วันนี้มีข้อสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งนั้นคือ การกตัญญู การเป็นคนดี คือ การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเรามาจริงไหมครับ
บุญคุณพ่อแม่ใหญ่หลวงยิ่งนักที่ได้ให้ชีวิตเกิดเป็นมนุษย์ เพราะคนมีโอกาสมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ในการสะสมความดี แม่มีบุญคุณกับเรามากเพราะเลือกที่จะอุ้มท้อง9เดือน แทนที่จะเอาออก ถ้าเราจะถามว่าตอนที่ท่านให้กำเนิดเรามา เราได้ร้องขอหรือป่าว ที่เราได้เกิดมาในวันนี้ใครกันแน่ที่ต้องการ เราหรือพ่อแม่ ท่านจะเอาเราออกก็ได้นะต้องที่ยังมีโอกาส เราไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว เพราะเมื่อเราออกมาลืมตาดูโลก เราจะถูกคุ้มครองตามกฎหมายทันทีซึ่งยากที่ท่านจะทำลายเราได้ อาจเพราะท่านเกรงกลัวกฎหมาย แต่ถ้าไม่เราก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว
ข้อสงสัยผมมันเกิดขึ้น ตอนที่ว่าเราได้พบปะเพื่อนๆ พี่ๆที่โรงเรียนเก่า ประเด็นมันเกิดต้องที่ว่าผมถามว่าทำไมพี่ถึงรีบมีลูก เหตุผลร้อยแปดครับแล้วแต่จะคิด
ผมเคยลองทำแบบทดสอบเล่นๆ แบบสอบถามง่ายๆ ว่าทำไมพ่อแม่ถึงอยากมีลูก จากการสุ่มตัวอย่าง 100 คน ผมพบว่า มีเกือบกว่า 60 คนที่มีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อลูกเกิดมาก็นำลูกมาฝากให้พ่อแม่ของตัวเองเลี้ยงเกือบ 40 คน ส่วนอีก 20 คนที่เหลือ เลี้ยงลูกเองโดยให้เหตุผลว่าต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ผิดพลาดของตัวเอง ส่วนอีก 30 คน มีลูกโดยตั้งใจ แต่เหตุผลคือ จะได้มีลูกทันใช้งาน และมีลูกไว้เลี้ยงตัวเองตอนแก่ ส่วนที่เหลือ เหตุผลคือ อยากมีโซ่ทองคล้องใจระหว่างกัน อยากมีลูกไว้สืบสกุล และให้เหตุผลส่วนใหญ่ว่าการเลี้ยงลูกคือบุญคุณที่ลูกต้องมาตอบแทนเรา ด้วยเงิน หรือเลี้ยงดู และขอให้เค้าเป็นคนดีไม่ทำให้สังคมต้องเดือดร้อน แค่นี้ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
ทุกคนตอนนี้คงอาจจะกำลังด่าผม ว่าสงสารพ่อแม่ผมจริงๆ ที่ดันคลอดคนสมองที่คิดเรื่องแบบนี้อย่างผมออกมา แต่ขอโทษด้วยที่ผมดันไม่ได้มีพ่อแม่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก ผมมีแค่ปู่ย่าที่เลี้ยงดูผมมา ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยรู้สึกผูกพันธ์คำว่าพ่อแม่สักเท่าไร ผมยังจำความรู้สึกของเทศกาลวันแม่ที่โรงเรียน ผมไม่มีแม่แต่ผมดันเขียนเรียงความวันแม่ชนะเลิศ โดยผมดึงความทรงจำและความรู้สึกต่างๆจากภาพยนต์ TV และนิยายมาแทน ผมได้อ่านเรียงความบนเวทีหอประชุมท่ามกลางเหล่าแม่ๆที่มาโรงเรียนเพื่อมาให้ลูกกราบเพื่อแสดงความกตัญญู แต่ผมไม่มีใครมาโรงเรียนสักคน ผมอ่านเรียงความท่ามกลางเสียงร้องไห้ปะปนไปด้วยเสียงสะอึ้นของเหล่าแม่ๆและนักเรียนที่สวมกอดกัน แต่ผมกลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ของคำว่าแม่ หลังงานพีธีวันแม่เลิก เพื่อนต่างเข้ามาถามผมว่า ทำไมถึงใจแข็ง ไม่ร้องไห้เลย ผมได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่า กูร้องมาพอแล้ว แต่ความรู้สึกข้างในผมกลับไม่ได้ร้องไห้ ไม่รู้สึกอะไร เหมือนแค่ว่า มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง สักพักวันพรุ่งนี้ทุกคนก็จะลืมเรื่องราวที่เกิดวันนี้ทั้งหมด
ปู่กับย่าผมเลี้ยงผมมาแบบให้ดูแลตัวเอง อยากได้อะไรทำงานหาเงินเอง อยากเรียน ทำงานหาเงินเรียนเอง บางครั้งผมยังคิดอิจฉาคนที่มีพ่อแม่นะครับ ที่เขาสามารถซัพพอตลูกในเรื่องต่างๆได้ อยากเรียนพ่อแม่ส่งเสียได้ อยากได้รถ พ่อแม่ซื้อให้ได้ ในขณะที่ตัวเองอยากเรียนต้องทำงานสายตัวแทบขาดกว่าจะมีเท่าเขา แต่เมื่อผมมองย้อนกลับไปที่เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของผมเขามีพ่อแม่ แต่ดูเหมือนพ่อแม่จะคอยแต่ฉุดรั้งตัวเขาตลอด การกระทำหลายอย่างที่ผมรู้สึกว่าคนที่เป็นพ่อแม่ไม่ควรทำแบบนี้
แต่วันนี้ผมได้ไปนั่งคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ในเรื่องนี้ที่ผมตั้งกระทู้ถาม ท่านบอกผมว่า พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับลูกเลย ตอนอยากมีลูกเราตั้งหากที่ต้องการ ไม่ใช่ลูก เราอยากให้ลูกแข็งแรงตอนคลอดทั้งที่ลูกไม่ได้ร้องขอ แต่น่าแปลกต้องที่ว่าเราสองคนดันทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตที่แข็งแรงทั้งที่เราไม่เคยเห็นหน้าเขา ไม่รู้จักเขา ด้วยซ้ำ ผมจึงถามท่านออกไปอีกอย่างว่าทำไมถึงอยากมีลูก ท่านตอบผมมาว่า เราไม่จำเป็นต้องมีลูกก็ได้ แต่ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่การเลี้ยงดูเด็ก ทำยังไงให้เขาแข็งแรง ฉลาด เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และมีคุณภาพ อย่างน้อยถ้าเขาเป็นคนดี โลกก็น่าอยู่ขึ้นมาบ้างสักนิด จริงไหม คำถามสุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับคือ อยากให้ลูกตอบแทนเราที่เลี้ยงดูเราไหม ท่านตอบกลับมาว่า ไม่จำเป็นที่เค้าจะกลับมาตอบแทนเรา ให้ความรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ให้มันมาจากความรู้สึกอยากจะทำ ดีกว่าให้มันมาจากคำว่าหน้าที่นะ
ผมจึงถามคำถามสุดท้ายกลับไปอีกว่า คิดยังไงกับลูกที่ไม่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ท่านตอบกลับมาว่า งั้นก็ต้องย้อนกลับไปถามพ่อแม่ว่าเลี้ยงดูลูกแบบไหนกันมากกว่า
ลูกก็เปรียบเหมือนเมล็ดพันธ์ุต่างๆ เมื่อลงดินไปแล้ว ก็อยู่ที่คนปลูกว่าจะดูแลยังไง บางคนปล่อยไม่ดูแล ต้นไม้ก็อาจจะโตช้า ไม่สวยงาม บางคนดูแลบางไม่ดูแลบาง ต้นไม้อาจจะโตเต็มที่ แต่ก็ไม่แข็งแรงมั่นคง บางคนดูแลดี ต้นไม้อาจจะโตใหญ่สวยงาม มีผล บางคนดูแลต้นไม้อย่างดีมาก ต้นไม้ก็อาจจะตายเพราะไม่สู้โรค และไม่ปล่อยตามธรรมชาติ ความท้าทายของคนเป็นพ่อแม่ คือการอบรมสั่งสอนให้เขายอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดี ให้ความรู้ ความสามารถ เปิดใจ ยอมรับเหตุผลต่างๆของกันและกันมากกว่า เมื่อหมดคำถามผมเลยกลับมานั่งตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาครับ
ตอนนี้หลายคนอาจจะด่าผมอยู่ว่ามีปู่ย่าก็ตอบแทนเค้าสิ ทุกวันนี้ผมก็ยังดูแลท่านนะ ผมไม่เรียกมันว่าการตอบแทนบุญคุณนะครับ เพราะท่านบอกว่าท่านไม่อยากให้ผมมาตอบแทนอะไรให้ทั้งนั้น แต่ผมก็ยังอยากทำอยู่ดี เพราะการได้ดูแลคนที่เรารัก แม้แค่พาไปตลาดซื้อของ หรือซ่อมโทรทัศน์ มันก็คือความสุขที่ทำให้ผมรู้ว่าพรุ่งนี้ผมตื่นมาเพื่อจะมาทำอะไรต่อในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าแแล้ว
พ่อแม่มีบุญคุณอันใหญ่หลวง จริงไหม ?
บุญคุณพ่อแม่ใหญ่หลวงยิ่งนักที่ได้ให้ชีวิตเกิดเป็นมนุษย์ เพราะคนมีโอกาสมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ในการสะสมความดี แม่มีบุญคุณกับเรามากเพราะเลือกที่จะอุ้มท้อง9เดือน แทนที่จะเอาออก ถ้าเราจะถามว่าตอนที่ท่านให้กำเนิดเรามา เราได้ร้องขอหรือป่าว ที่เราได้เกิดมาในวันนี้ใครกันแน่ที่ต้องการ เราหรือพ่อแม่ ท่านจะเอาเราออกก็ได้นะต้องที่ยังมีโอกาส เราไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว เพราะเมื่อเราออกมาลืมตาดูโลก เราจะถูกคุ้มครองตามกฎหมายทันทีซึ่งยากที่ท่านจะทำลายเราได้ อาจเพราะท่านเกรงกลัวกฎหมาย แต่ถ้าไม่เราก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว
ข้อสงสัยผมมันเกิดขึ้น ตอนที่ว่าเราได้พบปะเพื่อนๆ พี่ๆที่โรงเรียนเก่า ประเด็นมันเกิดต้องที่ว่าผมถามว่าทำไมพี่ถึงรีบมีลูก เหตุผลร้อยแปดครับแล้วแต่จะคิด
ผมเคยลองทำแบบทดสอบเล่นๆ แบบสอบถามง่ายๆ ว่าทำไมพ่อแม่ถึงอยากมีลูก จากการสุ่มตัวอย่าง 100 คน ผมพบว่า มีเกือบกว่า 60 คนที่มีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ และเมื่อลูกเกิดมาก็นำลูกมาฝากให้พ่อแม่ของตัวเองเลี้ยงเกือบ 40 คน ส่วนอีก 20 คนที่เหลือ เลี้ยงลูกเองโดยให้เหตุผลว่าต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ผิดพลาดของตัวเอง ส่วนอีก 30 คน มีลูกโดยตั้งใจ แต่เหตุผลคือ จะได้มีลูกทันใช้งาน และมีลูกไว้เลี้ยงตัวเองตอนแก่ ส่วนที่เหลือ เหตุผลคือ อยากมีโซ่ทองคล้องใจระหว่างกัน อยากมีลูกไว้สืบสกุล และให้เหตุผลส่วนใหญ่ว่าการเลี้ยงลูกคือบุญคุณที่ลูกต้องมาตอบแทนเรา ด้วยเงิน หรือเลี้ยงดู และขอให้เค้าเป็นคนดีไม่ทำให้สังคมต้องเดือดร้อน แค่นี้ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว
ทุกคนตอนนี้คงอาจจะกำลังด่าผม ว่าสงสารพ่อแม่ผมจริงๆ ที่ดันคลอดคนสมองที่คิดเรื่องแบบนี้อย่างผมออกมา แต่ขอโทษด้วยที่ผมดันไม่ได้มีพ่อแม่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็ก ผมมีแค่ปู่ย่าที่เลี้ยงดูผมมา ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยรู้สึกผูกพันธ์คำว่าพ่อแม่สักเท่าไร ผมยังจำความรู้สึกของเทศกาลวันแม่ที่โรงเรียน ผมไม่มีแม่แต่ผมดันเขียนเรียงความวันแม่ชนะเลิศ โดยผมดึงความทรงจำและความรู้สึกต่างๆจากภาพยนต์ TV และนิยายมาแทน ผมได้อ่านเรียงความบนเวทีหอประชุมท่ามกลางเหล่าแม่ๆที่มาโรงเรียนเพื่อมาให้ลูกกราบเพื่อแสดงความกตัญญู แต่ผมไม่มีใครมาโรงเรียนสักคน ผมอ่านเรียงความท่ามกลางเสียงร้องไห้ปะปนไปด้วยเสียงสะอึ้นของเหล่าแม่ๆและนักเรียนที่สวมกอดกัน แต่ผมกลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ผมไม่รู้สึกอะไรเลย ของคำว่าแม่ หลังงานพีธีวันแม่เลิก เพื่อนต่างเข้ามาถามผมว่า ทำไมถึงใจแข็ง ไม่ร้องไห้เลย ผมได้แต่ยิ้ม แล้วบอกว่า กูร้องมาพอแล้ว แต่ความรู้สึกข้างในผมกลับไม่ได้ร้องไห้ ไม่รู้สึกอะไร เหมือนแค่ว่า มันก็แค่วันธรรมดาวันหนึ่ง สักพักวันพรุ่งนี้ทุกคนก็จะลืมเรื่องราวที่เกิดวันนี้ทั้งหมด
ปู่กับย่าผมเลี้ยงผมมาแบบให้ดูแลตัวเอง อยากได้อะไรทำงานหาเงินเอง อยากเรียน ทำงานหาเงินเรียนเอง บางครั้งผมยังคิดอิจฉาคนที่มีพ่อแม่นะครับ ที่เขาสามารถซัพพอตลูกในเรื่องต่างๆได้ อยากเรียนพ่อแม่ส่งเสียได้ อยากได้รถ พ่อแม่ซื้อให้ได้ ในขณะที่ตัวเองอยากเรียนต้องทำงานสายตัวแทบขาดกว่าจะมีเท่าเขา แต่เมื่อผมมองย้อนกลับไปที่เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของผมเขามีพ่อแม่ แต่ดูเหมือนพ่อแม่จะคอยแต่ฉุดรั้งตัวเขาตลอด การกระทำหลายอย่างที่ผมรู้สึกว่าคนที่เป็นพ่อแม่ไม่ควรทำแบบนี้
แต่วันนี้ผมได้ไปนั่งคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ในเรื่องนี้ที่ผมตั้งกระทู้ถาม ท่านบอกผมว่า พ่อแม่ไม่ได้มีบุญคุณอะไรกับลูกเลย ตอนอยากมีลูกเราตั้งหากที่ต้องการ ไม่ใช่ลูก เราอยากให้ลูกแข็งแรงตอนคลอดทั้งที่ลูกไม่ได้ร้องขอ แต่น่าแปลกต้องที่ว่าเราสองคนดันทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตที่แข็งแรงทั้งที่เราไม่เคยเห็นหน้าเขา ไม่รู้จักเขา ด้วยซ้ำ ผมจึงถามท่านออกไปอีกอย่างว่าทำไมถึงอยากมีลูก ท่านตอบผมมาว่า เราไม่จำเป็นต้องมีลูกก็ได้ แต่ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่การเลี้ยงดูเด็ก ทำยังไงให้เขาแข็งแรง ฉลาด เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และมีคุณภาพ อย่างน้อยถ้าเขาเป็นคนดี โลกก็น่าอยู่ขึ้นมาบ้างสักนิด จริงไหม คำถามสุดท้ายก่อนที่ผมจะกลับคือ อยากให้ลูกตอบแทนเราที่เลี้ยงดูเราไหม ท่านตอบกลับมาว่า ไม่จำเป็นที่เค้าจะกลับมาตอบแทนเรา ให้ความรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ให้มันมาจากความรู้สึกอยากจะทำ ดีกว่าให้มันมาจากคำว่าหน้าที่นะ
ผมจึงถามคำถามสุดท้ายกลับไปอีกว่า คิดยังไงกับลูกที่ไม่ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ท่านตอบกลับมาว่า งั้นก็ต้องย้อนกลับไปถามพ่อแม่ว่าเลี้ยงดูลูกแบบไหนกันมากกว่า
ลูกก็เปรียบเหมือนเมล็ดพันธ์ุต่างๆ เมื่อลงดินไปแล้ว ก็อยู่ที่คนปลูกว่าจะดูแลยังไง บางคนปล่อยไม่ดูแล ต้นไม้ก็อาจจะโตช้า ไม่สวยงาม บางคนดูแลบางไม่ดูแลบาง ต้นไม้อาจจะโตเต็มที่ แต่ก็ไม่แข็งแรงมั่นคง บางคนดูแลดี ต้นไม้อาจจะโตใหญ่สวยงาม มีผล บางคนดูแลต้นไม้อย่างดีมาก ต้นไม้ก็อาจจะตายเพราะไม่สู้โรค และไม่ปล่อยตามธรรมชาติ ความท้าทายของคนเป็นพ่อแม่ คือการอบรมสั่งสอนให้เขายอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นได้ดี ให้ความรู้ ความสามารถ เปิดใจ ยอมรับเหตุผลต่างๆของกันและกันมากกว่า เมื่อหมดคำถามผมเลยกลับมานั่งตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาครับ
ตอนนี้หลายคนอาจจะด่าผมอยู่ว่ามีปู่ย่าก็ตอบแทนเค้าสิ ทุกวันนี้ผมก็ยังดูแลท่านนะ ผมไม่เรียกมันว่าการตอบแทนบุญคุณนะครับ เพราะท่านบอกว่าท่านไม่อยากให้ผมมาตอบแทนอะไรให้ทั้งนั้น แต่ผมก็ยังอยากทำอยู่ดี เพราะการได้ดูแลคนที่เรารัก แม้แค่พาไปตลาดซื้อของ หรือซ่อมโทรทัศน์ มันก็คือความสุขที่ทำให้ผมรู้ว่าพรุ่งนี้ผมตื่นมาเพื่อจะมาทำอะไรต่อในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าแแล้ว