ระหว่างเงินกับความรู้สึก

เราเป็นลูกจ้างไม่ประจำ ปกติค่าจ้างในงานที่ทำอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท (ตัวเลขสมมุติ)
เราทำกับเขามาหลายปี รับรู้มาตลอดว่าการแข่งขันสูง เขาเองก็พยายามขึ้นเงินค่าจ้างให้ แต่ได้ไม่มากอยู่ที่ 5,500
เป็นบริษัทไทย เราพอจะรู้ค่าจ้างจากบริษัทไทยอีกแห่งว่าให้ราวๆ นี้ไม่ต่างกันมาก
วันหนึ่งมีบริษัทต่างชาติมาเสนองานให้เราทำ แต่คนไทยเป็นคนติดต่อ เป็นเพื่อนเก่าเราเอง
เพื่อนคนนี้ทำงานรับจ้างเช่นกัน ในอดีตครั้งหนึ่ง เขาเคยชวนไปทำงาน แต่บอกว่าจ่ายค่าจ้างได้แค่ 3,000 จะไปไหม
ครั้งนั้นเราจึงไม่ได้ไปทำ เพราะค่าจ้างต่ำเกินไป
มาคราวนี้เขาได้งานที่ใหม่แล้ว บอกว่าถ้าเราทิ้งงานที่เก่า จะให้ค่าจ้าง 5,500 กับเงินพิเศษอีกเดือนละ 2,000 (ย้ำว่าเลขสมมุติ)
เราอยากรับแต่เพราะบริษัทเก่าดีกับเรามาก จ่ายตรงเวลาไม่เคยเบี้ยว ทำงานมาหลายปี ถึงเทศกาลทีไรมีของขวัญให้ เรียกว่าซื้อใจระดับหนึ่ง
เราเลยกะว่าจะลองทำงานให้บริษัทต่างชาติแห่งนี้สักชิ้นหนึ่งก่อน แต่เราทำให้เขาได้ไม่เต็มที่ ยังรับงานที่เก่า (ซื่อๆ บอกตรงๆว่ารับสองงาน)
เลยตกลงจะขอค่าจ้างทำงานชิ้นนี้ที่ 6,000 แล้วไม่รับเงินพิเศษที่เสนอมา (เสนอราคาแบบเกรงใจเพื่อนเก่า)
ปรากฏเขายินดีรับอย่างเร็ว แล้วบอกเราว่า เขาได้มา 13,000! ที่เราเสนอแค่ครึ่งหนึ่งของเขาที่ได้มา
เปรียบไปก็เหมือนล้งรับซื้อทุเรียน มีเงินทุนขนาดกว้านซื้อทุเรียนได้ทุกสวน คนไทยก็กินทุเรียนแพงกันไป
เราอึ้งๆ ที่เขาก็รู้ต้นทุนตัวเองมาตลอด แต่อุบไว้ไม่บอก ปล่อยให้เราต่อรองไปตามที่เคย
แล้วค่อยมาบอกว่าตัวเองได้มาอีกเท่าตัวโดยไม่ต้องทำอะไรเลย (เพื่อนคนนี้ติดต่องานได้อย่างเดียว แต่ทำงานนี้ไม่ได้)
เราควรรับทำงานกับเขาไหม มองในแง่เงินอย่างเดียว ก็น่าจะรับเพราะให้สูงกว่าที่เก่า
แต่อีกใจหนึ่งรู้สึกเหมือนเขายังเคืองเราที่ไม่รับงาน 3,000 ของเขามาก่อนหรือเปล่า
ตอนนี้ได้นายทุนดี เลยเอาเงินมาฟาด แล้วค่อยบอกหลังจากตกลงกันแล้วว่าตัวเองได้มาอีกเท่าตัว
เราควรทำงานกับคนแบบนี้ไหม? บอกเลยว่าค่าจ้างนี้ บริษัทไทยคงไม่สู้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่