.
บทที่ ๕๓ พระสติปัญญาที่ลึกล้ำ
ขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๑๑ แสงแดดอ่อนแรง บนโถงชานกว้างของเรือนใหญ่สำนักบ้านเงินบ้านทองมีลมโชยผ่านเย็นสบายแก่ผู้มาเยือน...
แต่บรรยากาศกลับร้อนรุ่มสำหรับผู้ให้การต้อนรับ
เหตุเพราะความหนักอกหนักใจของผู้คนในสำนักบ้านเงินบ้านทองกับทองคำที่ยังสาบสูญอยู่
บนเรือนนอกจากผู้พำนักคือปู่หลวง ครูพิธานและพิไลแล้ว ก็มีแสงพราย น้าหมาน นางผิน คำแปง บุญจันและจุก ส่วนผู้มาเยือนคือขุนวังเสนะทิพ พร้อมพนักงานสอบสวนกรมวัง ๑ คน และขุนกาฬ พร้อมทหารติดตาม ๑ คน
ส่วนทหารติดตามของขุนวังและขุนกาฬที่เหลืออีก ๘ คนมิได้ขึ้นมาบนเรือน แต่เฝ้ารออยู่ด้านล่าง
“ทำไมพระองค์หญิงกัณฐิมาศยังมิเสด็จมา...หรือว่าทรงไม่สามารถสืบพบทองคำจึงหลบพระพักตร์ไป” ขุนกาฬกล่าวเยาะขึ้น
“ท่านก็ใจเย็นรอสักครู่ อย่างไรเสียพระองค์หญิงก็ต้องเสด็จมาที่นี่” ขุนวังกล่าวขึ้น ไม่มีท่าทีรีบร้อน
ขุนวังและขุนกาฬต่างนั่งบนตั่งตัวเล็กเรียงกัน จัดวางไว้ตรงโถงชานกว้างหน้าห้องพระ หันหน้าไปยังบันไดของเรือนและหันหลังให้กับนอกชาน
ถัดจากที่นั่งของขุนวังด้านซ้ายมือ คือตั่งประดับมุกจัดวางตั้งฉากอยู่ในลักษณะตำแหน่งประธาน หันหน้าเข้าประตูห้องพระ บนตั่งมีหมอนอิงเตรียมไว้สำหรับเป็นที่ประทับขององค์หญิงกัณฐิมาศ ข้างตั่งทั้งหมดมีโต๊ะตัวเล็กๆ วางไว้ด้วยอาหารว่างและน้ำดื่ม...
ส่วนปู่หลวงและครูพิธานนั่งอยู่บนตั่งเล็กด้านซ้ายของตั่งที่ประทับ ฝั่งตรงข้ามกับขุนวังและขุนกาฬ ส่วนคนที่เหลือนั่งรายล้อมบนพื้นโถงชานกว้าง
“ท่านขุนวัง ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าทองคำได้สูญหายไป.. ช่วงที่รอองค์หญิงเสด็จ ทำไมเราไม่สอบถามคนเหล่านี้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และใครเป็นผู้ต้องสงสัย”
ขุนวังพิจารณาข้อเสนอของขุนกาฬ เห็นว่าเป็นเรื่องสมควร จึงเรียกให้คนของสำนักบ้านเงินบ้านทองเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง.. และผู้รับหน้าที่เล่าเรื่องราวโดยละเอียดก็คือครูพิธาน
เรื่องราวถูกถ่ายทอดตั้งแต่เริ่มรับทองคำพระราชทานและนำมาเก็บไว้ในห้องพระ กระทั่งหายสาบสูญไปในช่วงที่แสงพรายขึ้นมาบนเรือนพร้อมพิรุธต่างๆ และมีเพียงแสงพรายที่ออกจากสำนัก...
“ถ้าเป็นดั่งครูท่านว่า ทองคำคงมิได้อยู่ในสำนักแล้ว.. ท่านคิดว่าผู้ใดเป็นคนขโมยทองคำพระราชทานไป” ขุนกาฬกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
หลังจากเข้าเฝ้าองค์พ่อขุนเมื่อวันวาน องค์หญิงกัณฐิมาศได้รับสั่งกับปู่หลวงให้ดำเนินการจัดแต่งห้องพระในเย็นวันนี้ให้เหมือนช่วงเช้าวันแรม ๑๕ ค่ำ สิ่งของใดที่เคยนำเข้าไปก็ให้นำกลับไปวางไว้ดังเดิม แม้ข้าวพระพุทธก็ให้ปรุงและจัดสำรับเหมือนวันนั้น ส่วนแท่งทองคำซึ่งบัดนี้ถูกแสงพรายหล่อเป็นองค์พระหมดสิ้นแล้ว รับสั่งให้นำโลหะใดก็ได้ มาหล่อเท่าขนาดของแท่งทองคำจริงจำนวน ๔ แท่งกับอีกหนึ่งแท่งที่หักปลาย แล้วห่อผ้าแพรไว้ในลักษณะหลุดลุ่ย..
เมื่อครูพิธานเล่าบรรยายรายละเอียดต่างๆ ทั้งขุนวังและขุนกาฬซึ่งนั่งอยู่หน้าห้องพระที่ถูกเปิดประตูไว้จึงนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ครูพิธานยังนิ่ง มิได้ตอบคำของขุนกาฬ คล้ายชั่งใจว่าจะพูดกระไรดี
“ท่านครู บอกมาเถิด บางทีข้าจะมีวิธีทำให้คนร้ายสารภาพออกมา ท่านครูและคนอื่นทั้งหมดในสำนักที่ไม่ได้เกี่ยวข้องจะได้ไม่ต้องพลอยรับโทษทัณฑ์ไปกับคนกระทำผิดด้วย”
“ข้าคิดว่า.. ผู้ที่ขโมยทองคำไปก็คือ แสงพราย... มีแต่เขาที่มีพิรุธต่างๆ มากมาย ตัวเขาเองเป็นใคร จะมาจากสำนักช่างหลวงของเมืองนครศรีธรรมราชหรือเปล่า จนบัดนี้ข้าก็ยังไม่แจ้ง...”
ขุนกาฬหันไปมองแสงพราย หัวเราะห้วนๆ ในลำคอ
“ทหาร.. ไปเอาโซ่ขึ้นมา แล้วล่ามไอ้แสงพรายไว้ จะได้ลากตัวไปส่งพระตำรวจหลวง”
ขุนกาฬสั่งการโดยมิสนใจขุนวังที่นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งที่พระตำรวจหลวงอยู่ในสังกัดของท่าน
“ขุนกาฬ อย่าเพิ่งรีบร้อน จะทำอะไรควรรอพระองค์หญิงกัณฐิมาศเสด็จมาก่อน” ขุนวังทักท้วงขึ้น
“ท่านอา ท่านก็ได้ยินเรื่องที่ครูพิธานเล่ามาโดยละเอียดแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ก็ชี้ชัดว่าแสงพรายเป็นคนร้ายที่ขโมยทองไป อีกอย่างในเมื่อเจ้าทุกข์ระบุผู้ต้องสงสัยก็ต้องล่ามโซ่มัดมือไว้ก่อน.. ถ้าหากพระองค์หญิงเสด็จมาแล้วสามารถไขคดีเป็นอื่นได้ ก็ค่อยแก้มัดมัน”
ขณะที่ขุนวังยังคงลังเล แสงพรายก็กล่าวขึ้น
“เชิญพวกท่านพันธนาการข้าพเจ้าเถิด อย่าได้ลำบากใจเลย”
สักครู่ทหารของขุนกาฬที่วิ่งลงไป ก็กลับขึ้นมาบนเรือนพร้อมสายโซ่และสลักกุญแจ แล้วนำมาผูกมัดข้อมือของแสงพรายไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมยื่นมือมาให้ผูกรัดแต่โดยดี เมื่อเอาโซ่พันไปหลายทบก็สอดห่วงกุญแจใหญ่คล้องเกี่ยวยึดปลายข้อโซ่ไว้ด้วยกัน
ขุนกาฬลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปหาแสงพราย กล่าวขึ้นอย่างผู้มีชัย
“เดี๋ยวพอลากตัวไปถึงพระตำรวจหลวง เจ้าก็จะถูกตีตรวนทั้งมือทั้งเท้าถาวร.. จะปลดออกอีกครั้ง ก็หลังจากหัวเจ้าหลุดจากบ่าไปแล้ว” พลางหัวเราะลั่นขึ้น
โซ่ที่ผูกรัดข้อมือแสงพรายตอนนี้ เพียงเอากุญแจร้อยผูกข้อโซ่ไว้ แต่หากเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์จะใช้โซ่ตรวนที่มีปลายเป็นห่วงเหล็ก ต้องง้างและถ่างห่วงออกเพื่อสอดข้อมือเข้าไปแล้วจึงตีประกบกลับคืน เป็นห่วงโซ่คล้องข้อมือดังที่ขุนกาฬขู่ไว้
ทันใดนั้น มีเสียงม้าราว ๓-๔ ตัวห้อผ่านประตูรั้วของสำนักเข้ามา...
“คงเป็นพระองค์หญิงเสด็จมาถึง” เสียงพิไลที่นั่งอยู่ข้างแสงพรายร้องขึ้น แล้วลุกเดินออกไปดูยังชานพักบันได โดยมิได้สนใจว่าจะเสียกิริยาต่อขุนนางผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในที่นั้น
สำหรับนางการที่ได้เห็นแสงพรายถูกผูกรัดโซ่ก็นับว่าเลวร้ายมากแล้ว ทั้งยังขู่จะเอาชีวิตกันอีก... มีแต่องค์หญิงกัณฐิมาศเท่านั้นที่จะสามารถช่วยแสงพรายได้
ผู้ที่เสด็จมาคือองค์หญิงกัณฐิมาศจริงๆ...
ทรงฉลองพระองค์ในชุดทะมัดทะแมง เสื้อทรงสีเหลืองหม่นราวสีดอกจำปา แขนเสื้อทรงยาวครึ่งพระกร (ช่วงตั้งแต่ข้อศอกถึงข้อมือ) ผ้ารัดพระองค์สีน้ำตาลเข้มรับกับภูษาทรงที่เหน็บโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด
สีพระพักตร์แดงระเรื่อคล้ายทรงงานอยู่ท่ามกลางแสงแดดมาทั้งวัน เม็ดพระเสโท (เหงื่อ) เล็กๆ ผุดขึ้นบนพระพักตร์
พิไลรีบเข้าห้องไปหยิบผ้าซับพระพักตร์มาถวาย หลังจากที่พระองค์หญิงประทับบนตั่งซึ่งจัดเตรียมไว้และทุกคนได้ถวายบังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงดุดัน...
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแสงพรายจึงถูกรัดโซ่แน่นหนาดังนี้”
ขุนกาฬยังคงแย้มยิ้ม กราบทูลว่า
“ขอเดชะ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา ครูพิธานได้บอกเล่ารายละเอียดที่ทองคำถูกโจรกรรมทั้งหมดแล้ว และระบุว่าผู้ที่ขโมยทองไปก็คือแสงพราย ดังนั้นเกล้ากระหม่อมจึงให้ทหารกุมตัวล่ามโซ่ไว้ พระเจ้าค่ะ”
จากสีพระพักตร์ที่เกี้ยวกราด ครั้นทรงรับฟังแล้วกลับทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนหวานขึ้น ทรงหยิบผ้าซับพระพักตร์ขึ้นบรรจงซับพระเสโทจนแห้งสนิท จากนั้นเสวยน้ำดับกระหาย
ทรงกระทำเรื่องต่างๆ ด้วยพระกิริยานุ่มนวล แล้วจึงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า
“ท่านครูพิธาน ท่านมีหลักฐานใดหรือจึงได้บอกกล่าวว่าแสงพรายเป็นผู้ขโมยทองคำไป”
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมได้กราบทูลพระองค์อยู่เนืองๆ ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต่างสอดรับและชี้นำไปที่แสงพรายเพียงคนเดียว ถ้าไม่ใช่แสงพรายก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว พระเจ้าค่ะ”
“เราถามท่านครูว่ามีหลักฐานใด.. ท่านยังคงไม่ได้ตอบเรา” พระสุรเสียงราบเรียบนุ่มนวล
“หลักฐาน...” ครูพิธานอ้ำอึ้ง “ถ้าเพียงเกล้ากระหม่อมได้นำพวกช่างออกไปค้นหาตามจุดที่แสงพรายไปอยู่อาศัย เช่นที่วัดศรีชุม อาจพบเจอทองคำที่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้ พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงส่ายพระพักตร์ช้าๆ
“เราจะบอกท่านครูให้ ผู้ที่ได้โจรกรรมทองในครั้งนี้ มีด้วยกัน ๓ คน และในตอนนี้... ทั้ง ๓ คนก็อยู่บนเรือนกันครบแล้ว”
สิ้นรับสั่ง ทุกคนถึงกับสะดุ้งตกใจ.. ระคนสงสัยในใจ
“ท่านครูพิธาน ท่านลองนึกดู.. แสงพรายขึ้นมาบนเรือน ถ้าจะได้ซุกซ่อนทองคำ ๔ แท่งออกไปก็คงต้องมีคนเห็น เขาเดินผ่านพิไลลงเรือนไป ก็ไม่มีใดผิดสังเกต.. จากเรือนใหญ่ตรงไปโรงช่าง ทั้งปู่ครู ตัวท่านและบุญจันซึ่งอยู่ที่นั้นก็ไม่มีใครสังเกตว่าแสงพรายได้นำทองคำจำนวนนั้นพกติดตัวมาด้วย ถ้าจะว่าเขาแอบซ่อนทองไว้ระหว่างทางจากเรือนใหญ่ถึงโรงช่าง ก็แล้วเมื่อเขาเสร็จงานเขาได้ออกจากโรงช่างตรงไปยังประตูรั้วของสำนักทันที หาได้ย้อนกลับมายังเรือนใหญ่ไม่...”
ครูพิธานนั่งนิ่ง มิรู้จะพูดกระไร
“ส่วนเรื่องที่แสงพรายไปยืนชะเง้อหน้าห้องพระนั้น เขาให้เหตุผลว่าบุญจันไหว้วานให้ช่วยมาดูว่าจุกนำเทียนไขมาไหว้บูชาครบทั้ง ๑๒ เล่มหรือไม่...”
เมื่อรับสั่งถึงตรงนี้ ขุนวังและขุนกาฬต่างพลอยหันไปดูถาดใส่ธูปเทียนในห้องพระ.. ทั้งสองขุนถูกจัดตำแหน่งที่นั่งอย่างตั้งใจโดยรับสั่งของพระองค์หญิง ให้วางตั่งที่นั่งของทั้งสองในจุดที่สามารถมองเข้าไปในห้องพระ เห็นโต๊ะวางห่อผ้าแพรหุ้มทองคำที่ถูกแกะออกหลุดลุ่ยและเห็นถาดใส่ธูปเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยกว่า
“แสงพรายแม้พิจารณาดูเทียน ๑๒ เล่ม แต่ห่อทองคำก็อยู่ใกล้กันนัก.. เขาบอกเราว่า ตอนนั้นไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นกับห่อทองคำ”
ทรงนิ่งไปสักพัก... ทอดพระเนตรอากัปกิริยาของแต่ละคน
“ถ้าที่แสงพรายกล่าวมาเป็นความจริง...” พระสุรเสียงเริ่มดังกังวานขึ้น “แสดงว่าทองคำได้สูญหายหลังจากแสงพรายลงจากเรือนไป และหายไปก่อนหน้าที่ปู่ครูจะขึ้นมาบนเรือนแล้วเข้าไปลาข้าวพระพุทธในห้องพระ ช่วงนั้นมีเพียงคนเดียวที่อาจจะขึ้นมาบนเรือน... คือนางผิน”
ทั้งน้าหมานและนางผินต่างตกตะลึง สะดุ้งขึ้น
“มิใช่เพคะ... เกล้ากระหม่อมฉันมิได้ขึ้นมาบนเรือนใหญ่...”
ผู้ถูกรับสั่งออกนามปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เจ้าขึ้นบันไดมายืนอยู่บนชานพักซึ่งติดกับโถงชานกว้าง ร้องถามพิไลว่าจะฝากซื้อของสิ่งใดที่ตลาดปสานหรือไม่ ทั้งยังเรียกร้องขอแหวนและสิ่งของมีค่าที่ได้ฝากไว้กับพิไลคืนอีก เมื่อนางเข้าไปในห้องเพื่อหยิบอัฐและค้นหาสิ่งของมาให้... ช่วงนั้นคงไม่มีใครรู้ว่าเจ้าจะก้าวขึ้นเรือนไปหยิบฉวยทองในห้องพระหรือไม่ เมื่อพิไลนำอัฐพร้อมสิ่งของมอบให้ เจ้าก็อาจลงจากเรือนไปพร้อมทองคำพระราชทานด้วย...”
ของมีค่าที่เรียกขอคืนย่อมหน่วงเวลาของพิไลให้อยู่ในห้องนานขึ้น
เมื่อได้คืนแล้ว ย่อมมีความสะดวกอิสระที่จะออกจากสำนักบ้านเงินบ้านทองไปเมื่อใดก็ย่อมได้...
“ภรรยาของเกล้ากระหม่อมมิได้ขึ้นไปบนเรือนจริงๆ.. หาก.. หากนำทองลงมา จะเอาไปซุกซ่อน..ไว้ที่ไหนเล่าพระเจ้าค่ะ” ผู้เป็นสามีรีบแก้ต่างละล่ำละลัก
“วันที่ตรวจค้นหาทอง ท่านเป็นคนนำค้นที่โรงครัว ทำไมจึงไม่ตรวจไหใส่เถ้าจากเตาหุงอาหารให้ละเอียด...”
นายหมานผงะขึ้น รีบตรึกตรองก่อนกราบทูลว่า
“เกล้ากระหม่อมตรวจแล้ว... เปิดฝาไห พบถ่านเก่าที่เผาไม่หมดอยู่ภายใน ยังร้อนระอุอยู่เลยพระเจ้าค่ะ”
“ทำไมไม่เทเถ้าถ่านออกมาให้ทุกคนเห็นล่ะ”
ครั้งนี้ สีหน้านายหมานเหมือนโดนภูตผีหลอกหลอน ปากค้าง มิมีคำพูดออกมา
“เมื่อ ๔ วันก่อน ตอนเราไปพบนางผินที่โรงครัว เราตรวจพบเศษซากกระดาษสีทองชิ้นเล็กอยู่ภายในไหดังกล่าว... ของสิ่งนี้ต้องเกี่ยวพันกับกรณีทองคำพระราชทานสูญหายแน่นอน”
“แต่เกล้ากระหม่อมจะขโมยทองคำไปทำไม มีแต่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”
“ท่านเป็นผู้ชายคนเดียวในสำนักที่ไม่มีฝีมือช่าง คงไม่คิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอด จึงมีเหตุผลมากมายให้ขวนขวายหาทรัพย์สินไปตั้งตัวใหม่ภายนอก.. หากมิใช่เพราะท่านเป็นคนทะเยอทะยาน เมื่อหลายปีก่อนคงไม่กระทำผิด ลักทรัพย์จนถูกจับกุมและต้องโทษจองจำนับปี”
“เกล้ากระหม่อมไม่ได้ทำ.. ไม่ได้ทำ...”
เสียงของนายหมานร่ำร้องซ้ำไปมา ในขณะที่นางผินซบหน้าคร่ำครวญกับสามี
“หึ... ที่แท้ก็เป็นโจรเก่าไม่สำนึกผิด” ขุนวังคำรามขึ้น
“แต่เราไม่คิดว่า คนทั้งสองนี้จะกล้ากระทำ”
เป็นพระดำรัสต่อมาของพระองค์หญิงซึ่งทำให้ทุกคนตะลึงงัน พระองค์ทรงว่ากล่าวจนทุกคนคล้อยตามว่าคนร้ายคือสองสามีภรรยา แต่สุดท้ายกลับทรงปิดประเด็นไปด้วยพระสุรเสียงที่หนักแน่นมั่นคง...
ขุนวังเสนะทิพรีบกราบทูลถาม
“ทำไมจึงทรงสรุปเช่นนั้น พระเจ้าค่ะ”

(มีต่อ)
ราชาสิบสองนักษัตร ศึกรวมสุโขทัย - บทที่ ๕๓ พระสติปัญญาที่ลึกล้ำ
บทที่ ๕๓ พระสติปัญญาที่ลึกล้ำ
ขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๑๑ แสงแดดอ่อนแรง บนโถงชานกว้างของเรือนใหญ่สำนักบ้านเงินบ้านทองมีลมโชยผ่านเย็นสบายแก่ผู้มาเยือน...
แต่บรรยากาศกลับร้อนรุ่มสำหรับผู้ให้การต้อนรับ
เหตุเพราะความหนักอกหนักใจของผู้คนในสำนักบ้านเงินบ้านทองกับทองคำที่ยังสาบสูญอยู่
บนเรือนนอกจากผู้พำนักคือปู่หลวง ครูพิธานและพิไลแล้ว ก็มีแสงพราย น้าหมาน นางผิน คำแปง บุญจันและจุก ส่วนผู้มาเยือนคือขุนวังเสนะทิพ พร้อมพนักงานสอบสวนกรมวัง ๑ คน และขุนกาฬ พร้อมทหารติดตาม ๑ คน
ส่วนทหารติดตามของขุนวังและขุนกาฬที่เหลืออีก ๘ คนมิได้ขึ้นมาบนเรือน แต่เฝ้ารออยู่ด้านล่าง
“ทำไมพระองค์หญิงกัณฐิมาศยังมิเสด็จมา...หรือว่าทรงไม่สามารถสืบพบทองคำจึงหลบพระพักตร์ไป” ขุนกาฬกล่าวเยาะขึ้น
“ท่านก็ใจเย็นรอสักครู่ อย่างไรเสียพระองค์หญิงก็ต้องเสด็จมาที่นี่” ขุนวังกล่าวขึ้น ไม่มีท่าทีรีบร้อน
ขุนวังและขุนกาฬต่างนั่งบนตั่งตัวเล็กเรียงกัน จัดวางไว้ตรงโถงชานกว้างหน้าห้องพระ หันหน้าไปยังบันไดของเรือนและหันหลังให้กับนอกชาน
ถัดจากที่นั่งของขุนวังด้านซ้ายมือ คือตั่งประดับมุกจัดวางตั้งฉากอยู่ในลักษณะตำแหน่งประธาน หันหน้าเข้าประตูห้องพระ บนตั่งมีหมอนอิงเตรียมไว้สำหรับเป็นที่ประทับขององค์หญิงกัณฐิมาศ ข้างตั่งทั้งหมดมีโต๊ะตัวเล็กๆ วางไว้ด้วยอาหารว่างและน้ำดื่ม...
ส่วนปู่หลวงและครูพิธานนั่งอยู่บนตั่งเล็กด้านซ้ายของตั่งที่ประทับ ฝั่งตรงข้ามกับขุนวังและขุนกาฬ ส่วนคนที่เหลือนั่งรายล้อมบนพื้นโถงชานกว้าง
“ท่านขุนวัง ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าทองคำได้สูญหายไป.. ช่วงที่รอองค์หญิงเสด็จ ทำไมเราไม่สอบถามคนเหล่านี้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และใครเป็นผู้ต้องสงสัย”
ขุนวังพิจารณาข้อเสนอของขุนกาฬ เห็นว่าเป็นเรื่องสมควร จึงเรียกให้คนของสำนักบ้านเงินบ้านทองเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง.. และผู้รับหน้าที่เล่าเรื่องราวโดยละเอียดก็คือครูพิธาน
เรื่องราวถูกถ่ายทอดตั้งแต่เริ่มรับทองคำพระราชทานและนำมาเก็บไว้ในห้องพระ กระทั่งหายสาบสูญไปในช่วงที่แสงพรายขึ้นมาบนเรือนพร้อมพิรุธต่างๆ และมีเพียงแสงพรายที่ออกจากสำนัก...
“ถ้าเป็นดั่งครูท่านว่า ทองคำคงมิได้อยู่ในสำนักแล้ว.. ท่านคิดว่าผู้ใดเป็นคนขโมยทองคำพระราชทานไป” ขุนกาฬกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
หลังจากเข้าเฝ้าองค์พ่อขุนเมื่อวันวาน องค์หญิงกัณฐิมาศได้รับสั่งกับปู่หลวงให้ดำเนินการจัดแต่งห้องพระในเย็นวันนี้ให้เหมือนช่วงเช้าวันแรม ๑๕ ค่ำ สิ่งของใดที่เคยนำเข้าไปก็ให้นำกลับไปวางไว้ดังเดิม แม้ข้าวพระพุทธก็ให้ปรุงและจัดสำรับเหมือนวันนั้น ส่วนแท่งทองคำซึ่งบัดนี้ถูกแสงพรายหล่อเป็นองค์พระหมดสิ้นแล้ว รับสั่งให้นำโลหะใดก็ได้ มาหล่อเท่าขนาดของแท่งทองคำจริงจำนวน ๔ แท่งกับอีกหนึ่งแท่งที่หักปลาย แล้วห่อผ้าแพรไว้ในลักษณะหลุดลุ่ย..
เมื่อครูพิธานเล่าบรรยายรายละเอียดต่างๆ ทั้งขุนวังและขุนกาฬซึ่งนั่งอยู่หน้าห้องพระที่ถูกเปิดประตูไว้จึงนึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
ครูพิธานยังนิ่ง มิได้ตอบคำของขุนกาฬ คล้ายชั่งใจว่าจะพูดกระไรดี
“ท่านครู บอกมาเถิด บางทีข้าจะมีวิธีทำให้คนร้ายสารภาพออกมา ท่านครูและคนอื่นทั้งหมดในสำนักที่ไม่ได้เกี่ยวข้องจะได้ไม่ต้องพลอยรับโทษทัณฑ์ไปกับคนกระทำผิดด้วย”
“ข้าคิดว่า.. ผู้ที่ขโมยทองคำไปก็คือ แสงพราย... มีแต่เขาที่มีพิรุธต่างๆ มากมาย ตัวเขาเองเป็นใคร จะมาจากสำนักช่างหลวงของเมืองนครศรีธรรมราชหรือเปล่า จนบัดนี้ข้าก็ยังไม่แจ้ง...”
ขุนกาฬหันไปมองแสงพราย หัวเราะห้วนๆ ในลำคอ
“ทหาร.. ไปเอาโซ่ขึ้นมา แล้วล่ามไอ้แสงพรายไว้ จะได้ลากตัวไปส่งพระตำรวจหลวง”
ขุนกาฬสั่งการโดยมิสนใจขุนวังที่นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งที่พระตำรวจหลวงอยู่ในสังกัดของท่าน
“ขุนกาฬ อย่าเพิ่งรีบร้อน จะทำอะไรควรรอพระองค์หญิงกัณฐิมาศเสด็จมาก่อน” ขุนวังทักท้วงขึ้น
“ท่านอา ท่านก็ได้ยินเรื่องที่ครูพิธานเล่ามาโดยละเอียดแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ก็ชี้ชัดว่าแสงพรายเป็นคนร้ายที่ขโมยทองไป อีกอย่างในเมื่อเจ้าทุกข์ระบุผู้ต้องสงสัยก็ต้องล่ามโซ่มัดมือไว้ก่อน.. ถ้าหากพระองค์หญิงเสด็จมาแล้วสามารถไขคดีเป็นอื่นได้ ก็ค่อยแก้มัดมัน”
ขณะที่ขุนวังยังคงลังเล แสงพรายก็กล่าวขึ้น
“เชิญพวกท่านพันธนาการข้าพเจ้าเถิด อย่าได้ลำบากใจเลย”
สักครู่ทหารของขุนกาฬที่วิ่งลงไป ก็กลับขึ้นมาบนเรือนพร้อมสายโซ่และสลักกุญแจ แล้วนำมาผูกมัดข้อมือของแสงพรายไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งเจ้าตัวก็ยินยอมยื่นมือมาให้ผูกรัดแต่โดยดี เมื่อเอาโซ่พันไปหลายทบก็สอดห่วงกุญแจใหญ่คล้องเกี่ยวยึดปลายข้อโซ่ไว้ด้วยกัน
ขุนกาฬลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าไปหาแสงพราย กล่าวขึ้นอย่างผู้มีชัย
“เดี๋ยวพอลากตัวไปถึงพระตำรวจหลวง เจ้าก็จะถูกตีตรวนทั้งมือทั้งเท้าถาวร.. จะปลดออกอีกครั้ง ก็หลังจากหัวเจ้าหลุดจากบ่าไปแล้ว” พลางหัวเราะลั่นขึ้น
โซ่ที่ผูกรัดข้อมือแสงพรายตอนนี้ เพียงเอากุญแจร้อยผูกข้อโซ่ไว้ แต่หากเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์จะใช้โซ่ตรวนที่มีปลายเป็นห่วงเหล็ก ต้องง้างและถ่างห่วงออกเพื่อสอดข้อมือเข้าไปแล้วจึงตีประกบกลับคืน เป็นห่วงโซ่คล้องข้อมือดังที่ขุนกาฬขู่ไว้
ทันใดนั้น มีเสียงม้าราว ๓-๔ ตัวห้อผ่านประตูรั้วของสำนักเข้ามา...
“คงเป็นพระองค์หญิงเสด็จมาถึง” เสียงพิไลที่นั่งอยู่ข้างแสงพรายร้องขึ้น แล้วลุกเดินออกไปดูยังชานพักบันได โดยมิได้สนใจว่าจะเสียกิริยาต่อขุนนางผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่ในที่นั้น
สำหรับนางการที่ได้เห็นแสงพรายถูกผูกรัดโซ่ก็นับว่าเลวร้ายมากแล้ว ทั้งยังขู่จะเอาชีวิตกันอีก... มีแต่องค์หญิงกัณฐิมาศเท่านั้นที่จะสามารถช่วยแสงพรายได้
ผู้ที่เสด็จมาคือองค์หญิงกัณฐิมาศจริงๆ...
ทรงฉลองพระองค์ในชุดทะมัดทะแมง เสื้อทรงสีเหลืองหม่นราวสีดอกจำปา แขนเสื้อทรงยาวครึ่งพระกร (ช่วงตั้งแต่ข้อศอกถึงข้อมือ) ผ้ารัดพระองค์สีน้ำตาลเข้มรับกับภูษาทรงที่เหน็บโจงกระเบนสีเปลือกมังคุด
สีพระพักตร์แดงระเรื่อคล้ายทรงงานอยู่ท่ามกลางแสงแดดมาทั้งวัน เม็ดพระเสโท (เหงื่อ) เล็กๆ ผุดขึ้นบนพระพักตร์
พิไลรีบเข้าห้องไปหยิบผ้าซับพระพักตร์มาถวาย หลังจากที่พระองค์หญิงประทับบนตั่งซึ่งจัดเตรียมไว้และทุกคนได้ถวายบังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงดุดัน...
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมแสงพรายจึงถูกรัดโซ่แน่นหนาดังนี้”
ขุนกาฬยังคงแย้มยิ้ม กราบทูลว่า
“ขอเดชะ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา ครูพิธานได้บอกเล่ารายละเอียดที่ทองคำถูกโจรกรรมทั้งหมดแล้ว และระบุว่าผู้ที่ขโมยทองไปก็คือแสงพราย ดังนั้นเกล้ากระหม่อมจึงให้ทหารกุมตัวล่ามโซ่ไว้ พระเจ้าค่ะ”
จากสีพระพักตร์ที่เกี้ยวกราด ครั้นทรงรับฟังแล้วกลับทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนหวานขึ้น ทรงหยิบผ้าซับพระพักตร์ขึ้นบรรจงซับพระเสโทจนแห้งสนิท จากนั้นเสวยน้ำดับกระหาย
ทรงกระทำเรื่องต่างๆ ด้วยพระกิริยานุ่มนวล แล้วจึงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า
“ท่านครูพิธาน ท่านมีหลักฐานใดหรือจึงได้บอกกล่าวว่าแสงพรายเป็นผู้ขโมยทองคำไป”
“ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมได้กราบทูลพระองค์อยู่เนืองๆ ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต่างสอดรับและชี้นำไปที่แสงพรายเพียงคนเดียว ถ้าไม่ใช่แสงพรายก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้ว พระเจ้าค่ะ”
“เราถามท่านครูว่ามีหลักฐานใด.. ท่านยังคงไม่ได้ตอบเรา” พระสุรเสียงราบเรียบนุ่มนวล
“หลักฐาน...” ครูพิธานอ้ำอึ้ง “ถ้าเพียงเกล้ากระหม่อมได้นำพวกช่างออกไปค้นหาตามจุดที่แสงพรายไปอยู่อาศัย เช่นที่วัดศรีชุม อาจพบเจอทองคำที่ซุกซ่อนอยู่ก็เป็นได้ พระเจ้าค่ะ”
องค์หญิงกัณฐิมาศทรงส่ายพระพักตร์ช้าๆ
“เราจะบอกท่านครูให้ ผู้ที่ได้โจรกรรมทองในครั้งนี้ มีด้วยกัน ๓ คน และในตอนนี้... ทั้ง ๓ คนก็อยู่บนเรือนกันครบแล้ว”
สิ้นรับสั่ง ทุกคนถึงกับสะดุ้งตกใจ.. ระคนสงสัยในใจ
“ท่านครูพิธาน ท่านลองนึกดู.. แสงพรายขึ้นมาบนเรือน ถ้าจะได้ซุกซ่อนทองคำ ๔ แท่งออกไปก็คงต้องมีคนเห็น เขาเดินผ่านพิไลลงเรือนไป ก็ไม่มีใดผิดสังเกต.. จากเรือนใหญ่ตรงไปโรงช่าง ทั้งปู่ครู ตัวท่านและบุญจันซึ่งอยู่ที่นั้นก็ไม่มีใครสังเกตว่าแสงพรายได้นำทองคำจำนวนนั้นพกติดตัวมาด้วย ถ้าจะว่าเขาแอบซ่อนทองไว้ระหว่างทางจากเรือนใหญ่ถึงโรงช่าง ก็แล้วเมื่อเขาเสร็จงานเขาได้ออกจากโรงช่างตรงไปยังประตูรั้วของสำนักทันที หาได้ย้อนกลับมายังเรือนใหญ่ไม่...”
ครูพิธานนั่งนิ่ง มิรู้จะพูดกระไร
“ส่วนเรื่องที่แสงพรายไปยืนชะเง้อหน้าห้องพระนั้น เขาให้เหตุผลว่าบุญจันไหว้วานให้ช่วยมาดูว่าจุกนำเทียนไขมาไหว้บูชาครบทั้ง ๑๒ เล่มหรือไม่...”
เมื่อรับสั่งถึงตรงนี้ ขุนวังและขุนกาฬต่างพลอยหันไปดูถาดใส่ธูปเทียนในห้องพระ.. ทั้งสองขุนถูกจัดตำแหน่งที่นั่งอย่างตั้งใจโดยรับสั่งของพระองค์หญิง ให้วางตั่งที่นั่งของทั้งสองในจุดที่สามารถมองเข้าไปในห้องพระ เห็นโต๊ะวางห่อผ้าแพรหุ้มทองคำที่ถูกแกะออกหลุดลุ่ยและเห็นถาดใส่ธูปเทียนที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยกว่า
“แสงพรายแม้พิจารณาดูเทียน ๑๒ เล่ม แต่ห่อทองคำก็อยู่ใกล้กันนัก.. เขาบอกเราว่า ตอนนั้นไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นกับห่อทองคำ”
ทรงนิ่งไปสักพัก... ทอดพระเนตรอากัปกิริยาของแต่ละคน
“ถ้าที่แสงพรายกล่าวมาเป็นความจริง...” พระสุรเสียงเริ่มดังกังวานขึ้น “แสดงว่าทองคำได้สูญหายหลังจากแสงพรายลงจากเรือนไป และหายไปก่อนหน้าที่ปู่ครูจะขึ้นมาบนเรือนแล้วเข้าไปลาข้าวพระพุทธในห้องพระ ช่วงนั้นมีเพียงคนเดียวที่อาจจะขึ้นมาบนเรือน... คือนางผิน”
ทั้งน้าหมานและนางผินต่างตกตะลึง สะดุ้งขึ้น
“มิใช่เพคะ... เกล้ากระหม่อมฉันมิได้ขึ้นมาบนเรือนใหญ่...”
ผู้ถูกรับสั่งออกนามปฏิเสธเป็นพัลวัน
“เจ้าขึ้นบันไดมายืนอยู่บนชานพักซึ่งติดกับโถงชานกว้าง ร้องถามพิไลว่าจะฝากซื้อของสิ่งใดที่ตลาดปสานหรือไม่ ทั้งยังเรียกร้องขอแหวนและสิ่งของมีค่าที่ได้ฝากไว้กับพิไลคืนอีก เมื่อนางเข้าไปในห้องเพื่อหยิบอัฐและค้นหาสิ่งของมาให้... ช่วงนั้นคงไม่มีใครรู้ว่าเจ้าจะก้าวขึ้นเรือนไปหยิบฉวยทองในห้องพระหรือไม่ เมื่อพิไลนำอัฐพร้อมสิ่งของมอบให้ เจ้าก็อาจลงจากเรือนไปพร้อมทองคำพระราชทานด้วย...”
ของมีค่าที่เรียกขอคืนย่อมหน่วงเวลาของพิไลให้อยู่ในห้องนานขึ้น
เมื่อได้คืนแล้ว ย่อมมีความสะดวกอิสระที่จะออกจากสำนักบ้านเงินบ้านทองไปเมื่อใดก็ย่อมได้...
“ภรรยาของเกล้ากระหม่อมมิได้ขึ้นไปบนเรือนจริงๆ.. หาก.. หากนำทองลงมา จะเอาไปซุกซ่อน..ไว้ที่ไหนเล่าพระเจ้าค่ะ” ผู้เป็นสามีรีบแก้ต่างละล่ำละลัก
“วันที่ตรวจค้นหาทอง ท่านเป็นคนนำค้นที่โรงครัว ทำไมจึงไม่ตรวจไหใส่เถ้าจากเตาหุงอาหารให้ละเอียด...”
นายหมานผงะขึ้น รีบตรึกตรองก่อนกราบทูลว่า
“เกล้ากระหม่อมตรวจแล้ว... เปิดฝาไห พบถ่านเก่าที่เผาไม่หมดอยู่ภายใน ยังร้อนระอุอยู่เลยพระเจ้าค่ะ”
“ทำไมไม่เทเถ้าถ่านออกมาให้ทุกคนเห็นล่ะ”
ครั้งนี้ สีหน้านายหมานเหมือนโดนภูตผีหลอกหลอน ปากค้าง มิมีคำพูดออกมา
“เมื่อ ๔ วันก่อน ตอนเราไปพบนางผินที่โรงครัว เราตรวจพบเศษซากกระดาษสีทองชิ้นเล็กอยู่ภายในไหดังกล่าว... ของสิ่งนี้ต้องเกี่ยวพันกับกรณีทองคำพระราชทานสูญหายแน่นอน”
“แต่เกล้ากระหม่อมจะขโมยทองคำไปทำไม มีแต่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน”
“ท่านเป็นผู้ชายคนเดียวในสำนักที่ไม่มีฝีมือช่าง คงไม่คิดจะอาศัยอยู่ที่นี่ไปตลอด จึงมีเหตุผลมากมายให้ขวนขวายหาทรัพย์สินไปตั้งตัวใหม่ภายนอก.. หากมิใช่เพราะท่านเป็นคนทะเยอทะยาน เมื่อหลายปีก่อนคงไม่กระทำผิด ลักทรัพย์จนถูกจับกุมและต้องโทษจองจำนับปี”
“เกล้ากระหม่อมไม่ได้ทำ.. ไม่ได้ทำ...”
เสียงของนายหมานร่ำร้องซ้ำไปมา ในขณะที่นางผินซบหน้าคร่ำครวญกับสามี
“หึ... ที่แท้ก็เป็นโจรเก่าไม่สำนึกผิด” ขุนวังคำรามขึ้น
“แต่เราไม่คิดว่า คนทั้งสองนี้จะกล้ากระทำ”
เป็นพระดำรัสต่อมาของพระองค์หญิงซึ่งทำให้ทุกคนตะลึงงัน พระองค์ทรงว่ากล่าวจนทุกคนคล้อยตามว่าคนร้ายคือสองสามีภรรยา แต่สุดท้ายกลับทรงปิดประเด็นไปด้วยพระสุรเสียงที่หนักแน่นมั่นคง...
ขุนวังเสนะทิพรีบกราบทูลถาม
“ทำไมจึงทรงสรุปเช่นนั้น พระเจ้าค่ะ”
(มีต่อ)