ในสังคมไทย “ความกตัญญู” คือคุณธรรมสำคัญที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่วัยเยาว์ เด็กทุกคนรู้ว่าต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ต้องดูแลท่านเมื่อแก่เฒ่า
ต้อง “ไม่ลืมกำพืด” แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ความคาดหวังแบบเดิมกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับหลายครอบครัว คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต้องเผชิญความขัดแยกระหว่าง “ความรัก” และ “ความอยู่รอด” ในยุคที่ค่าครองชีพสูง หนี้สินล้นมือ และระบบสวัสดิการยังไม่ทั่วถึง คำถามที่เกิดขึ้นคือ ความกตัญญูที่แท้ควรมีขอบเขตแค่ไหน
ภาระที่ซ่อนอยู่ในคำว่า “ลูกที่ดี”
สำหรับใครหลายคน การเป็นลูกที่ดีหมายถึงการส่งเงินให้บ้านทุกเดือน การอยู่ใกล้พ่อแม่ การยอมลดโอกาสของตัวเองเพื่อดูแลครอบครัว แม้บางคนจะอยากเรียนต่อ ทำธุรกิจ หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่กลับต้องยอมพับฝันไว้ชั่วคราว เพราะต้องรับบท “เสาหลักของบ้าน” คำว่ากตัญญูจึงกลายเป็นกับดักทางใจ ที่ทำให้บางคนไม่อาจใช้ชีวิตอย่างอิสระ
ในยุคที่รายจ่ายเพิ่มขึ้นแต่รายได้ไม่ขยับ ข้อมูลล่าสุดระบุว่า กลุ่มคนวัยแรงงานไทยจำนวนมากอยู่ในสถานะ “Sandwich Generation” หรือคนรุ่นกลางที่ต้องเลี้ยงดูทั้งพ่อแม่สูงวัยและลูกหลาน ขณะที่ตนเองก็มีหนี้สินติดตัว ภาวะเช่นนี้นำมาซึ่งความเครียดและความรู้สึกผิด เมื่อต้องเลือกระหว่างการดูแลคนอื่นกับการดูแลตัวเอง
กับดักของคำว่า “อกตัญญู”
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อน คือการใช้คำว่า “อกตัญญู” เป็นเครื่องตัดสินทางศีลธรรม ลูกที่ไม่ส่งเงิน ไม่กลับบ้าน หรือมีชีวิตที่แตกต่างจากความคาดหวังของพ่อแม่ มักถูกตราหน้าว่าไม่รู้คุณคน ทั้งที่หลายครั้งลูกเหล่านั้นอาจอยู่ในช่วงที่ต้องต่อสู้กับปัญหาของตนเอง
จิตแพทย์หลายท่านมองว่า “การทวงบุญคุณ” คือหนึ่งในรูปแบบของการควบคุมทางอารมณ์ (emotional manipulation) ที่ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกผิดและไม่กล้าปฏิเสธความต้องการของพ่อแม่ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงกลายเป็นภาวะที่เหนื่อยล้าทั้งสองฝ่าย พ่อแม่อาจไม่เข้าใจว่าความเครียดของลูกไม่ได้เกิดจากความไม่รัก แต่เกิดจากความคาดหวังที่เกินขอบเขตความสามารถ
บทวิเคราะห์ “กับดักกตัญญู” ตั้งคำถามต่อคุณธรรมที่เคยเป็นรากฐานของสังคมไทย ในยุคที่ค่าครองชีพสูงและรัฐไม่มีกลไกรองรับ คนรุ่นใหม่ต้องเลือกระหว่างความรักกับการอยู่รอด แนวคิด “กตัญญูอย่างรู้เท่าทัน” จึงอาจเป็นคำตอบใหม่ของครอบครัวไทย
กับดักกตัญญู เปิดความจริงทางเศรษฐกิจ ในยุคที่ลูกเองก็แทบไม่รอด?