละพรรคจะต้องได้ หากเกิดกรณีนี้ ผู้สมัครทุกรายในเขตนั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนั้นอีก และให้ กกต.ดำเนินการให้มีการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่)

การตัดสินใจโหวตโนในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าโหวตโนเพราะไม่อยากจะเลือกใคร แต่อยากสะท้อนให้เห็นถึงระบอบ ถึงกติกาที่มันไม่ได้เรื่อง แม้จะสวนกระแสคะแนนของแต่ละพรรคที่ได้มาจากประชาชนไม่ได้ก็ตาม แต่ถ้าทุกๆฝ่ายรู้เห็นถึงปัญหาของการเมืองไทยที่จะตามมาหลังเลือกตั้งนั้น การโหวตโนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสะท้อนไปยังผู้เขียนกำหนดกติกาว่าประชาชนไม่ต้องการกติกาแบบนี้ ทุกอย่างควรปรับปรุงแก้ไขให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น อยากเลือกตั้งกันแบบแฟร์ๆกันทุกฝ่าย ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน การเลือกตั้งครั้งนี้จะ "ไม่ขอเป็นตรารับรองความถูกต้อง ให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง" แต่อยากสะท้อนให้แก้ไขกติกาให้เป็นธรรม เป็นการต่อสู้ในเชิงระบอบ ไม่ใช่เพื่อนักการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง

ปล. สมัยเลือกตั้ง 54 มีกลุ่มก้อนการเมืองหนึ่งที่รณรงค์โหวตโนเช่นกัน ด้วยสโลแกนแรงๆว่า "อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา" ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นการแสดงออกทางจุดยืนที่พึงกระทำได้ และเข้าไปแสดงเจตจำนงผ่านคูหาเลือกตั้ง ถูกต้องตามกติกาทุกอย่าง มาถึงปัจจุบันนี้สโลแกนนี้คงไม่มีอีกแล้ว เพราะ ส.ส. บางส่วนก็ย้ายขั้วการเมืองไปแล้วสนับสนุนนักการเมืองที่ตนเองชื่นชอบแทน
ความคิดเห็นที่ 6
นานๆจะโพสต์ซักที  ตอนนี้ผมว่าพรรคลุงตู่น่าห่วงครับ  สส.ของพรรคแต่ละคนนี่เหมือนไปขอยืมใช้สส.ชั่วคราว  เช่นพวกเพื่อไทย กับ ไทยรักไทยเก่าพวกนี้ มีโอกาสกลายเป็นงูเห่าสูงมาก  

คือพรรค พปชร.เองเนี่ย มันเหมือนเป็นพรรคการเมืองเฉพาะกิจ ตั้งมาเพื่อรองรับการสืบทอดอำนาจของกลุ่มตนเอง มากกว่า ที่จะยึดเอาอุดมการณ์ของพรรคเป็นที่ตั้ง แล้วจุดยืนสมาชิกพรรคแต่ละคนนี้ไม่มั่นคงเลย ไม่แข็งพอที่จะยืนหยัดในเวทีการเมืองได้หรอกครับ ส่วนใหญ่พวกนี้ เป็นนักธุรกิจหรือ นายทุนพรรคทั้งสิ้น ไม่ได้เขี้ยวเรื่องการเมืองสักนิด

จบภารกิจเลือกตั้งผมว่าน่าจะแยกย้ายกันหมด อาจจะขั้นพรรคแตกได้   เทียบกับ ปชป. หรือ เพื่อไทย ไม่ได้เลย จุดยืนสองพรรคนี้ มั่นคงในอุดมการณ์ที่ชัดเจน คือ อนุรักษ์นิยม กับ เสรีนิยม

รัฐบาลทหารของลุงตู่ไม่เก่งเรื่องการเมืองเลยสักนิดเดียว รู้จักนักการเมืองไทยน้อยไป ที่ผ่านก็มาอาศัยเพียงพรรคพวกใกล้ชิดตัวเองคอยรายงานความคืบหน้า ไม่ได้ลงไปคลุกคลีกับนักการเมืองของพรรคโดยตรงทำให้มองเกมการเมืองไม่ออก

จับตาดูหลังเลือกตั้งให้ดีเถอะครับ  กลุ่มเฉพาะกิจต่างๆในพรรคผมว่ากระโดดหายกันหมด ยิ่งกลุ่มสามมิตรตัวแสบนี่แหละ กลุ่มนี้เขี้ยวลากดินสุดๆ เพราะไม่ได้เป็นรัฐมนตรีมานานมาก ยังไงก็ต้องเอาตัวให้รอดไว้ก่อน

ตอนนี้ก็เล่นตามเกมลุงตู่ไปก่อน แต่หลังฉากอาจจะมีการล้อบบี้กับทักษิณไว้แล้วก็ได้ ใครจะไปรู้
ความคิดเห็นที่ 17
ขออนุญาตคุณ ชุนเทียน  และขอบคุณทุกท่านที่ช่วยแชร์วิธีการคำนวณที่น่าสนใจนะครับ

เพื่อทำให้เห็นภาพมากขึ้น และง่ายขึ้น
ผมลองทำเว็บไซต์ช่วยคำนวณจำนวนที่นั่งส.ส. ตามสูตร MMA (พร้อมคำอธิบาย และแสดงผลแต่ละขั้นตอนด้วย)
สามารถเข้าไปลองปรับจำนวนคะแนนเสียงและจำนวนส.ส.เขตที่ได้ของแต่ละพรรค  ได้ที่ https://vote.tothemax.dev นะครับ

(ถ้าดูบนคอมหรือ tablet จะเห็นเต็มจอกว่าบนมือถือนะครับ)



ถ้ามีอะไรน่าสนใจ แบ่งปันกันได้เลยครับ หากพบข้อผิดพลาดบนเว็บ ผมยินดีรับฟังเช่นกันนะครับ ยิ้ม


(แก้ไข ลดขนาดรูปภาพ เพื่อจะได้ไม่รบกวนกระทู้)
ความคิดเห็นที่ 18
ภายใต้กติกาที่ดูแล้วพรรคที่เคยชนะจะเสียเปรียบ  ถูกวางยาตั้งแต่เริ่ม  แต่ปชช.ก็ยังคาดหวังว่าจะได้พรรคที่แก้ไขปัญหาชาติได้ตรงจุดเข้ามา  จนกระแสมาทางฝั่งปชต. ทำให้อีกฝั่งก็หนาวไม่น้อย   ทางชนะแม้จะน้อยแต่ก็ถือว่ายังมี

ความกังวล จึงไปตกอยู่กับอีกฝั่งเสียมากกว่า   จนพยายามขุดวาทกรรมเดิมๆมาโจมตีเพื่อสกัดอีกทางหนึ่ง  ไหนจะเรื่องยุบพรรค  ไหนจะเรื่องตัดสิทธิ์

แสดงว่าแววแพ้ของผู้ได้เปรียบก็มี   ถึงรนลาน ทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายคู่ต่อสู้  บางครั้งกฏที่เขียนก็ทำพิษฝ่ายตนก็มีให้เห็นบ่อยๆ

สวัสดีคุณชุนเทียน   และ ขอบคุณบทความที่มีสาระทั้งของจขกท.และทุกๆท่านที่ร่วมนำเสนอเรื่องที่มีประโยชน์ค่ะ ตื่นเช้ามาได้รับอาหารสมองแต่เช้า
ความคิดเห็นที่ 13
คิดอีกแบบหนึ่ง  หลักเติมให้เต็มค่าK คะแนนเสียง K คะแนน ได้ สส 1คน

หลักเติมให้เต็มค่า K

สมมุติ การที่จะชนะเป็นที่หนึ่ง สส. เขตได้ ต้องมีคะแนน อย่างน้อยเป็นครึ่งหนึ่งของค่า K หรือเท่ากับ K/2

ยังขาดอีก K/2 ถึงจะเติมเต็มค่า   K
ต้องเอาจากคะแนน สส. สอบตกมาเติมเต็มค่า K เท่ากับว่าคะแนนสส.สอบตกหายไป -K/2
ถ้าพรรคๆหนึ่งได้จำนวน สส.เขต x คน เท่ากับว่า คะแนนสส.สอบตกหายไป    -Kx/2
F คือ คะแนนรวมสส.สอบตกของพรรคทั้งหมด
คะแนนเหลือให้กับสส.แบบบัญชีรายชื่อ เท่ากับ F - Kx/2

ถ้าต้องการได้สส.แบบบัญชีรายชื่อ1คน จะต้องได้คะแนนจาก สส.สอบตกทั้งหมด คือ F = Kx/2 + K (1)

ถ้าต้องการได้สส.แบบบัญชีรายชื่อ y คน   จะต้องได้คะแนนจาก สส.สอบตกทั้งหมด คือ F = Kx/2 + Ky

เป็นเรื่องยากที่พรรคเพื่อไทยจะได้ สส.แบบบัญชีรายชื่อเพิ่ม เพราะผลจากโพลสำรวจว่าพรรคเพื่อไทยได้สส.เขต 128 คน

ถ้าค่า K ของการเลือกตั้งครั้งนี้เท่ากับ 80,000

ถ้าพรรคเพื่อไทยอยากได้สส.แบบบัญชีรายชื่อ 1 คน ต้องได้คะแนนจากสส.สอบตกทั้งหมด
F = (80,000×128/2) + 80,000(1)
F = 5,200,000
พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร สส.เขต 250 คน เท่ากับเหลือ สส.สอบตก 250-128 = 122
เท่ากับว่า สส.สอบตกของพรรคเพื่อไทย ต้องได้คะแนนเฉลี่ยเขตละ 5,200,000÷122 = 42,622 คะแนน ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย

แสดงว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้สส.แบบบัญชีรายชื่อเลย
และเท่ากับว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เฉลิม อยู่บำรุง และ คนอื่นๆ ในบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยมาช่วยหาเสียงฟรี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่