ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๖๕ องค์ขุนหลวงพะงั่วแห่งอโยธยา

.

บทที่ ๖๕ องค์ขุนหลวงพะงั่วแห่งอโยธยา

พุทธศักราช ๑๙๒๑ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก เดือน ๑๑ แรม ๑๐ ค่ำ
ชานเมืองนครพังคา (นครสวรรค์)

อาทิตย์ใกล้อัสดง แสงสีทองปรากฏเรืองรองบนฟากฟ้าฝั่งตะวันตก กองทัพอโยธยาพักทัพอยู่นอกเมือง จำนวนทหารแม้มากมายหลายหมื่นแต่กลับเป็นระเบียบมิสับสนวุ่นวาย แยกปักค่ายในลักษณะชั่วคราวเป็นหมู่เป็นกอง มิได้ล้อมรั้วแต่วางทหารรอบนอกอาณาบริเวณเขตตั้งทัพทั้งระยะไกลและใกล้ผลัดเปลี่ยนสลับเวรยามเฝ้าระวัง

บริเวณด้านหน้าถึงตรงกลางทัพเป็นทหารเดินเท้าราว ๔ หมื่นคน ปีกซ้ายและปีกขวาวางกองทหารม้าไว้ฝั่งละ ๓ พัน ถัดจากตรงกลางไปท้ายทัพเป็นกองทหารช่าง กองเกียกกาย (ดูแลเสบียงอาหาร) และทหารเดินเท้าอีกราว ๑ หมื่นคน ด้านท้ายทัพเป็นกองช้างจำนวน ๒ พัน

ยามนี้ทุกค่ายกองต่างหุงหาอาหารตามที่ได้รับปันส่วนจากกองเกียกกาย องค์ขุนหลวงพะงั่วจอมทัพประทับรวมอยู่ในค่ายพร้อมเหล่าทหาร มิได้เข้าไปประทับในนครพังคา ยามออกศึกพระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับกองทหารทั้งทรงดื่มกินและทรงหลับนอนเยี่ยงทหารนายกองผู้หนึ่ง แม้จะเดินทัพผ่านหัวเมืองรายทางก็มิยอมเข้าประทับค้างแรมในพระตำหนัก ทรงตั้งพระราชปณิธานว่า..จะประทับแต่ในพระตำหนักของเมืองจุดหมายเท่านั้น และครั้งนี้คือนครชุมของเมืองชากังราว และกรุงสุโขทัย

ภายในค่ายกองเกียกกาย ปรากฏกลุ่มทหารในชุดนายหมู่นายกองนั่งรายล้อมมหาบุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งชุดดำปักลายทอง ผ้าไหมคาดเอวสีน้ำเงินเข้มเป็นมันเลื่อมวาวปักชายดิ้นเงินดิ้นทอง สวมเกราะหนังอ่อนสีดำคลุมปิดช่วงไหล่จรดแผงหน้าอกและกลางสะบักหลัง ใบหน้าเด่นสง่าด้วยราศี แววตาสะกดข่มผู้คนให้กลัวเกรง

เบื้องหน้ามีชายแต่งกายในชุดเจ้าเมืองฝ่ายเหนือ นั่งคุกเข่าพนมมือกล่าวรายงาน.. มีเพียงมหาบุรุษที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้เหนือผู้คนทั้งปวง

“นครพังคาของข้าพระพุทธเจ้า จะเร่งนำเสบียงกรังจำนวนสองในสามของทั้งหมด มอบต่อท่านนายกองเกียกกายให้แล้วเสร็จภายในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าข้า”

“ดีแล้ว อย่าให้ช้าเกินค่ำวันพรุ่ง เราจะพักทัพอยู่ที่แห่งนี้สองคืนให้ทหารได้หายเมื่อยล้า รุ่งเช้าของวันมะรืนจะเดินทัพต่อเนื่องไปทุกวันจนถึงกำแพงเมืองนครชุม”

“ส่วนเมืองชัยนาท.. ข้าพระพุทธเจ้าจะประสานกับท่านเจ้าเมือง คอยรับเสบียงมาผสมรวมกับเสบียงของเมืองข้าพระพุทธเจ้า แล้วทยอยติดตามส่งไปให้กองทัพของฝ่าพระบาททุกเจ็ดวัน พระพุทธเจ้าข้า”

มหาบุรุษผู้เปี่ยมด้วยพระสง่าราศี ที่แท้คือองค์พระผู้เป็นใหญ่เหนืออาณาจักรอโยธยา แผ่พระราชอำนาจถึงปลายสุดคาบสมุทรสุวรรณภูมิ เบื้องตะวันออกสยบกรุงกัมพูชาธิบดีทั้งหมดไว้ในขอบขัณฑสีมา เบื้องตะวันตกถึงฝั่งมหาสมุทรอินเดีย.. องค์ขุนหลวงพะงั่ว

ผู้ที่เข้าเฝ้าคือเจ้าเมืองนครพังคา กราบทูลถวายรายงานความเรียบร้อยภายในนครของตนและการนำส่งเสบียงให้กองทัพอโยธยาพร้อมส่งกำลังพลเข้าร่วมสมทบ

องค์ขุนหลวงพะงั่วทรงเคลื่อนทัพหลวงมาถึงชานเมืองนครพังคาในช่วงเย็น โปรดให้ตั้งค่ายพักทัพอยู่ ๒ คืน เมื่อตั้งค่ายกองเรียบร้อยแล้วจึงเสด็จมาตรวจดูเสบียงกรังที่กองเกียกกาย ไม่นานเจ้าเมืองนครพังคาก็รีบมาเข้าเฝ้าพร้อมเสบียงและกำลังทหารส่วนหนึ่ง ทรงให้ไปปักค่ายรวมอยู่กับกองทหารจากเมืองชัยนาท

พลันมีพระราชโองการขึ้นว่า
“ขุนปลัดทัพสีหไชยชาญ.. จงประกาศออกไปทุกหมู่ทุกกอง ให้ทุกคนที่เข้าร่วมกองทัพของเรารับรู้เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อเดินทัพออกจากเมืองพังคาเข้าเขตแดนชากังราวให้ปฏิบัติต่อชาวบ้านชาวเมืองเหมือนที่ผ่านมา ห้ามปล้นชิงข่มเหงทำร้ายชาวบ้านเด็ดขาด หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ว่ามันผู้นั้นจะมาจากหัวเมืองใด ให้ตัดหัวเสียบประจานทันที”

“รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะประกาศย้ำให้รู้กันทั่วไปทั้งกองทัพภายในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าข้า”
ขุนปลัดทัพขุนสีหไชยชาญรับพระบรมราชโองการ

สักครู่มีนายกองผู้หนึ่งพร้อมทหารติดตามนำตัวหัวหมู่ผู้หนึ่งมาเข้าเฝ้า

“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท.. หัวหมู่ผู้นี้เป็นทหารของท่านขุนปราบไพรีพ่ายอยู่ทัพหน้า ได้คุมทหารนำตัวขุนนางสุโขทัยมาขอเข้าเฝ้าฝ่าพระบาท แจ้งว่าเป็นราชทูตมาถวายพระราชสาส์นขององค์พ่อขุนพระยาลือไทแด่ฝ่าพระบาท พระพุทธเจ้าข้า”

สิ้นคำกราบทูล นายทัพนายกองซึ่งรายล้อมเข้าเฝ้าอยู่ต่างหันหน้าพึมพำว่ากล่าวต่อกันเบาๆ

“พวกเจ้าไม่ต้องสันนิษฐานหรือคาดเดากันหรอก..” องค์ขุนหลวงพะงั่วรับสั่ง พลางทรงพระสรวลในลำพระศอ “จงเร่งนำมาเข้าเฝ้าเราให้สิ้นสงสัย”
“พระพุทธเจ้าข้า”

นายกองและหัวหมู่ผู้มาใหม่กราบบังคมทูลลาออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมชายในชุดข้าราชสำนักกรุงสุโขทัยสองคน ผู้นำหน้าแลดูอาวุโสกว่ามาก เข้ามากราบถวายบังคมต่อองค์ขุนหลวงพะงั่ว ส่วนอีกคนนั่งคุกเข่ายืดตัวตรงประคองพานอัญเชิญพระราชสาส์นอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง

“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท..” ขุนนางผู้อาวุโสกราบทูล “ข้าพระพุทธเจ้า ขุนเสนะทิพขุนวังแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระราชสาส์นแห่งองค์สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๒ พ่อขุนพระยาลือไท มาถวายแด่ฝ่าพระบาท พระพุทธเจ้าข้า”

“คงจะเป็นเรื่องสำคัญมาก องค์พ่อขุนพระเจ้าน้องเราจึงทรงให้ท่านขุนวังออกมาเฝ้าเราด้วยตนเอง..”

เมื่อทอดพระเนตรเห็นขุนเสนะทิพขยับหันกายไปเยื้องด้านหลังแต่มิยอมรับพานอัญเชิญพระราชสาส์นมาไว้กับตัว เพียงกวาดตาไปรอบข้างแล้วหยุดนิ่งเสีย ก็ทรงทราบในพระทัยว่าตัวราชทูตมองหาอาลักษณ์และการจัดที่วางตั้งประดิษฐานพระราชสาส์นขององค์พ่อขุนพระยาลือไทให้สมพระเกียรติ จึงรับสั่งไปว่า

“เรานำทัพมาตั้งยังท้องทุ่งแห่งนี้ เสมือนหนึ่งอยู่ในพระราชฐานออกว่าราชการ ลานหน้าค่ายกองเกียกกายบัดนี้ก็คือลานท้องพระโรงของเรา ท่านอย่าได้รังเกียจหรือน้อยใจไปเลย”

“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท.. ข้าพระพุทธเจ้ามิเคยรังเกียจผืนดินของนครพังคาเลยแม้แต่น้อยเพราะตอนเยาว์วัยก็เคยมาวิ่งเล่นบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ จะมีก็เพียงความเสียใจที่ในกาลก่อนมิได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่าวันหนึ่งจะมีองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอโยธยาเสด็จมาพักทัพเตรียมบุกเข้ายึดกรุงสุโขทัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิเช่นนั้นคงได้กราบทูลองค์พ่อขุนพระยาลิไทในรัชกาลก่อนให้โปรดสร้างพลับพลาที่ประทับเตรียมรอไว้แต่ครั้งนั้นแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”

องค์จอมทัพอโยธยาทรงฟังคำกล่าวอ้างถึงแผ่นดินนครพังคาเดิมเป็นของอาณาจักรสุโขทัยแต่กลับถูกพระองค์ยึดครองไป ทั้งยังมาตั้งทัพเป็นฐานที่มั่นก่อนบุกเข้าตีหัวเมืองหน้าด่านของสุโขทัยอีก.. แทนที่จะทรงพระพิโรธ กลับทรงพระสรวลชอบพระทัย

“ขุนวังแห่งสุโขทัยที่เล่าลือกันว่าเปี่ยมด้วยสติปัญญาและฝีปากในการเจรจา.. วันนี้เจอตัวนับว่าสมจริงแล้ว”

องค์ขุนหลวงพะงั่วทรงคลี่รัตพัสตร์ (ผ้าคาดเอว) สีน้ำเงินเข้มปักดิ้นเงินดิ้นทองประจำพระองค์ออกปูลงยังด้านข้างบนพื้นพระแท่นแคร่ไม้ที่ประทับอยู่ เป็นหมายว่าจะรับพระราชสาส์นมาวางตั้งเคียงข้างพระองค์ให้สมพระเกียรติ ก่อนจะอัญเชิญกลับไปยังค่ายหลวงที่ประทับ

“นายกองเกียกกาย.. ถ้าที่นี้คือท้องพระโรง เจ้าจงมาเป็นหัวหน้าอาลักษณ์รับพระราชสาส์นและอ่านให้เราฟังเถิด”
“พระพุทธเจ้าข้า”

นายกองเกียกกายที่อยู่เฝ้า เดินเข่าเข้าไปเบื้องหน้าขุนเสนะทิพพร้อมผู้ติดตามด้านหลัง ทำการถวายบังคมต่อพระราชสาส์นแล้วรับพานอัญเชิญมาจากมือขุนวัง หยิบพระราชสาส์นขึ้นแล้วส่งพานไปให้ผู้ติดตามประคองรับไว้

จากนั้นจึงคลี่พระราชสาส์นออกอ่านถวาย ใจความว่า...

“สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๒ พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย ขอถวายพระพรแด่สมเด็จพระบรมราชาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอโยธยา องค์พระเชษฐา

การที่พระเจ้าพี่ทรงกรีฑาทัพขึ้นเหนือมาตีหัวเมืองหน้าด่านของกรุงสุโขทัยถึงสามครั้ง ครั้งแรกปีฉลูยกมาตีเมืองชากังราว ครั้งที่สองปีเถาะตีเมืองสองแคว ครั้งที่สามปีมะโรงตีเมืองชากังราว ก็ในการครั้งนี้คงมีพระราชประสงค์ให้หม่อมฉันเข้าพระทัยว่าจะทรงยกมาตีเมืองสองแควด้วยผู้คนในเมืองก็น้อย แลเมืองน่านก็เพิ่งพ่ายศึกไปมิแข็งแรง แต่เมื่อพิเคราะห์ว่าพระเจ้าพี่ทรงเร่งยกทัพมามิรอให้พ้นฤดูเก็บเกี่ยว หม่อมฉันจึงตั้งทัพรอที่เมืองชากังราว สองทัพจะได้ประจันกันโดยไวสมดังที่เร่งเดินทัพมาจากกรุงอโยธยา

อนึ่งอาณาจักรสุโขทัยนี้สงบสุขมาช้านาน สองราชวงศ์แห่งพระร่วงแลศรีนาวนำถมร่วมกันสร้างจนเป็นปึกแผ่น มาในแผ่นดินของหม่อมฉันแลพระเจ้าพี่ซึ่งขึ้นครองราชย์ร่วมปีศักราชเดียวกันจะมาห้ำหั่นต่อสู้จนไพร่พลผู้คนทั้งสองฝ่ายล้มตายหาสมควรไม่ แม้พระเจ้าพี่ทรงมีชัยชำนะยึดกรุงสุโขทัยได้คงต้องสูญเสียไพร่พลไปจำนวนมิน้อยเช่นกัน เมื่อนั้นทัพล้านนาข้างทิศเหนือที่มีความพร้อมทั้งจำนวนพลแลความสมบูรณ์ก็จะสบโอกาสยกมาเอากรุงสุโขทัยทันที สุดท้ายทั้งพระเจ้าพี่แลหม่อมฉันต่างมิมีผู้ใดเป็นผู้ชำนะ

ครั้งนี้หม่อมฉันเห็นว่าอย่าได้รบกันถึงหัวหมู่นายกองแลไพร่พลให้ล้มตายเลย ให้รบกันเฉพาะตัวแม่ทัพใหญ่แต่เพียงสองคน หม่อมฉันจะขอเอาบุญของตนเสี่ยงทาย หากบุญจะได้นั่งใต้เศวตฉัตรของกรุงสุโขทัยสืบไปตลอดสิ้นพระชนม์ชีพก็ขอให้แม่ทัพใหญ่ของหม่อมฉันมีชัยชำนะ แต่หากแม้นหมดบุญเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จะขอยกอาณาจักรสุโขทัยให้พระเจ้าพี่ทรงรักษาดูแลต่อไป

หม่อมฉันได้เลือกตัวแม่ทัพใหญ่ไว้แล้วคือทิพราชา ราชาสิบสองนักษัตร ส่วนพระเจ้าพี่จะทรงเลือกผู้ใดเป็นแม่ทัพใหญ่ก็สุดแต่พระราชประสงค์
หากแม้นพระเจ้าพี่ทรงเห็นชอบกับการหลีกเลี่ยงความสูญเสียของไพร่พลทั้งสองฝ่าย ขอจงเดินทัพมาตั้งค่ายด้านทิศใต้ของนครชุม แลลานนอกกำแพงเมืองด้านนั้นจะเป็นสถานที่ต่อสู้กันของสองแม่ทัพใหญ่

แต่หากพระเจ้าพี่ทรงเห็นว่าเหนือกว่าด้วยกำลังคนแลช้างม้า จะเอามากชำนะน้อย ก็จงเร่งเดินทัพมามิว่าจะเป็นเมืองชากังราวหรือเมืองสองแคว หม่อมฉันแลกองทัพของราชอาณาจักรสุโขทัยพร้อมจะเอาชีวิตแลเลือดเนื้อเข้ารักษา

ลงตราพระราชลัญจกร
พระมหาธรรมราชาที่ ๒ แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย”

เมื่อนายกองเกียกกายอ่านพระราชสาส์นถวายจบแล้ว ก็มีเพียงเสียงจัดเก็บพระราชสาส์นวางลงบนพานและนำไปตั้งเหนือรัตพัสตร์บนพระแท่น

ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงออกความเห็น.. เนื้อความสำคัญในพระราชสาส์นทั้งการแจงแผนเดินทัพของอโยธยา การรอโจมตีซ้ำเติมของนครล้านนาและการท้ารบแม่ทัพใหญ่.. ล้วนเป็นเรื่องหนักหนาเกินกว่าจะแสดงอาการอันใดออกมาต่อหน้าราชทูตได้

“ทิพราชา..” องค์ขุนหลวงพะงั่วทรงเอ่ยนาม ก่อนจะรับสั่งต่อว่า “ครั้งนี้พระเจ้าน้องเราได้แม่ทัพดีมีฝีมือ อ่านแผนการเดินทัพของเราออก ทั้งยังวาดทัพล้านนาไว้ขู่เราอีก.. กล้าแม้กระทั่งท้ารบแม่ทัพใหญ่ตัดสินศึก”

ขุนวังผู้อยู่ในฐานะราชทูตกราบทูลขึ้นว่า

“ขอเดชะฝ่าพระบาท อันฝีมือของทิพราชานั้นยากจะหาผู้ใดเสมอ แม้ขุนปราบเองก็เคยพ่ายแพ้มาแล้ว การรบเฉพาะตัวแม่ทัพใหญ่จึงอาจดูไม่ค่อยยุติธรรมนัก.. น่าเสียดายที่กองทัพขนาดมหึมาของอโยธยาจะไร้ผู้มีฝีมือมาต่อกรด้วยแม่ทัพใหญ่ของสุโขทัย อีกทั้งกลศึกที่วางไว้หวังล่อให้ไประวังรักษาเมืองอื่นก็มิได้ผล ศึกครั้งนี้เห็นทีฝ่าพระบาททรงเหลือแต่วิธีของชาวป่าแล้ว.. คือใช้จำนวนพลที่มากกว่าโถมบุกยึดเอา พระพุทธเจ้าข้า”

“ระวังคำพูดของท่านนะขุนวัง..” เสียงนายกอง ๒-๓ นายตะโกนสำทับแทบจะพร้อมกัน แม้มิใช่ประโยคเดียวกันแต่ก็หมายขู่ให้ขุนวังหยุดคำสบประมาท
องค์ขุนหลวงพะงั่วกลับทรงยกพระหัตถ์โบกปรามนายกองของพระองค์ พระพักตร์นิ่งเฉย แต่กลับดูเปี่ยมด้วยพลังและอำนาจ

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่