ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๖๔ ห้าทัพในหกปี

.


บทที่ ๖๔ ห้าทัพในหกปี

พุทธศักราช ๑๙๒๑ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก เดือน ๑๑ แรม ๒ ค่ำ

ทั้งเมืองสุโขทัยวุ่นวายอยู่กับการระดมกำลังทหารส่วนที่เหลือ และจัดเตรียมอาวุธพร้อมเสบียงอาหารนำไปยังเมืองชากังราว ในท้องพระโรงวังหลวงจึงมีขุนนางเข้าเฝ้าปรึกษาข้อราชการกับองค์พ่อขุนพระยาลือไทจำนวนเพียงหนึ่งในสี่ของยามปกติ หลังจากขุนวังเสนะทิพ ขุนคลังวิเศษ และขุนเกษตรจานกราบทูลรายงานความคืบหน้าการเตรียมทัพใหญ่ซึ่งจะยกไปสมทบทัพขุนไกรหาญที่เมืองหน้าด่านแล้ว องค์หญิงกัณฐิมาศได้นำแสงพรายเข้าเฝ้าตามพระราชประสงค์ในช่วงก่อนเที่ยง

เมื่อได้กราบถวายบังคมองค์พ่อขุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พระองค์หญิงเสด็จขึ้นประทับบนพระแท่นทางด้านขวา ฝั่งตรงข้ามกับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามซึ่งนั่งบนตั่งทางด้านซ้าย แต่ที่แปลกไปคือจัดให้แสงพรายนั่งบนแท่นทางด้านขวาถัดจากพระองค์หญิง

หากมิใช่ยกย่องว่าแสงพรายคือราชาสิบสองนักษัตร ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยถือศักดิ์ราชาเสมอด้วยองค์เจ้าเมืองทั้งสิบสองของพระเจ้านครศรีธรรมราชก่อนถูกถอดศักดิ์ออก ก็อาจนับถือว่าเป็นผู้สืบสายพระโลหิตของพระเจ้านครปตานี

“เราขอมอบสิ่งของเหล่านี้คืนแก่ท่าน.. ทิพราชา แห่งปตานี”

สิ้นพระราชกระแสรับสั่ง พนักงานวังในเชิญพานเข้ามาถวายแด่แสงพราย บนพานวางไว้ด้วยของสามสิ่ง.. หนึ่งคือพระธำมรงค์ประจำองค์ราชาสิบสองนักษัตรทิพราชา หนึ่งคือพระธำมรงค์พระราชทานจากองค์ขุนหลวงพะงั่ว และสุดท้าย..มีดสั้นในฝักไม้สีดำ ด้ามทำด้วยงาช้าง

แสงพรายยกมือขึ้นพนม เตรียมจะล้วงผ้าผูกรัดอัฐออกจากชายพก พลันองค์หญิงกัณฐิมาศทรงยื่นพระภูษาซับพระพักตร์มาตรงหน้า
“ของเหล่านี้มีค่า ท่านใช้ผ้าของเรารองรับเถิด”

ชายหนุ่มกราบทูลขอบพระทัยองค์หญิงกัณฐิมาศ รับพระภูษามาแล้วหยิบพระธำมรงค์ทั้งสององค์วางลงในพระภูษาพับห่อไว้ จากนั้นจึงหยิบมีดสั้น วางทั้งหมดบนแท่นข้างกาย

“ท่านจะมิหยิบพระธำมรงค์ขององค์ขุนหลวงพะงั่วมาสวมใส่ประดับนิ้วหรือ” องค์พ่อขุนรับสั่งถาม
“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท.. นิ้วของข้าพระพุทธเจ้าบัดนี้สวมพระธำมรงค์ของฝ่าพระบาทอยู่ จึงมิอาจสวมองค์อื่นใดได้ พระพุทธเจ้าข้า”

องค์พ่อขุนทอดพระเนตรเห็นพระธำมรงค์พระราชทานของพระองค์ประดับอยู่บนนิ้วของชายหนุ่ม ทั้งทรงฟังคำกราบทูลถึงนัยแห่งความภักดี ก็พอพระราชหฤทัยเป็นอันมาก

“เราได้ยินมาว่าฝีมือการรบของทิพราชาเป็นหนึ่งมิเคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใด แต่แท้จริงแล้วฝีมือช่าง ฝีมือศิลป์และลิ้นที่เจรจาก็หาเป็นรองผู้ใดไม่” รับสั่งแล้วทรงพระสรวลด้วยพระทัยยินดี

“ขอเดชะ..” ขุนเกษตรจานกราบทูล “อันขุนศึกชำนาญการรบย่อมมีทั้งดีและชั่ว หากแต่ช่างพุทธศิลป์ผู้มีฝีมือเป็นเลิศ ย่อมเกิดแต่ใจที่ถือมั่นในพุทธธรรม คำพูดและวาจาย่อมมาจากจิตใจที่ดีงาม พระพุทธเจ้าข้า”

องค์พ่อขุนทรงพระสรวลขึ้นอีกครั้ง รับสั่งว่า
“ทิพราชา.. ท่านรู้หรือไม่ว่าเหล่าขุนนางของเราต่างพิเคราะห์ท่านไปคนละทิศทาง บ้างว่าท่านชั่วร้าย บ้างว่าท่านดีงาม.. มีแต่ขุนจานจึงเชื่อมั่นในตัวท่านโดยสนิทใจ ท่านลองพิเคราะห์ดีชั่วในตัวท่านเองตีแผ่ออกมาให้คนทั้งหลายรับฟังสักครั้งเถิด ว่าความจริงเป็นเช่นไร”

พระราชประสงค์แท้จริงขององค์พ่อขุนย่อมมิใช่จะโปรดให้ทิพราชาพิจารณาความดีความชั่วของตัวเอง หากแต่ทรงพระเมตตาให้โอกาสชายหนุ่มได้แก้ต่างข้อครหาของตนท่ามกลางหมู่ขุนนาง

“ขอเดชะ เป็นพระกรุณาธิคุณล้นพ้น พระพุทธเจ้าข้า” ทิพราชากราบทูลด้วยสำนึกในพระเมตตา “ข้าพระพุทธเจ้ามิอาจแอบอ้างตนว่าเป็นคนดี อีกทั้งไม่มีพยานหรือหลักฐานใดจะมาสนับสนุน หากแต่คดีกบฏที่เมืองนครศรีธรรมราชนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้กระทำลงไปจริงแต่มิได้สังหารหรือผลาญชีวิตผู้ใดให้สิ้นแม้แต่ผู้เดียว และที่ได้กระทำไปก็เพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับราชสำนักเมืองนครศรีธรรมราช..

หากจะมีเรื่องที่น่าละอายใจ ก็คงเป็นการกระทำของข้าพระพุทธเจ้าที่เมืองสุพรรณภูมิ ข้าพระพุทธเจ้าได้กระทำผิดและติดค้างต่อคนผู้หนึ่งไว้ ทำให้ต้องชดใช้ต่อคนผู้นั้นด้วยการเข้าช่วยเหลือองค์พระเจ้าผากองกษัตริย์เมืองน่านและเผาทำลายเสบียงทัพอโยธยาในศึกคราปีมะโรง..

ทั้งสองเหตุการณ์นับเป็นการละเมิดคำสัตย์สาบานที่เคยให้ไว้ว่าจะไม่ใช้วิชาการรบพุ่งสำหรับการอื่นใดเว้นเสียแต่เพื่อประโยชน์ในการตามหาองค์ตุมพะทะนานทอง พระพุทธเจ้าข้า.. การผิดคำสัตย์สาบานใช้อาวุธก่อกบฏที่เมืองนครฯ และต่อสู้เผาทำลายเสบียงทัพอโยธยา มีผลให้ข้าพระพุทธเจ้าได้รับบาดเจ็บด้วยคมอาวุธสาหัสเจียนตายทั้งสองครั้ง พระพุทธเจ้าข้า”

“ถ้าเช่นนั้น การที่ท่านจะใช้วิชาอาวุธเข้าต่อสู้กับขุนปราบในศึกครั้งนี้ จะมิผิดคำสัตย์สาบานที่เคยให้ไว้หรอกหรือ” ขุนวังเสนะทิพกล่าวถามขึ้น

“ครั้งนี้ข้าพเจ้าสู้เพราะรับเงื่อนไขพระมหาเถรตานไฟ ซึ่งท่านจะช่วยไขปริศนาการค้นหาองค์ตุมพะทะนานทองให้ข้าพเจ้าหากยินยอมต่อสู้กับขุนปราบและหยุดทัพอโยธยา.. จึงมินับว่าผิดคำสัตย์สาบานที่ได้ให้ไว้”

“แล้วคำสาปของท่านล่ะ ที่ว่า..เป็นกาลี” ขุนคลังวิเศษซักถามขึ้นบ้าง แต่ก็ระวังวาจาที่จะกล่าว “อยู่เมืองใดเมืองนั้นพิบัติ ท่านจะว่าอย่างไร”

ทิพราชาถอนหายใจ ท่าทีคล้ายปลงในชะตากรรมของตน แต่ก็คล้ายระบายลมหายใจด้วยความโล่งและสบายใจ

“เดิมทีข้าพเจ้าเกรงกลัวคำพยากรณ์ของเหล่าพราหมณ์ ดุจดังคำสาปที่ติดตามตัว กลัวจะเป็นความจริง.. กระทั่งได้ฟังธรรมจากปากของพระมหาเถรตานไฟในช่วงมินานมานี้ ท่านว่าผลย่อมเกิดแต่เหตุ ทั้งจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนั้นให้พากเพียรกระทำในสิ่งที่ถูกที่ควร และระวังป้องกันสิ่งร้าย อย่าได้วางตนให้ประมาท โอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติย่อมระงับหรือเบาบางลง.. ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าหากต้องต่อสู้กับขุนปราบแห่งอโยธยา ผลแพ้ชนะย่อมขึ้นกับระดับฝีมือและความพร้อมของแต่ละฝ่าย อีกทั้งจังหวะและปฏิภาณในการฉกฉวยโอกาส หาใช่เพราะคำสาปหรือคำทำนายใดๆ ไม่”

คำตอบของทิพราชานำมาซึ่งความพอใจของบรรดาขุนนางซึ่งเข้าเฝ้าในท้องพระโรง

“ท่านขุนเกษตรเล่า มีสิ่งใดจะซักถามบ้างหรือไม่”
“พระพุทธเจ้าข้า” ขุนจานเกษตรรับพระดำรัสแล้วกล่าวถามทิพราชา
“ท่านกล่าวว่าเคยกระทำผิดต่อคนผู้หนึ่งที่เมืองสุพรรณภูมิ มิทราบว่าเป็นผู้ใดและเรื่องอะไร ท่านพอจะบอกเล่ารายละเอียดได้บ้างหรือไม่”

คำถามนี้ทำให้สีหน้าของทิพราชาถึงกับเคร่งเครียด อดชำเลืองมององค์หญิงกัณฐิมาศไปโดยมิรู้ตัวแวบหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจยาว กล่าวตอบว่า
“คนผู้นั้น.. คือนางข้าหลวงประจำองค์พระชายาของพระเจ้านครอินทร์.. เป็นความผิดเกี่ยวกับเรื่องชู้สาว”

เป็นคำตอบที่ผิดคาด ทิพราชามิเคยละอายใจในเรื่องที่ตนเป็นกบฏต่อเมืองนครศรีธรรมราช แต่กลับละอายใจต่อหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงนางข้าหลวงประจำวัง

“ชายหนุ่ม.. อย่างไรก็ยังเป็นชายหนุ่ม ยากที่จะผ่านด่านของสตรีงาม..” ขุนคลังวิเศษรำพึงขึ้น “หากองค์ขุนหลวงพะงั่วทรงทราบว่ากองทัพของพระองค์ต้องวอดวายเพราะทิพราชาติดค้างน้ำใจต่ออิสตรีนางหนึ่ง มิรู้จะทรงพระสรวลหรือทรงพระกันแสงดี..”

คำกล่าวของขุนคลังเรียกเสียงหัวเราะทั่วท้องพระโรง

ทิพราชาที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า พร้อมเรื่องราวคราวครั้งที่ทำให้กองทัพอโยธยาล่าถอย.. ปลุกความฮึกเหิมมั่นใจให้กับเหล่าขุนนางในท้องพระโรง บรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้าพลอยเลือนหายไป
บางทีนี่อาจเป็นเสียงหัวเราะครั้งแรกในท้องพระโรง นับจากวันที่รับรู้ข่าวศึก

“นางข้าหลวงผู้นี้คงจะมีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ดูจากสีหน้าของท่านที่อาลัยอาวรณ์ในตอนนี้” ขุนวังเสนะทิพกล่าวสัพยอก
ทิพราชามิจำเป็นต้องตอบ.. แต่จะเพราะซื่อหรือด้วยเหตุผลอันใด กลับตอบไปว่า
“นางคือสตรีรูปงามที่สุดที่ข้าพเจ้าเคยพบพานมา..”

องค์พ่อขุนซึ่งทรงแย้มพระสรวลอยู่ พลันขมวดพระขนง รับสั่งว่า
“เจ้าต้องการให้เราเชื่อจริงๆ หรือ ว่ายังมีผู้ใดงดงามไปกว่าหลานกัณฐิมาศของเราอีก”

ขุนวังเสนะทิพพลันกราบทูลขึ้น
“ความหมายของทิพราชาคงหมายถึง.. นางคือผู้ซึ่งงดงามที่สุดก่อนจะมาพบพานองค์หญิงกัณฐิมาศ พระพุทธเจ้าข้า”

คำกราบทูลของขุนวังเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทุกคนอีกครา.. สำหรับชาวสุโขทัยแล้ว องค์หญิงกัณฐิมาศคือหนึ่งในความภาคภูมิใจ ทั้งพระสติปัญญาที่ชาญฉลาดและพระสิริโฉมที่งามล้ำ

องค์หญิงกัณฐิมาศยามนี้ทรงเบือนพระพักตร์ที่วางเฉยมายังชายหนุ่ม ทรงเพ่งมองราวจะหยั่งความในใจของชายผู้นั่งอยู่เคียงข้าง..

พระสุรเสียงขององค์พ่อขุนพระยาลือไทรับสั่งดังขึ้น คล้ายคำประกาศ
“เราให้ทิพราชาเข้าเฝ้าในครั้งนี้ ก็เพราะตั้งใจจะตัดสินผลการรบกับทัพอโยธยาด้วยการประลองเพลงอาวุธของตัวแม่ทัพใหญ่บนหลังม้า แม่ทัพฝ่ายใดมีชัยก็ให้ถือว่าทัพฝ่ายนั้นชนะศึกทั้งมวล เราจะให้ทิพราชาเป็นแม่ทัพใหญ่ตัวแทนของฝ่ายเรา.. ทิพราชา ท่านจะว่าอย่างไร”

ตอนท้ายทรงหันมารับสั่งถามกับชายหนุ่มผู้ถูกเอ่ยนาม

“ขอเดชะ ฝ่าพระบาท พระมหาเถรตานไฟคงจะได้กราบทูลให้ฝ่าพระบาททรงทราบแล้ว ข้าพระพุทธเจ้ายินดีรับต่อสู้กับขุนปราบหรือขุนศึกคนใดก็ตาม เพื่อยุติศึกระหว่างสุโขทัยและอโยธยา พระพุทธเจ้าข้า”

“ดีมาก.. แม้เราจะรู้ความจากพระมหาเถระแล้ว แต่ก็ต้องการฟังวาจายืนยันจากปากของท่าน ผู้ซึ่งต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับแม่ทัพใหญ่ฝ่ายตรงข้าม.. ครั้งนี้หากท่านเอาชนะแม่ทัพตัวแทนของฝ่ายอโยธยาได้ สิ่งใดที่ท่านปรารถนาและไม่เกินวิสัยของเราแล้วไซร้ เรารับปากจะนำมามอบให้กับท่าน”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น พระพุทธเจ้าข้า.. หากข้าพระพุทธเจ้ามิอาจเอาชนะในการประลองครั้งนี้ได้ ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาศีรษะเป็นเครื่องเซ่นสังเวยราชอาณาจักรสุโขทัย พระพุทธเจ้าข้า”

น้ำเสียงที่เหี้ยมหาญ คำประกาศเอาชีวิตเป็นเดิมพันทำให้ทุกคนในท้องพระโรงถึงกับขนลุก ความรู้สึกฮึกเหิมพลอยประดังขึ้นอีกครา...

จากนั้นมีพระราชดำรัสให้เลิกประชุมขุนนางโดยทั่วไป โปรดให้เชื้อพระวงศ์และขุนนางทุกคนออกจากท้องพระโรง เว้นไว้แต่ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสาม ทิพราชาและองค์หญิงกัณฐิมาศ

------------------------------

เมื่อท้องพระโรงเหลือจำนวนคนตามพระราชประสงค์แล้ว ขุนวังเสนะทิพเป็นผู้กล่าววาจาขึ้นต่อทิพราชาว่า

“การที่ฝ่าพระบาทขอให้องค์หญิงกัณฐิมาศและตัวท่านพร้อมกับเราสามคนอยู่เฝ้าต่อนั้น เป็นเพราะเรามีเรื่องสำคัญจะสอบถามท่านเป็นการเฉพาะต่อเบื้องพระพักตร์ ซึ่งเรื่องนี้มิควรแพร่งพรายในหมู่ขุนนาง”
“เชิญท่านขุนวังสอบถามข้าพเจ้ามาเถิด”

ขุนวังพยักหน้ารับ ยิ้มด้วยความพอใจ กล่าวถามขึ้น
“ตัวท่านเคยอยู่อโยธยา รับใช้ใกล้ชิดองค์ขุนหลวงพะงั่วจนเป็นที่โปรดปรานถึงขนาดได้รับพระราชทานพระธำมรงค์ประจำพระองค์ ทั้งยังสาบานเป็นพี่น้องกับพระเจ้านครอินทร์เจ้าเมืองสุพรรณภูมิ เคยร่วมทัพมากับอโยธยาในศึกคราวที่แล้ว ปีมะโรง.. ท่านพอจะบอกเราถึงกลยุทธ์ของทัพอโยธยาอันจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายเราได้บ้างหรือไม่”

ที่แท้ขุนวังเสนะทิพต้องการสอบถามตนถึงกลศึกและยุทธศาสตร์ที่ทัพอโยธยามีต่อสุโขทัย จึงขอเข้าเฝ้าเจรจากันเฉพาะในกลุ่มขุนนางผู้ใหญ่เพียงสามคน มิให้เรื่องราวจุดอ่อนจุดแข็งของกรุงสุโขทัยแพร่กระจายออกไป

“ข้าแต่ท่านขุนวัง เรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับพระราชทานพระธำมรงค์จากองค์ขุนหลวงพะงั่วนั้นหาใช่เพราะรับใช้ใกล้ชิดจนเป็นที่โปรดปรานแต่อย่างใดไม่ หากเพราะบังเอิญมีโอกาสได้แสดงความสามารถประการหนึ่งเฉพาะพระพักตร์จนเป็นที่พอพระราชหฤทัย ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์การรบกับสุโขทัยนั้น คิดว่าพวกท่านก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว มิมีประโยชน์อันใดที่จะกล่าวถึง.. อีกอย่างการรบครั้งนี้เป็นการสู้รบเฉพาะตัวแม่ทัพ กลอุบายใดๆ คงมิจำเป็น”

ขุนคลังวิเศษฟังดังนั้นก็ให้เคลือบแคลงว่าทิพราชามิจริงใจ อาจปิดบังกลยุทธ์ของฝ่ายอโยธยาที่ตนรู้ไว้ จึงกล่าวบ้างว่า
“เรื่องยุทธศาสตร์ที่ท่านว่าพวกเรารู้กันดีอยู่แล้ว บางทีพวกเราอาจจะไม่รู้ก็ได้ เชิญท่านว่ามาเถิด”

องค์พ่อขุนทรงใคร่อยากฟัง รับสั่งเสริมว่า
“เชิญท่านกล่าวมาโดยมิต้องพะวงว่าเราจะรู้อยู่แล้วหรือไม่”

“พระพุทธเจ้าข้า” ทิพราชารับพระราชดำรัส แล้วกราบทูลอธิบายความว่า

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่