ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๒๖ ผู้ชนะประกวดแบบปั้นองค์พระ

.
                                                  

บทที่ ๒๖ ผู้ชนะประกวดแบบปั้นองค์พระ

ณ ลานดงตาล ยามเย็น...
บัดนี้แน่นขนัดไปด้วยบรรดาขุนนางและชาวเมืองที่ต่างมาเฝ้าฯ รับเสด็จองค์พ่อขุนพระยาลือไท พร้อมรอฟังพระราชวินิจฉัยตัดสินเลือกแบบปั้นองค์พระ

กึ่งกลางลานบริเวณหน้าพระแท่นมนังคศิลาบาตรมีโต๊ะใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะวางไว้ด้วยฝาครอบทรงกรวย ๓ ชุด สูงราวหนึ่งศอกกึ่ง (๗๕ เซนติเมตร) รองด้วยฐานไม้ ทั้ง ๓ ชุดมีลักษณะแบบเดียวกันคือขึงผ้าขาวรอบโครงไม้ไผ่เป็นทรงกรวย

ภายในกรวยย่อมเป็นแบบปั้นองค์พระที่ทั้งสามสำนักส่งเข้าประกวด ตัวฝาครอบและฐานรองเป็นขุนวังเสนะทิพจัดให้ทุกสำนักบรรจุแบบปั้นองค์พระไว้ภายใน และให้ทหารวังเชิญมายังลานดงตาล หัวหน้าสำนักทั้งสามนำศิษย์ติดตามมาเพียงหนึ่งหรือสองคนเพื่อมิให้พลั้งเผลอแสดงกิริยาออกมาเป็นนัยว่าแบบปั้นองค์พระไหนเป็นของสำนักตน

“อีกสักครู่ องค์พ่อขุนก็จะเสด็จมาตัดสินคัดเลือกแบบองค์พระในลำดับที่ ๑ และ ๒ ทั้งนี้พระองค์ไม่โปรดจะรับทราบว่าแบบปั้นองค์พระแต่ละองค์นั้นเป็นฝีมือของสำนักใด ทั้งนี้เพื่อให้การตัดสินพระทัยเป็นไปอย่างยุติธรรม ไม่มีฉันทาคติหรืออคติใดๆ ขณะทรงพระราชวินิจฉัย ดังนั้นจึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ แม้จะรับรู้ว่าแบบปั้นองค์พระไหนเป็นของสำนักใดก็ห้ามแพร่งพราย หรือส่งสัญญาณเป็นนัยเด็ดขาด”

เสียงขุนวังเสนะทิพประกาศขึ้นท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพารและไพร่ฟ้าชาวเมืองที่สนใจมาชม
ด้านซ้ายและขวาตรงหน้าพระแท่นมนังคศิลาบาตรขนาบไว้ด้วยตั่งไม้เตี้ยๆ เป็นแถวที่นั่งยาวสำหรับขุนนางและเชื้อพระวงศ์โดยไม่ถือลำดับชั้นหรือยศศักดิ์ แต่ผู้น้อยก็มักสละที่นั่งตั่งไม้ให้กับผู้มีศักดิ์อาวุโสหรือผู้สูงวัย ส่วนตัวนั้นก็นั่งกับพื้นปะปนกับชาวเมืองทั่วไป

เสียงขุนนางผู้หนึ่งดังขึ้นกล่าวกับขุนวัง
“แหม ข้านี้ชักทนรอไม่ไหว อยากจะชมแบบปั้นองค์พระทั้งสามในฝาครอบเสียแล้ว”

“ใจเย็นๆ ท่านขุนคลัง สักครู่พอองค์พ่อขุนเสด็จมา ก็จะได้ชมพร้อมกันทุกคน”
ที่แท้เป็นขุนวิเศษ ตำแหน่งขุนคลังที่กล่าววาจาด้วยรอยยิ้ม เช่นเดียวกับขุนนางและชาวเมืองทั้งปวงที่ใจจดใจจ่อรอชมแบบปั้นองค์พระของสามสำนักใหญ่และรับทราบผลพระราชวินิจฉัย

“สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ ๒ และพระศรีธรรมราชพระมเหสีเสด็จ” เสียงประกาศของพนักงานวังในดังกึกก้อง

ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพื้นกราบถวายบังคมแสดงความเคารพ เมื่อองค์พ่อขุนพระยาลือไทพร้อมพระนางสาขาพระมเหสีเสด็จพระราชดำเนินเข้ามายังใจกลางลานดงตาล เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) ของพระนางสาขา ทอดระยะไปสามช่วงก้าวพระบาทคือพระองค์หญิงกัณฐิมาศแห่งราชวงศ์น่าน
องค์พ่อขุนประทับบนพระแท่นมนังคศิลาบาตร ส่วนองค์พระมเหสีและองค์หญิงกัณฐิมาศประทับบนพระแท่นองค์เล็กที่อยู่ด้านข้างร่วมกัน
บรรดาเชื้อพระวงศ์ เหล่าขุนนางและไพร่เมืองต่างลุกนั่งประจำที่ของตน

“ขอบใจท่านขุนวังที่ดำเนินการทุกอย่างได้เรียบร้อย รวมถึงทั้งสามสำนักด้วยที่ช่วยออกแบบปั้นองค์พระมาให้เราคัดเลือก”
“ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต่างพร้อมรับสนองพระบรมราชโองการ พระพุทธเจ้าข้า” ขุนวังเสนะทิพกราบทูล

องค์พ่อขุนมีพระพักตร์แจ่มใสประดับด้วยรอยแย้มพระสรวล มีกระแสพระราชดำรัสกับผู้มาเข้าเฝ้าทั้งหลายว่า

“เรารู้สึกดีใจ ที่พวกท่านทั้งหลายต่างให้ความสนใจและมารวมกันมากมายเช่นนี้ พวกท่านคงพอจะทราบกันบ้างแล้วว่าเราประสงค์จะจัดสร้างองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่ขึ้น... เราขึ้นเป็นพ่อขุนเมืองสุโขทัยดูแลพวกท่านในปีจอ พร้อมกับที่ขุนหลวงพะงั่วขึ้นครองอโยธยาในปีเดียวกัน นับแต่นั้นก็มีสงครามรบพุ่งระหว่างสองเมืองติดต่อกันมาแทบทุกปี ใน ๗ ปีมีถึง ๕ ศึก ปีที่เพิ่งผ่านพ้นเป็นปีว่างห่างศึกอโยธยา เราจึงคิดว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้จัดสร้างพระใหญ่ประจำแผ่นดินของเราในครั้งนี้ จึงได้เชิญ ๓ สำนักช่างใหญ่มาช่วยออกแบบปั้นองค์พระเพื่อคัดเลือกและกำหนดตัวช่างเอกผู้ดำเนินการ”

รับสั่งแล้วให้พนักงานวังเชิญเงินและแพรพรรณมา พระราชทานแก่หัวหน้าสำนักทั้งสามด้วยโสมนัส

องค์หญิงกัณฐิมาศทรงแปลกพระทัยที่ปู่หลวงยังไม่กราบทูลเรื่องขอถอนตัวสละสิทธิ์ แต่กลับเดินเข่าเข้ารับพระราชทานเครื่องรางวัลจากพระหัตถ์ขององค์พ่อขุนอีก ทรงนึกกังวลในพระทัยว่าหากรับเครื่องของรางวัลแล้วจะกราบทูลปฏิเสธถอนตัวได้อย่างไร จะว่าปู่หลวงเห็นผู้คนมากันล้นหลามและประหม่าในพระอาการปิติพระทัยขององค์พ่อขุนจนอึกอักมิกล้ากราบทูล ก็คงมิน่าใช่... หรือว่าภายในฝาครอบทั้งสามนั้นจะมีแบบปั้นองค์พระอยู่ครบทั้งสามองค์

พลันองค์พ่อขุนก็รับสั่งกับขุนวังว่า
“ท่านขุนวังนี่ช่างคิดเสียจริง จัดฝาครอบแบบปั้นองค์พระไว้มิดชิด ไม่คิดถึงว่าผู้คนที่แห่แหนกันมาจะปรารถนาคอยชื่นชมแบบปั้นองค์พระของทั้งสามสำนักอยู่... ทำอย่างนี้พวกเขาจะพาลโกรธขึ้งมาถึงเราด้วย”

“ขอเดชะฝ่าพระบาท... ข้าพระพุทธเจ้า จำเป็นต้องกระทำเยี่ยงนี้ หาไม่แล้วเมื่อเปิดเผยแบบปั้นองค์พระออกไป ผู้คนทั้งหลายในที่นี้คงได้ร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึง จนอาจทึกทักได้ว่าแบบปั้นองค์พระไหนเป็นของสำนักใด แม้ฝ่าพระบาทเสด็จย่างเข้ามาในบริเวณก็อาจจะทรงได้ยินคำดังกล่าวเล็ดลอดมาบ้าง แม้คำทึกทักนั้นจะจริงหรือเท็จประการใดมิอาจทราบได้ แต่คงไม่ต้องพระราชอัธยาศัยที่ทรงประสงค์จะตัดสินแบบปั้นองค์พระโดยปราศจากอคติหรือความลังเลทั้งปวง พระพุทธเจ้าข้า”

จริงดังที่ขุนวังกราบทูล ผู้คนจำนวนมากบ้างคุ้นเคยไปมากับสามสำนักใหญ่ หรืออาจสนิทสนมจนได้เห็นแบบปั้นองค์พระขณะกำลังปั้นแต่ง เมื่อมารวมกันก็มักจะออกภูมิอวดรู้และระบุว่าองค์ไหนเป็นของสำนักใด

“ท่านนี่ช่างละเอียดรอบคอบ สมแล้วที่เรามอบให้ท่านเป็นธุระดูแลการนี้” ทรงชมเชย แล้วตรัสว่า “เอาละ ท่านขุนวังจงเปิดแบบปั้นองค์พระทั้งสามออกมาเถิด ให้ชาวเมืองได้ชื่นชมไปพร้อมกับเราในบัดนี้”
“พระพุทธเจ้าข้า”

ขุนวังรับสนองกระแสพระราชดำรัส ลุกขึ้นตรงไปยังโต๊ะกึ่งกลางหน้าที่ประทับ แล้วเปิดฝาครอบออกทีละใบ เผยแบบปั้นองค์พระสีผึ้งงามวิจิตร ๓ องค์ปรากฏท่ามกลางที่ประชุม
เสียงครางระงมของฝูงชนดังมาทุกทิศ ต่างชะเง้อคอชมดู ออกปากชื่นชมถึงความงดงาม

องค์พ่อขุนทรงลุกขึ้นจากที่ประทับ ย่างพระบาทไปยังโต๊ะกลาง เพ่งสายพระเนตรไปยังแบบปั้นองค์พระทั้งสาม ทรงพระดำเนินวนเวียนรอบโต๊ะเพื่อพิศเพ่งทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ผ่านไปเนิ่นนานจึงทรงสาวพระบาทกลับไปประทับยังพระแท่นมนังคศิลาบาตร

“เราเลือกได้หนึ่งองค์แล้ว... ยังเหลืออีกหนึ่งองค์ที่ต้องพิจารณา”

เสียงปวงชนครางอื้ออึงเมื่อได้ยินกระแสรับสั่ง ทุกคนต่างใคร่รู้ว่าในพระทัยทรงเลือกแบบปั้นองค์พระองค์ใดเป็นปฐม
จากนั้นองค์พ่อขุนทรงมีพระดำรัสกับขุนวิเศษผู้เป็นขุนคลังถึงการค้าขายที่ย่านตลาดปสาน ซึ่งขุนคลังได้กราบทูลว่าการค้าขายยังคงเหมือนปีก่อนๆ แม้จะเว้นศึกไป ๑ ปีเต็มแต่การค้าก็ไม่กลับมาคึกคัก เพราะพ่อค้าจากทางใต้แทบไม่ขึ้นล่องมาสุโขทัยเลย ได้ยินมาว่าทางอโยธยาปิดด่านชักอากรสินค้าที่ไปมาเมืองเหนือสูงนัก

ครั้นแล้วตรัสถามขุนจานผู้เป็นขุนเกษตรดูแลน้ำท่าและนาไร่ ได้ความว่าสรีดภงส์ (เขื่อนกั้นน้ำทางทิศใต้ถึงตะวันตกของเมืองสุโขทัย) มีน้ำเต็มเปี่ยม ไร่นาเรือกสวนต่างอุดมสมบูรณ์ดี และได้จัดกำลังทหารประจำดูแลรักษาสรีดภงส์ไว้อย่างดี

สักครู่พระองค์จึงรับสั่งว่า
“เราเลือกแบบปั้นองค์พระได้แล้ว...”

พลันความเงียบแผ่ตัวเป็นวงออกไปโดยรอบ คล้ายหยดน้ำร่วงหล่นบนผิวน้ำก่อคลื่นวงกระจายออกไป

“เราเลือกแบบปั้นองค์พระ..องค์ตรงกลาง”

สิ้นรับสั่ง เสียงผู้คนต่างครางฮือฮาออกมาอีกครา ครูผาทินเจ้าสำนักพุทธาไลยขยับตัว ยิ้มกริ่มบนใบหน้า
“พวกท่านทั้งสามสำนักแสดงตัวได้แล้ว เพราะเราได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว... แบบปั้นองค์พระองค์กลางคงเป็นของสำนักพุทธาไลย ใช่หรือไม่”
“พระพุทธเจ้าข้า” ครูผาทินเจ้าสำนักรับพระราชดำรัส พลางยกมือขึ้นพนม

“เราขอยินดีกับท่านด้วย... ส่วนอีกองค์หนึ่งที่เราเลือกคือองค์พระทางด้านซ้าย เป็นของผู้ใดล่ะ”

ปู่หลวงแสงคำพนมมือกราบบังคมทูล
“ของสำนักข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าข้า”

“เป็นของครูแสงคำหรือนี่... แบบปั้นองค์พระนี้ถูกใจเรานัก เมื่อแรกเห็นก็เลือกเป็นปฐมแล้ว”

ที่แท้แบบปั้นองค์พระที่องค์พ่อขุนเลือกหมายไว้เป็นอันดับหนึ่ง...
คือองค์ของสำนักบ้านเงินบ้านทอง

จากนั้นทรงผินพระพักตร์ไปรับสั่งกับพ่อครูแก้วมารุนแห่งสำนักศิลาจาร
“ท่านแก้วมารุนก็อย่าได้น้อยใจเลย หลังจากเราเลือกแบบปั้นองค์พระได้ลำดับแรกแล้ว เราก็มิรู้จะตัดสินใจได้อย่างไรระหว่างองค์พระเบื้องขวาที่งดงามอ่อนช้อยของสำนักท่าน กับองค์ตรงกลางที่แม้แข็งกระด้างแต่ดูมีพลัง จึงได้แต่ชวนขุนวังและขุนเกษตรสนทนาเรื่อยไปถึงสภาพของบ้านเมืองจนในที่สุดเรากลับรู้สึกว่าแบบปั้นองค์พระที่ดูมีพลังน่าจะเหมาะสมที่จะได้รับพิจารณาจัดสร้างขึ้นในช่วงสมัยนี้”

“ข้าพระพุทธเจ้าก็เห็นถึงความจริงข้อนี้เช่นกัน พระพุทธเจ้าข้า” ครูแก้วมารุนกราบทูล “เพียงแต่ข้าพระพุทธเจ้าจนใจที่มิสามารถออกแบบปั้นองค์พระให้ดูแข็งแรงแต่ไม่แข็งกร้าวและสะท้อนอารมณ์ปิติออกมาได้ จึงจำต้องออกแบบในลักษณะอ่อนช้อยบรรจงและปิติแทน พระพุทธเจ้าข้า”

“เป็นอย่างที่ท่านครูกล่าว เรารู้สึกปิติที่พิศดูแบบปั้นองค์พระของท่าน เพียงแต่เรากลับไม่รู้สึกผูกพันจนอยากจัดสร้างขึ้นมา ถ้าจะให้เราจัดสร้างอุทิศถวายแด่พระราชบิดาพระยาลิไท เราก็จะเลือกแบบปั้นองค์พระของท่าน... ส่วนแบบปั้นองค์พระตรงกลางกลับรู้สึกดึงดูดใจให้เราจัดสร้างประจำแผ่นดินมากกว่า แม้จะไม่รู้สึกปิติเช่นดั่งองค์ของท่านก็ตาม”

องค์พ่อขุนทรงเพ่งสายพระเนตรมายังแบบปั้นองค์พระด้านซ้ายของสำนักบ้านเงินบ้านทอง จากนั้นจึงทรงหันไปรับสั่งกับปู่หลวงว่า
“ท่านครูแสงคำ ครั้งนี้แบบปั้นองค์พระของท่านดูวิจิตรงดงามผสมผสานทั้งความแข็งแกร่งและอ่อนช้อย ดูแข็งแรงมีพลังและยังความปิติในใจเราด้วย เพียงแต่ดูไปแล้วลักษณะผิดแผกไปกว่าทุกครั้งที่ท่านครูเคยจัดสร้างมา จะว่าเป็นฝีมือครูพิธานก็ไม่ถนัดนัก ท่านช่วยไขข้อข้องใจนี้ด้วยเถิด”

ปู่หลวงกราบทูลว่า
“ขอเดชะฝ่าพระบาท ข้อที่ทรงสงสัยนั้นถูกต้องแล้วพระพุทธเจ้าข้า แบบปั้นองค์พระนี้หาได้เป็นฝีมือของข้าพระพุทธเจ้าหรือตัวพิธานผู้ศิษย์แต่อย่างใด หากแต่เป็นฝีมือของแสงพรายศิษย์ของครูแสงใหญ่พี่ชายของข้าพระพุทธเจ้าที่อยู่เมืองนครศรีธรรมราช บุคคลผู้นี้เพิ่งมาอาศัยอยู่ในสำนักของข้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าข้า”

“แสงพรายหรือ... คนที่มีเรื่องมีราวกับขุนกาฬที่ตำหนักองค์หญิงกัณฐิมาศใช่หรือไม่”
รับสั่งแล้วทรงผินพระพักตร์ทอดพระเนตรพระนางเจ้าของพระตำหนักที่เกิดเหตุสักครู่หนึ่ง

“คือแสงพรายคนนี้เอง พระพุทธเจ้าข้า”

“เราได้ยินว่าเจ้าตัวบาดเจ็บสาหัสจากการทำร้ายของขุนกาฬ เรื่องนี้เราได้คาดโทษขุนกาฬไว้แล้วตั้งแต่ครั้งพระนางกัณฐิมาศมาร้องต่อเรา... แต่ทำไมคนเจ็บจึงลุกขึ้นมาออกแบบปั้นองค์พระได้เล่า”

“ขอเดชะฝ่าพระบาท อาการบาดเจ็บของแสงพรายพอจะทุเลาลงแล้ว และได้ลุกขึ้นมาปั้นแบบองค์พระเมื่อคืนนี้เอง” เมื่อเห็นสีพระพักตร์ที่ขมวดมุ่นขึ้น ปู่หลวงจึงรีบกราบทูลต่อว่า “เดิมทีข้าพระพุทธเจ้าและพิธานได้ช่วยกันปั้นองค์พระออกมาสำเร็จแล้วองค์หนึ่ง เป็นแบบปั้นองค์พระที่แข็งแรงแต่ไม่อาจสลัดอารมณ์ความห่อเหี่ยวและแห้งแล้งออกจากองค์พระได้ จึงคิดจะยับยั้งไม่ส่งแบบปั้นองค์พระเข้าประกวด ตอนหัวค่ำแสงพรายตื่นขึ้นมารับรู้เรื่องจึงขอทดลองปั้น และใช้เวลาเพียงค่ำคืนเดียวปั้นออกมาอย่างที่ฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตร พระพุทธเจ้าข้า”

“ช่างน่าประหลาดนัก แสงพรายคนนี้ แล้วเขาใช้ฝีมือเยี่ยงใดจึงได้แบบปั้นองค์พระที่งามเลิศเช่นนี้”

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่