ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๖๑ ราชาสิบสองนักษัตรปรากฏ

.
                                                  

บทที่ ๖๑ ราชาสิบสองนักษัตรปรากฏ

พุทธศักราช ๑๙๒๑ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก เดือน ๑๑ ขึ้น ๙ ค่ำ
วังหลวงเมืองสุโขทัย...


แสงไฟถูกประดับสว่างไสวทั่วบริเวณพระที่นั่ง
บัดนี้ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่ต่างเข้าเฝ้าองค์พ่อขุนพระยาลือไท พร้อมพระนางสาขาพระมเหสีและองค์หญิงกัณฐิมาศ

“สรุปว่าคดีทองคำหายที่สำนักบ้านเงินบ้านทองเป็นฝีมือของขุนกาฬ ที่หาช่องทางผ่านช่างที่มีใจริษยาแสงพรายและกำลังต้องการความช่วยเหลือเรื่องรักษามารดาที่ป่วย” องค์พ่อขุนรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเคร่งเครียด

“พระพุทธเจ้าข้า” ขุนวังกราบทูล “ขุนกาฬเป็นผู้บงการและสนับสนุนเงินทองในการปลอมแปลงสับเปลี่ยน แต่แผนการและอุบายอันแยบยลทั้งหมด เป็นของตัวช่างที่คิดขึ้นมา คดีนี้ถ้ามิใช่เพราะพระสติปัญญาขององค์หญิงกัณฐิมาศ ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าคงมิมีผู้ใดคลี่คลายปริศนานี้ออกได้ พระพุทธเจ้าข้า”

แม้พระพักตร์จะทรงเคร่งเครียด แต่ยังทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ ให้องค์หญิงกัณฐิมาศ
“หลานเราช่างเป็นผู้ที่ฉลาดล้ำเลิศ ครั้งนี้นับว่าเป็นคดีใหญ่ ผู้คนคงโจษขานกันทั่ว.. สำนักบ้านเงินบ้านทองเป็นสำนักช่างเอก ปู่หลวงเป็นครูช่างที่ผู้คนทั้งเมืองสุโขทัยให้การเคารพนับถือ ส่วนการประกวดปั้นและหล่อองค์พระก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะคือการจัดสร้างพระพุทธรูปใหญ่ประจำแผ่นดิน สุดท้ายคนร้ายกลับเป็นแม่ทัพใหญ่ของเรา...”

ทรงถอนพระปัสสาสะ ด้วยหนักพระทัย

“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า” ขุนทัพไกรหาญ กราบทูลขึ้น “ครั้งนี้หลานของข้าพระพุทธเจ้านับว่ากระทำเกินเลยไปจริงๆ  ก่อนจะรีบเดินทางกลับเมืองชากังราวก็เข้ามาสารภาพเรื่องทั้งหมดต่อข้าพระพุทธเจ้า..ที่ได้กระทำไปก็เพราะความเสน่หาและภักดีที่มีต่อองค์หญิงกัณฐิมาศ อันที่จริงก็เพียงต้องการนำทองไปซ่อนไว้ชั่วคราวมิใช่ตั้งใจจะยักยอกเอาทองคำเป็นของตน ครั้งนี้แม้ทำผิดเป็นโทษแต่ก็ยังมิถึงกับละเมิดกฏมณเฑียรบาลด้วยทองคำหายไปในช่วงที่อยู่ภายใต้การครอบครองของสำนักบ้านเงินบ้านทอง.. หากว่าเป็นความผิด เจ้าทุกข์ก็คือสำนักบ้านเงินบ้านทอง ซึ่งสุดท้ายก็มิได้สูญเสียสิ่งใดเลย พระพุทธเจ้าข้า”

“ท่านขุนทัพจะกล่าวเช่นนี้ก็มิถูก.. ตัวเองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ใช้อำนาจข่มเหงรังแกชาวเมือง ทำดังนี้จะถูกต้องหรือ แล้วยังมีเรื่องที่จะฆ่าปิดปากเด็กที่สมรู้ร่วมคิดต่อหน้าผู้คนอีก นั่นก็ความผิดอีกหนึ่งกระทง.. ตอนนี้ก็หลบหนีความผิดไปอยู่ในค่ายทหารของตน ถือว่ามีวิชาฝีมือเก่งกล้าเหนือผู้ใดจึงกำเริบเสิบสานเช่นนี้”

ขุนไกรหาญถึงกับหน้าถอดสี
“ข้าพระพุทธเจ้าผิดไปแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.. เป็นความผิดของข้าพระพุทธเจ้าที่มิได้อบรมหลานชายให้รู้การควรไม่ควร ถ้าฝ่าพระบาทจะทรงลงโทษทัณฑ์ใดข้าพระพุทธเจ้าจะขออาสาไปกุมตัวขุนกาฬมาเอง เพียงแต่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นห่วงเมืองชากังราวที่เป็นหัวเมืองหน้าด่าน หากแม้นอโยธยายกทัพขึ้นมา เกรงว่าจะขาดแม่ทัพมีฝีมือออกทำการรบสนองพระเดชพระคุณ...

ศึกครั้งปีฉลูเมื่อ ๕ ปีก่อนพระยาไซแก้วขุนศึกมีชื่อของฝ่ายเราก็จบชีวิตลง ครั้นมาถึงปีเถาะศึกเมืองสองแคว ฝ่ายเราก็เสียขุนรามแก้วเจ้าเมืองไป พอถัดมาปีมะโรงก็สูญเสียขุนศึกให้กับทัพอโยธยาเป็นอันมากอีก... หากจะลงโทษทัณฑ์ขุนกาฬประการใด ก็ขอเหลือชีวิตเอาไว้นำทัพรบกับอโยธยาด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”

เรื่องแม่ทัพผู้เป็นความหวังในการต่อสู้กับอโยธยามากระทำความผิด นับเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของราชสำนักจริงๆ

“ขอเดชะฝ่าพระบาท” ขุนวังกราบทูลขึ้น “เรื่องความผิดของขุนกาฬแม้สมควรได้รับโทษทัณฑ์ แต่ความดีความชอบของขุนกาฬก็มีอยู่มากมาย ทุกศึกอโยธยาท่านขุนได้ทุ่มเทเลือดเนื้อแรงกายโดยมิได้อาลัยในชีวิต ข้าพระพุทธเจ้าจึงเห็นว่าควรให้คาดทัณฑ์เจ้าตัวเอาไว้ก่อน แล้วให้ทำศึกอโยธยาครั้งหน้าไถ่โทษ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด พระพุทธเจ้าข้า”

“ท่านขุนวัง คดีในเมืองสุโขทัยย่อมอยู่ในอำนาจของท่าน ท่านลองวินิจฉัยโทษของขุนกาฬและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้เราฟังเถิด..แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน”

“พระพุทธเจ้าข้า” ขุนวังเสนะทิพรับพระราชดำรัส แล้วจึงกราบทูลเสนอคำพิพากษาขึ้น

“คดีนี้ขุนกาฬเป็นผู้บงการ ชักจูงและสนับสนุนให้กระทำความผิดขึ้น แม้มิได้หวังในทรัพย์สินแต่หวังผลให้แสงพรายได้รับโทษทัณฑ์ร้ายแรง ต่อมาเมื่อดำเนินการผิดพลาดไปจากแผนการที่วางไว้เพราะพระองค์หญิงกัณฐิมาศทรงเข้าไปช่วยเหลือสำนักบ้านเงินบ้านทองจนเจ้าตัวขาดการติดต่อกับช่างที่สมรู้ร่วมคิดกัน ทำให้ขุนกาฬเปลี่ยนแผนการจากซ่อนทองคำไว้ชั่วคราวแล้วนำส่งคืน เป็นการกระทำให้ทองคำหายสาบสูญไปซึ่งจะเกิดโทษมหันต์แก่แสงพราย และลุกลามไปถึงครูแสงคำและครูพิธานด้วย..โดยดูเจตนาจากการที่ขุนกาฬเป็นผู้กราบทูลเรื่องทองคำสูญหายต่อฝ่าพระบาทที่ลานดงตาลกลางชุมนุมของชาวเมืองสุโขทัย...

ส่วนความผิดอีกกระทงคือพยายามสังหารเด็กที่ชื่อจุกซึ่งเป็นคนลงมือลักลอบนำทองคำออกมา เพื่อปิดปาก.. โทษของขุนกาฬ สมควรให้ปรับสินไหมชดเชยแก่เจ้าทุกข์ผู้บริสุทธิ์ เป็นทองคำจำนวน ๒ เท่าของปริมาณทองที่ขุนกาฬลักขโมยไป แล้วแบ่งให้ทั้งสามคนคือ แสงพราย ๓ ส่วน ปู่ครูแสงคำ ๒ ส่วน และครูพิธาน ๑ ส่วน สัดส่วนนี้กำหนดแบ่งตามโทษทัณฑ์ที่บุคคลทั้งสามจะได้รับหากแผนการของขุนกาฬสำเร็จลง...

และให้คาดโทษลงหวาย ๑๒๐ ครั้งและจำคุก ๒ ปีไว้ก่อน โดยให้ทำศึกตีทัพอโยธยาที่อาจบุกมาประชิดเมืองชากังราวให้แตกพ่ายไป ไถ่โทษลงหวายและจำคุกที่คาดไว้ พระพุทธเจ้าข้า”

“ดี.. นับว่าเป็นโทษที่เหมาะสมกับความผิดและความชอบที่เคยรับใช้บ้านเมืองมา.. แล้วโทษของผู้สมรู้ร่วมคิดอีก ๒ คนเล่า”

“ช่างที่ชื่อบุญจัน ซึ่งร่วมกระทำความผิดเพราะริษยาในตัวแสงพรายและต้องการรับความช่วยเหลือจากขุนกาฬเรื่องการรักษามารดาที่กำลังป่วยหนัก แม้จะกตัญญูแต่ก็หวังผลร้ายให้เกิดแก่แสงพราย ครั้นไม่สามารถออกจากสำนักนำทองกลับมาคืนตามแผนการที่วางไว้ ก็ยังนิ่งเฉยจนเรื่องราวลุกลามเป็นภัยไปถึงสำนักบ้านเงินบ้านทองที่ตนอาศัยอยู่...

เมื่อพิเคราะห์ถึงความกตัญญูที่มีต่อมารดาและความอกตัญญูต่อสำนักครูที่ประสิทธิ์ประสาทวิชา พร้อมทั้งประสงค์ร้ายต่อศิษย์ร่วมสำนัก เห็นควรให้ลงหวาย ๔๐ ครั้ง จำคุกไว้ ๓ เดือน แล้วให้เนรเทศออกจากเมืองสุโขทัย พระพุทธเจ้าข้า”

องค์พ่อขุนทรงพยักพระพักตร์ แต่มิได้รับสั่งสิ่งใด

“ส่วนเด็กที่ชื่อจุก อันที่จริงเป็นคนที่สนิทสนมรักใคร่กับแสงพราย มิได้มีจิตประสงค์ร้ายกับผู้ใดแต่จำใจทำเพราะมารดาของบุญจันเป็นคนช่วยชีวิตและชุบเลี้ยงมา เดิมเป็นเด็กเร่ร่อนขอทาน มานอนป่วยปางตายให้มารดาของบุญจันช่วยรักษาชีวิตไว้ ครั้งนี้จึงกระทำไปเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณ และถูกบุญจันบังคับขู่เข็ญมิให้เปิดเผยเรื่องราวเมื่อไม่สามารถนำทองคำกลับคืนมา...

ข้าพระพุทธเจ้าเห็นสมควรให้จำคุกไว้ ๒๐ วัน โดยมิต้องลงหวายเพราะยังเด็กนัก แล้วให้ปล่อยตัวเป็นปกติ จะได้เป็นคนคอยดูแลมารดาของบุญจันแทนบุตรชายของนาง ส่วนสำนักบ้านเงินบ้านทองจะรับจุกกลับไปอยู่ด้วยดังเดิมหรือไม่ เป็นเรื่องของสำนักที่จะคิดดำเนินการเอง พระพุทธเจ้าข้า”

“เราเห็นด้วยกับท่านขุนวังทุกประการ ครั้งนี้ว่าไปแล้วส่วนหนึ่งที่เกิดเรื่องราวขึ้น ก็เพราะความกตัญญูของช่างบุญจันและเด็กชายที่หวังรักษามารดาของตน.. เห็นแก่ความดีในข้อนี้ ท่านขุนวังช่วยจัดหมอหลวงไปดูแลรักษามารดาของบุญจันให้หายขาดจากโรคร้าย ทั้งบำรุงอาหารการกินอย่าให้ขัดสน จนกว่าจุกจะเป็นที่พึ่งแก่นางได้”

“ข้าพระพุทธเจ้าจะดำเนินการตามรับสั่ง พระพุทธเจ้าข้า”

------------------------------

“แล้วก็เรื่องของ.. ราชาสิบสองนักษัตร”

องค์พ่อขุนรับสั่งแล้วก็ทรงนิ่งอยู่
ทุกคนในท้องพระโรงต่างพลอยเงียบสนิท มิกล้ากราบทูลสิ่งใด

“ราชาสิบสองนักษัตรที่เล่าลือกัน.. กับแสงพรายดูจะมิคล้ายเป็นคนเดียวกัน” เป็นพระสุรเสียงที่สะท้อนความกลัดกลุ้มกังวลพระทัย “จะเป็นไปได้หรือ.. ว่าคนที่สามารถปั้นและหล่อองค์พระพุทธรูปได้งามวิจิตรพิสดาร รังสรรค์งานพุทธศิลป์จากมโนสำนึก จะเป็นคนที่มีฝีมืออาวุธร้ายกาจ..และไร้คุณธรรม”

ทรงทอดสายพระเนตรไปยังพระพุทธรูปเนื้อทองห่มจีวรสัตโลหะที่สะท้อนแสงไฟแวววาว ซึ่งบัดนี้ได้อัญเชิญมาประดิษฐานยังท้องพระโรง.. พระสุรเสียงก้องกังวานรำพึงขึ้น

“จ้าวน้ำเงิน หนึ่ง.. เหล็ก สอง.. ทองคำ สาม.. ทองแดง สี่.. ปรอท ห้า.. บริสุทธิ์ หก.. และเงิน เจ็ด.. ทั้งหมดนี้แทนกษัตริย์ทั้งเจ็ดพระองค์ของกรุงสุโขทัยได้อย่างเหมาะสม เนื้อโลหะที่ผสมออกมาก็ช่างงามพิสดาร ทั้งฝีมือและปฏิภาณในงานช่างศิลป์ของเขาถึงกับเป็นเลิศในแผ่นดินแล้ว...”

ขุนไกรหาญขุนทัพแห่งสุโขทัยเป็นคนแรกที่กราบทูลขึ้น

“ขอเดชะฝ่าพระบาท อันจิตใจคนนั้นยากแท้จะหยั่งถึง เปลือกนอกอาจดูว่าเป็นคนดีมีศีลมีธรรม แต่จิตใจนั้นอำมหิตคิดคดทรยศนัก.. จากที่ข้าพระพุทธเจ้ารับทราบมา ราชาสิบสองนักษัตรคนนี้เป็นบุตรชายของพระเจ้าปตานีที่มิได้ถูกสถาปนายกย่อง นัยว่าดวงชะตาเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง เคยถูกจับถ่วงน้ำแต่มิตายกลับเป็นพระสนมมารดาสิ้นพระชนม์แทน...

ถูกขับไปอยู่เมืองนครศรีธรรมราช ห้ามมิให้ผู้ใดสั่งสอนวิชาการสู้รบ แต่สุดท้ายเพียงอายุสิบหกปี ก็ต่อสู้เอาชนะขุนพลเอกของอีกสิบเอ็ดเมืองในคาบสมุทรสุวรรณภูมิได้ แล้วขึ้นเป็นราชาสิบสองนักษัตรขนานนามว่า “ทิพราชา” พออายุสิบเก้าปีคำสาปแห่งชะตาก็เป็นจริง ทิพราชาเป็นกบฏสังหารพระเจ้านครศรีธรรมราช สามารถยึดเมืองนครฯ ไว้ได้ เพียงเพื่อจะแย่งชิงพระราชธิดาของพระเจ้านครฯ ที่เป็นพระคู่หมั้นของพระเชษฐาต่างพระมารดา...

ต่อมาเมื่อปะปนมาอยู่เมืองอโยธยา องค์ขุนหลวงพะงั่วทรงชุบเลี้ยงและให้ติดตามมาด้วยในกองทัพคราวศึกเมืองชากังราวปีมะโรง สุดท้ายมิทราบเพราะสาเหตุใด จึงเผาเสบียงกรังของกองทัพวอดวาย จนองค์ขุนหลวงพะงั่วทรงสั่งให้ถอยทัพกลับอโยธยา คนเช่นนี้หาควรจะนำมาชุบเลี้ยงไว้ในเมืองสุโขทัยไม่ พระพุทธเจ้าข้า”

“ขอเดชะฝ่าพระบาท” ขุนวังกราบทูล “เรื่องทิพราชาเป็นกบฏยึดเมืองนครศรีธรรมราช เพราะพระราชธิดาของพระเจ้านครฯ เป็นเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าก็ได้ยินมาเช่นกันหากแต่ได้รับทราบมาว่าทิพราชายินยอมคืนเมืองแต่โดยดีเพราะเกรงจะเกิดการรบพุ่งขนานใหญ่จนผู้คนล้มตายทั้งสองฝ่าย ทั้งยังสลายกองทัพของตน แล้วเดินทางมาแฝงตัวอยู่ในอโยธยาเพียงลำพัง...

ครั้นศึกชากังราว กองสอดแนมของข้าพระพุทธเจ้าเพิ่งจะได้เนื้อความเพิ่มเติมแจ้งมาว่า ทิพราชามาด้วยกองทัพอโยธยาครั้นพอถึงการรบครั้งสุดท้ายที่ชี้ความเป็นความตายของสองทัพ ทหารทั้งสองฝ่ายต่างเข้าห้ำหั่นประหัตประหารล้มตายกันเป็นจำนวนมากดังที่ฝ่าพระบาททรงทราบ องค์พระเจ้าผากองกษัตริย์แห่งเมืองน่านทรงนำช้างศึกเข้าต่อสู้จนถึงขั้นกระทำยุทธหัตถีกับขุนปราบไพรีพ่ายแม่ทัพใหญ่แห่งอโยธยา ขณะที่พระองค์ทรงกำลังเสียเปรียบอยู่นั้นทิพราชาก็ไสช้างเข้ากันพระองค์ไว้ จนองค์พระเจ้าผากองทรงสามารถนำทัพถอยกลับไป...

ส่วนทิพราชาได้ชนช้างต่อสู้กับขุนปราบจนขุนปราบพ่ายตกคอช้าง แล้วประกาศขึ้นว่าให้อโยธยาถอยทัพกลับมิฉะนั้นจะเผาเสบียงกรังให้สิ้น หลังประกาศก็กระทำตามนั้นจริงๆ บุกตะลุยไปเพียงลำพังฝ่าวงล้อมทัพช้างทัพม้าของอโยธยาไปจนถึงค่ายเสบียงแล้วเผาทำลายจนหมดสิ้น ตัวทิพราชาเองก็บาดเจ็บเจียนตายแต่อาศัยช่วงชุลมุนขณะไฟไหม้ค่ายหลบหนีออกไปได้...

ถ้าเป็นดังนี้ทิพราชาก็หาได้เลวร้ายเสียทีเดียว ยังมีใจของชายชาตรีสู้ประกาศให้รู้ว่าจะบุกฝ่าไปเผาค่ายเสบียงมิได้กระทำแบบลอบกัด ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าควรเรียกตัวมาสอบถาม หากแม้นพบความจริงว่าพฤติกรรมที่ผ่านมามิใช่คนเลวร้ายนักก็สมควรเกลี้ยกล่อมให้สวามิภักดิ์ต่อฝ่ายเราไว้ พระพุทธเจ้าข้า”

“จะเป็นไปได้อย่างไร ลำพังทิพราชาเพียงคนเดียวจะฝ่าเข้าไปเผาค่ายเสบียงได้ แค่สั่งให้กองธนูระดมยิงก็ตายเสียแล้ว” ขุนไกรหาญท้วงขึ้น

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่