อย่างไหนเป็นวิปัสสนา อย่างไหนเป็นสมถะ (มีตัวอย่าง)

1.ถ้าเราดูลมอยู่ตลอดรู้ว่ากำลังคิด รู้สึก สัมผัส ได้ยิน ได้กลิ่น มองเห็นอย่างไรอยู่ตลอด กับ

2.ถ้าหากดูลมอยู่ตลอด พยายามหยุดคิด ไม่ฟุ้งซ่าน ความคิดมีขึ้นก็ตัดไป พยายามบังคับไม่ให้มีสิ่งรบกวนจิตใจ

อย่างไหนเรียกวิปัสสนากรรมฐานอย่างไหนเรียกสมถกรรมฐาน หรือทั้งสองอย่างเป็นรวมกันอย่างไรครับ

ส่วนตัวถูกจริตกับการฝึกแบบแรกครับ ทั้งวันจะใช้แบบแรกทั้งตอนไม่นั่งและนั่งสมาธิครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ถ้าเราดูลมอยู่ตลอด รู้ว่ากำลังคิด รู้สึก สัมผัส ได้ยิน ได้กลิ่น มองเห็นอย่างไร อยู่ตลอด กับ ถ้าหากดูลมอยู่ตลอด พยายามหยุดคิด ไม่ฟุ้งซ่าน ความคิดมีขึ้นก็ตัดไป พยายามบังคับไม่ให้มีสิ่งรบกวนจิตใจ อย่างไหนเรียกวิปัสสนากรรมฐานอย่างไหนเรียกสมถกรรมฐาน หรือทั้งสองอย่างเป็นรวมกันอย่างไรครับ

ตอบ ทั้งสองอยางที่กล่าวมาเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ข้อ 1 ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือยัง แต่ข้อ 2 ไม่ถูกต้อง เพราะแทรกแซง บังคับ การทำงานของขันธ์ ถ้าดูลมอยู่อย่างถูกต้อง คือ ปฏิบัติตามอานาปานบรรพ ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ต้องมีสติรู้ถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก โดยที่ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับลมหายใจ รู้เพียงว่าร่างกายกำลังหายใจเข้า หายใจออก สั้น ยาว ฯลฯ เมื่อชำนาญแล้ว ก็จะได้สติที่ตั้งมั่น เมื่อระลึกรู้หรือเห็นด้วยใจถึงลมหายใจ ก็จะเห็นว่าร่างกายกำลังหายใจเอง ไม่ว่าจะ กำลังคิด รู้สึก สัมผัส ได้ยิน ได้กลิ่น มองเห็น อย่างที่กล่าวไว้ในข้อ 1 . ในกรณีดูลมอยู่ตลอด ในข้อ 2 แต่ไปพยายามหยุดคิด ให้ไม่ฟุ้งซ่าน มีความคิดแล้วก็ตัดทิ้งไป เป็นการไปแทรกแซงการทำงานของขันธ์ อันนี้ไม่ถูกต้องตามสติปัฏฐานสูตร และ ไม่ใช่สมถะและวิปัสสนา เพราะเป็นการไปแทรกแซง บังคับ

ถ้าเจริญอานาปานสติ เพื่อทำวิปัสสนาภาวนา ต้องทำข้อ 1 ให้ชำนาญเสียก่อน จากนั้นจึงมาทำข้อ 2 ต่อ เพียงแต่ เปลี่ยนจากการแทรกแซง บังคับ มาเป็นเพียงสักว่ารู้ สักว่าเห็น โดยที่เห็นร่างกายหายใจเข้าออกเอง ให้การรู้ลมเป็นเพียงบริกรรมภาวนาอยู่ สติที่ตั้งมั่นแล้วจากข้อ 1 ก็จะคอยตามรู้ ตามดู ความคิด ฯลฯ รายละเอียดอยู่ใน อานาปานสติสูตร ทั้งนี้เพื่อให้จิตเห็นแจ้งในอารมณ์รูปนามที่มากระทบจิตว่าเป็นไตรลักษณ์ จิตก็จะปล่อยวางอารมณ์รูปนามนั้นเป็นอุเบกขาต่อสังขารทั้งปวง

ถ้าจะเจริญอานาปานสติ เพื่อทำสมถะภาวนา เมื่อฝึกตามข้อ 1 ได้ดีแล้ว ต้องน้อมสติที่ตั้งมั่นนั้นไประลึกรู้ลมหายใจเพียงอารมณ์เดียว เพื่อให้จิตแนบแน่นกับลมหายใจ จนเป็นอัปปนาสมาธิ โดยมีสติรักษาความแนบแน่นของจิตกับลมหายใจไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ลมหายใจจึงจะระงับไป เกิดเป็นอุคคหนิมิตที่เป็นแสง และ เป็นปฏิภาคนิมิต เมื่อจิตแนบแน่นกับลมหายใจเป็นหนี่งเดียวจนสามารถย่อและขยายแสงนั้นให้เล็กหรือใหญ่ได้ตามต้องการ มีความสุขผุดขึ้น เข้าสู่ปฐมฌานที่เป็นสมถะภาวนา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่