พอดีต้องเขียนแปลบทความลงวารสาร ฉบับหนึ่ง
คิดว่าช่วงนี้มีคนหันมาวิ่งออกกำลังกายกันมาก หวังว่าบทความคงจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆสมาชิกพันทิพไม่มากก็น้อยเพื่อเป็นความรู้สำหรับนักวิ่งระยะทางไกลมินิ ฮาฟ หรือนักวิ่งมาราธอน
“หวิดไตวายเฉียบพลัน! หนึ่งในนักวิ่งงานดังเมืองชล เข้า ICU หมอสั่งรอดูอาการ"
อันตรายถึงชีวิต! นักวิ่งการกุศลงานดังเมืองชล ถูกหามเข้าห้อง ICU รอดูอาการไตวายเฉียบพลัน หลังวิ่งฟูลมาราธอน 42 กม. ตลอดทางแทบไม่มีน้ำ ต้องขอน้ำคนงานก่อสร้างกิน…” อ่านข่าวต่อที่
https://www.thairath.co.th/content/1397558
นั่นเป็นพาดหัวข่าวไทยรัฐ 16 ต.ค.2018 หลังเกิดดราม่าและตำหนิทางผู้จัดในงานวิ่ง Charity Chonburi marathon 2018 ที่เกิดทางผู้จัด จัดน้ำดื่มให้นักวิ่งไม่เพียงพอ
แล้วการวิ่งมาราธอนหรือมินิมาราธอนทำให้เกิดไตเสื่อมได้จริงหรือ มาดูข้อมูลกัน
เมื่อไม่นานมานี้มีงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล โดย Chirag Parikh, MD, Ph.D.และคณะ พบว่าการวิ่งมาราธอนอาจทำให้ไตเสื่อมลงชั่วคราวและมีการทำลายของหน่วยไตได้หลังการวิ่ง โดยแนวคิดของงานวิจัยชิ้นนี้มีพื้นฐานมาจาก ทีมวิจัยของเขาต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่คนงานในไร่อ้อยในเขตร้อนชื้นประเทศ นิการากัวได้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง โดยทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าการเกิดความเครียดทางร่างกายอย่างต่อเนื่องในอุณหภูมิที่ร้อนมีบทบาททำให้เกิดไตวายเรื้อรังได้
ดังนั้นเขาจึงมีแนวคิดที่จะวิจัยในนักวิ่งฮาร์ตฟอร์ดมาราธอน เพื่อศึกษาการทำงานของไต ก่อนและหลังวิ่ง Parikh และคณะ ได้ทำการศึกษานักวิ่งมาราธอน 22 คน อายุเฉลี่ย 44 ปี ใน Hartfford marathon ในตุลาคม 2015 โดย นักวิ่งทุกคน เคยผ่านการวิ่งมาราธอนก่อนหน้านี้โดยเฉลี่ย 5 ครั้ง โดยได้เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะเพื่อดูค่าการทำงานของไต โดยตรวจก่อน 1 วัน หลังวิ่งทันที และหลังจากวิ่ง 24 ชั่วโมง และ ผลการศึกษาของพวกเขาได้รับการเผยแพร่ออนไลน์ ในเดือน 28 มีนาคม 2017 โดยวารสาร American Journal of Kidney Disease
โดยได้เจาะดูค่า creatinine ในเลือดซึ่งเป็นสารประกอบที่มักใช้ในการประเมินการทำงานของไตโดยพบว่านักวิ่งมาราธอนมีระดับที่บ่งบอกถึงการบาดเจ็บที่ไตระยะเฉียบพลันระยะที่ 1และ 2 โดยพบถึงร้อยละ 82 ของนักวิ่งหลังวิ่งมาราธอน และ พบว่าร้อยละ 73 พบว่าหน่วยไตถูกทำลาย(tubular injury) แต่อย่างไรก็ตาม Parikh และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าการใช้ค่า creatinine เพื่อดูการทำงานของไต อาจไม่ใช่สิ่งถูกต้องแม่นยำมากนัก เพราะ creatinine จะเกิดขึ้นมากในกระแสเลือดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อของคุณได้ถูกทำลายจากการวิ่งอย่างหนักและไตของคุณจะกรองออกจากกระแสเลือดของคุณ หากมีค่า creatinine ในระดับสูง สามารถบอกคุณได้ว่าการผลิต creatinine ในร่างกายของคุณสูงกว่าความสามารถของไตในการกรองออก และอาจไม่ใช่มีการเสื่อมของไตที่แท้จริงหากเอาค่า creatinine เป็นตัววัดอย่างเดียว ตัวอย่างเช่นการเสียน้ำจากการวิ่งก็สามารถทำให้ระดับ creatinine สูงได้จากการกรองของเสียที่ลดลงของไตจากการขาดน้ำ และ แม้เพียงแค่มีมวลกล้ามเนื้อที่มาก ในคนที่กล้ามเนื้อมาก สามารถนำไปสู่การอ่านแปลผลการทำงานของไตที่ผิดปกติได้จากค่า creatinine ทีเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อตรวจหาโรคไตก่อนหน้านี้ของนักวิ่งมาราธอน นักวิจัย Parikh ได้ใช้ biomarkers ตัวอื่น เพื่อแสดงการบาดเจ็บที่ไต biomarkers เหล่านี้รวมถึงการตรวจ โปรตีน albumin ที่รั่วออกมาซึ่งพบในปัสสาวะโดยเป็นผลจากเกิดการอักเสบหรือ ขาดเลือดหรือ เกิดโครงสร้างความเสียหายต่อเซลล์ในไต สิ่งที่น่าแปลกใจคือระดับของ biomarkers เหล่านี้ยังสูงในหมู่นักวิ่งส่วนใหญ่ นอกจากนี้ผู้เขียนศึกษายังได้ศึกษาดูปัสสาวะของนักวิ่งภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาหลักฐานของเศษเซลล์ไต ซึ่งปรากฎว่า 3 ใน 4 ของนักวิ่งการทดสอบนี้ให้ผลเป็นเป็นบวกหลังวิ่ง ซึ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่ามีการทำลายหน่วยไตเกิดขึ้น Parikh ยังกล่าวเพิ่มว่า “ดังนั้นไม่มีคำถามใด ๆ เลยว่านี่ไม่ใช่แค่การบาดเจ็บจากการเสียน้ำ แต่ก็มีความตายที่แท้จริงของเซลล์ไตที่เรากำลังเห็นอยู่”
อะไรที่อยู่เบื้องหลังความเสียหายนี้? ขณะที่วิ่งร่างกายของคุณจะส่งเลือดจากอวัยวะภายในเช่นไตไปยังกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักของคุณ ในความเป็นจริงเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณเลือดตามปกติอาจไปถึงไตของคุณในระหว่างการออกกำลังกายที่หนักหน่วงทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็น
นอกจากนี้ความร้อนซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าอาจไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ก็อาจมีส่วนช่วยเสริมทำให้ไตได้รับบาดเจ็บง่ายขึ้น
Parikh และ Sung Jo Kim, MD, หัวหน้าหน่วยโรคไตและความดันโลหิตสูงที่โรงพยาบาล Brookhaven Memorial ใน Patchogue, นิวยอร์กได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ โชคดีที่นักวิ่งมาราธอนทั้งหมด ค่าการทำงานของไต กลับมาปกติ ได้หลังการแข่งขัน 1 วัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำหรับคนที่มีสุขภาพดี การตรวจพบความผิดปกตินี้อาจ ไม่มีนัยสำคัญหรือมีผลน้อยมากสำหรับคนที่มีสุขภาพ แต่ “สิ่งที่เราไม่ทราบคือ – มีกลุ่มย่อยของนักวิ่งที่บางคนอาจไม่ฟื้นตัวเต็มที่และอาการบาดเจ็บเหล่านี้อาจทำให้แผลเป็นเล็ก ๆ ในไตได้หรือไม่? และด้วยรอยแผลเป็นเหล่านี้คุณจะเป็นโรคไตเรื้อรังหรือไม่หลังจากวิ่งมาราธอนไปหลายๆปี
ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น มีความเห็นตรงกัน ว่า “หน้าที่ไตอาจกู้คืน 99% ของทั้งหมด ” และ”ถ้านักวิ่งหรือนักกีฬาแข่งมาราธอนกัน 10 ครั้งต่อปีเราอาจจะเห็นได้ว่าจะเกิดการเสียทำงานของไตอย่างช้าๆ ทีละนิด ๆ”
ความเสี่ยงอาจจะมากขึ้นในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่นความดันโลหิตสูงโรคเบาหวานหรือประวัติบุคคลหรือครอบครัวที่เป็นโรคไต และเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการซ่อมแซมของไตจะลดลง
ดร. Jotwani กล่าวว่า “ฉันยังคงแนะนำว่าผู้ป่วยของฉันวิ่งออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมที่จะมีมีสุขภาพดีโดยรวม “อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้อาจหมายถึงว่าคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไตเช่นโรคเบาหวานเช่นควรระมัดระวังและมีการตรวจสอบการทำงานของไตอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ของตนหากพวกเขากำลังวิ่งมาราธอน”
นักวิ่งทุกคนสามารถปกป้องไตและสุขภาพโดยรวมได้โดยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอเมื่อคุณกระหายน้ำ ดร. คิมกล่าว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เช่น ibuprofen และ naproxen ก่อนการแข่งขัน
ยาเหล่านี้ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของ prostaglandins สารประกอบที่มีบทบาทในการอักเสบ แต่ยังช่วยป้องกันการไหลเวียนของเลือดไปยังทำให้ไตมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น”
หลังจากงานวิจัยนี้ออกมา ได้กระทบกว้างขวางต่อในหมู่นักกีฬาวิ่งมาราธอน ซึ่ง Parikh และคณะ ต้องศึกษาในระดับที่กลุ่มการศึกษาใหญ่ขึ้น และติดตามการวิจัยต่อไปว่า ท้ายสุดแล้ว การวิ่งมาราธอนนั้น จริงแล้วสามารถทำให้เกิด ไตเสื่อมเรื้อรังได้หรือไม่
สรุปบทความทั้งหมดได้ว่า
ไตได้รับบาดเจ็บหลังการวิ่งมาราธอนจริง และ สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ตามปกติใน 1 วัน
แต่สิ่งที่กังวลคือ แล้วอาจมีบางคน ที่ไตอาจฟื้นคืนมาได้ไม่หมด โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือคนที่ได้รับยาบางชนิดเช่นกลุ่ม NSAIDS
หากจะวิ่งมาราธอนก็ไม่ควรเกิน 2 งาน ต่อปีเพื่อให้ไตซ่อมแซมและฟื้นตัวได้ทัน
ดังนั้นการหลีกเลี่ยงให้ไตได้รับความบาดเจ็บน้อยที่สุดระหว่างการวิ่งระยะยาวคือ
การได้สารน้ำอย่างเพียงพอระหว่างการวิ่ง
,หลีกเลี่ยงการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นกลุ่ม NSAIDS
, หากเป็นไข้หวัด หรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยก่อนวิ่งมาราธอนก็ไม่ควรวิ่ง
หรือหากวิ่งแล้วอากาศร้อนจัด หรือมีตะคริวเกิดขึ้นระหว่างการวิ่ง ก็ไม่ควรวิ่งต่อไปเพราะนอกจากไตวายแล้วอาจทำกล้ามเนื้อลายสลายตัวรุนแรง( rhabdomyolysis) ซึ่งนอกจากทำให้ไตวายแล้วก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
อ้างอิง
https://sarawutdammai.wordpress.com/2018/12/02/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%AB/
การได้รับบาดเจ็บของไตหลังจากการวิ่งมาราธอน
คิดว่าช่วงนี้มีคนหันมาวิ่งออกกำลังกายกันมาก หวังว่าบทความคงจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆสมาชิกพันทิพไม่มากก็น้อยเพื่อเป็นความรู้สำหรับนักวิ่งระยะทางไกลมินิ ฮาฟ หรือนักวิ่งมาราธอน
“หวิดไตวายเฉียบพลัน! หนึ่งในนักวิ่งงานดังเมืองชล เข้า ICU หมอสั่งรอดูอาการ"
อันตรายถึงชีวิต! นักวิ่งการกุศลงานดังเมืองชล ถูกหามเข้าห้อง ICU รอดูอาการไตวายเฉียบพลัน หลังวิ่งฟูลมาราธอน 42 กม. ตลอดทางแทบไม่มีน้ำ ต้องขอน้ำคนงานก่อสร้างกิน…” อ่านข่าวต่อที่ https://www.thairath.co.th/content/1397558
นั่นเป็นพาดหัวข่าวไทยรัฐ 16 ต.ค.2018 หลังเกิดดราม่าและตำหนิทางผู้จัดในงานวิ่ง Charity Chonburi marathon 2018 ที่เกิดทางผู้จัด จัดน้ำดื่มให้นักวิ่งไม่เพียงพอ
แล้วการวิ่งมาราธอนหรือมินิมาราธอนทำให้เกิดไตเสื่อมได้จริงหรือ มาดูข้อมูลกัน
เมื่อไม่นานมานี้มีงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล โดย Chirag Parikh, MD, Ph.D.และคณะ พบว่าการวิ่งมาราธอนอาจทำให้ไตเสื่อมลงชั่วคราวและมีการทำลายของหน่วยไตได้หลังการวิ่ง โดยแนวคิดของงานวิจัยชิ้นนี้มีพื้นฐานมาจาก ทีมวิจัยของเขาต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่คนงานในไร่อ้อยในเขตร้อนชื้นประเทศ นิการากัวได้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง โดยทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าการเกิดความเครียดทางร่างกายอย่างต่อเนื่องในอุณหภูมิที่ร้อนมีบทบาททำให้เกิดไตวายเรื้อรังได้
ดังนั้นเขาจึงมีแนวคิดที่จะวิจัยในนักวิ่งฮาร์ตฟอร์ดมาราธอน เพื่อศึกษาการทำงานของไต ก่อนและหลังวิ่ง Parikh และคณะ ได้ทำการศึกษานักวิ่งมาราธอน 22 คน อายุเฉลี่ย 44 ปี ใน Hartfford marathon ในตุลาคม 2015 โดย นักวิ่งทุกคน เคยผ่านการวิ่งมาราธอนก่อนหน้านี้โดยเฉลี่ย 5 ครั้ง โดยได้เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะเพื่อดูค่าการทำงานของไต โดยตรวจก่อน 1 วัน หลังวิ่งทันที และหลังจากวิ่ง 24 ชั่วโมง และ ผลการศึกษาของพวกเขาได้รับการเผยแพร่ออนไลน์ ในเดือน 28 มีนาคม 2017 โดยวารสาร American Journal of Kidney Disease
โดยได้เจาะดูค่า creatinine ในเลือดซึ่งเป็นสารประกอบที่มักใช้ในการประเมินการทำงานของไตโดยพบว่านักวิ่งมาราธอนมีระดับที่บ่งบอกถึงการบาดเจ็บที่ไตระยะเฉียบพลันระยะที่ 1และ 2 โดยพบถึงร้อยละ 82 ของนักวิ่งหลังวิ่งมาราธอน และ พบว่าร้อยละ 73 พบว่าหน่วยไตถูกทำลาย(tubular injury) แต่อย่างไรก็ตาม Parikh และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าการใช้ค่า creatinine เพื่อดูการทำงานของไต อาจไม่ใช่สิ่งถูกต้องแม่นยำมากนัก เพราะ creatinine จะเกิดขึ้นมากในกระแสเลือดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อของคุณได้ถูกทำลายจากการวิ่งอย่างหนักและไตของคุณจะกรองออกจากกระแสเลือดของคุณ หากมีค่า creatinine ในระดับสูง สามารถบอกคุณได้ว่าการผลิต creatinine ในร่างกายของคุณสูงกว่าความสามารถของไตในการกรองออก และอาจไม่ใช่มีการเสื่อมของไตที่แท้จริงหากเอาค่า creatinine เป็นตัววัดอย่างเดียว ตัวอย่างเช่นการเสียน้ำจากการวิ่งก็สามารถทำให้ระดับ creatinine สูงได้จากการกรองของเสียที่ลดลงของไตจากการขาดน้ำ และ แม้เพียงแค่มีมวลกล้ามเนื้อที่มาก ในคนที่กล้ามเนื้อมาก สามารถนำไปสู่การอ่านแปลผลการทำงานของไตที่ผิดปกติได้จากค่า creatinine ทีเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อตรวจหาโรคไตก่อนหน้านี้ของนักวิ่งมาราธอน นักวิจัย Parikh ได้ใช้ biomarkers ตัวอื่น เพื่อแสดงการบาดเจ็บที่ไต biomarkers เหล่านี้รวมถึงการตรวจ โปรตีน albumin ที่รั่วออกมาซึ่งพบในปัสสาวะโดยเป็นผลจากเกิดการอักเสบหรือ ขาดเลือดหรือ เกิดโครงสร้างความเสียหายต่อเซลล์ในไต สิ่งที่น่าแปลกใจคือระดับของ biomarkers เหล่านี้ยังสูงในหมู่นักวิ่งส่วนใหญ่ นอกจากนี้ผู้เขียนศึกษายังได้ศึกษาดูปัสสาวะของนักวิ่งภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาหลักฐานของเศษเซลล์ไต ซึ่งปรากฎว่า 3 ใน 4 ของนักวิ่งการทดสอบนี้ให้ผลเป็นเป็นบวกหลังวิ่ง ซึ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่ามีการทำลายหน่วยไตเกิดขึ้น Parikh ยังกล่าวเพิ่มว่า “ดังนั้นไม่มีคำถามใด ๆ เลยว่านี่ไม่ใช่แค่การบาดเจ็บจากการเสียน้ำ แต่ก็มีความตายที่แท้จริงของเซลล์ไตที่เรากำลังเห็นอยู่”
อะไรที่อยู่เบื้องหลังความเสียหายนี้? ขณะที่วิ่งร่างกายของคุณจะส่งเลือดจากอวัยวะภายในเช่นไตไปยังกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักของคุณ ในความเป็นจริงเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณเลือดตามปกติอาจไปถึงไตของคุณในระหว่างการออกกำลังกายที่หนักหน่วงทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็น
นอกจากนี้ความร้อนซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าอาจไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ก็อาจมีส่วนช่วยเสริมทำให้ไตได้รับบาดเจ็บง่ายขึ้น
Parikh และ Sung Jo Kim, MD, หัวหน้าหน่วยโรคไตและความดันโลหิตสูงที่โรงพยาบาล Brookhaven Memorial ใน Patchogue, นิวยอร์กได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ โชคดีที่นักวิ่งมาราธอนทั้งหมด ค่าการทำงานของไต กลับมาปกติ ได้หลังการแข่งขัน 1 วัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำหรับคนที่มีสุขภาพดี การตรวจพบความผิดปกตินี้อาจ ไม่มีนัยสำคัญหรือมีผลน้อยมากสำหรับคนที่มีสุขภาพ แต่ “สิ่งที่เราไม่ทราบคือ – มีกลุ่มย่อยของนักวิ่งที่บางคนอาจไม่ฟื้นตัวเต็มที่และอาการบาดเจ็บเหล่านี้อาจทำให้แผลเป็นเล็ก ๆ ในไตได้หรือไม่? และด้วยรอยแผลเป็นเหล่านี้คุณจะเป็นโรคไตเรื้อรังหรือไม่หลังจากวิ่งมาราธอนไปหลายๆปี
ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น มีความเห็นตรงกัน ว่า “หน้าที่ไตอาจกู้คืน 99% ของทั้งหมด ” และ”ถ้านักวิ่งหรือนักกีฬาแข่งมาราธอนกัน 10 ครั้งต่อปีเราอาจจะเห็นได้ว่าจะเกิดการเสียทำงานของไตอย่างช้าๆ ทีละนิด ๆ”
ความเสี่ยงอาจจะมากขึ้นในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่นความดันโลหิตสูงโรคเบาหวานหรือประวัติบุคคลหรือครอบครัวที่เป็นโรคไต และเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการซ่อมแซมของไตจะลดลง
ดร. Jotwani กล่าวว่า “ฉันยังคงแนะนำว่าผู้ป่วยของฉันวิ่งออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมที่จะมีมีสุขภาพดีโดยรวม “อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้อาจหมายถึงว่าคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไตเช่นโรคเบาหวานเช่นควรระมัดระวังและมีการตรวจสอบการทำงานของไตอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ของตนหากพวกเขากำลังวิ่งมาราธอน”
นักวิ่งทุกคนสามารถปกป้องไตและสุขภาพโดยรวมได้โดยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอเมื่อคุณกระหายน้ำ ดร. คิมกล่าว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เช่น ibuprofen และ naproxen ก่อนการแข่งขัน
ยาเหล่านี้ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของ prostaglandins สารประกอบที่มีบทบาทในการอักเสบ แต่ยังช่วยป้องกันการไหลเวียนของเลือดไปยังทำให้ไตมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น”
หลังจากงานวิจัยนี้ออกมา ได้กระทบกว้างขวางต่อในหมู่นักกีฬาวิ่งมาราธอน ซึ่ง Parikh และคณะ ต้องศึกษาในระดับที่กลุ่มการศึกษาใหญ่ขึ้น และติดตามการวิจัยต่อไปว่า ท้ายสุดแล้ว การวิ่งมาราธอนนั้น จริงแล้วสามารถทำให้เกิด ไตเสื่อมเรื้อรังได้หรือไม่
สรุปบทความทั้งหมดได้ว่า
ไตได้รับบาดเจ็บหลังการวิ่งมาราธอนจริง และ สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ตามปกติใน 1 วัน
แต่สิ่งที่กังวลคือ แล้วอาจมีบางคน ที่ไตอาจฟื้นคืนมาได้ไม่หมด โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือคนที่ได้รับยาบางชนิดเช่นกลุ่ม NSAIDS
หากจะวิ่งมาราธอนก็ไม่ควรเกิน 2 งาน ต่อปีเพื่อให้ไตซ่อมแซมและฟื้นตัวได้ทัน
ดังนั้นการหลีกเลี่ยงให้ไตได้รับความบาดเจ็บน้อยที่สุดระหว่างการวิ่งระยะยาวคือ
การได้สารน้ำอย่างเพียงพอระหว่างการวิ่ง
,หลีกเลี่ยงการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นกลุ่ม NSAIDS
, หากเป็นไข้หวัด หรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยก่อนวิ่งมาราธอนก็ไม่ควรวิ่ง
หรือหากวิ่งแล้วอากาศร้อนจัด หรือมีตะคริวเกิดขึ้นระหว่างการวิ่ง ก็ไม่ควรวิ่งต่อไปเพราะนอกจากไตวายแล้วอาจทำกล้ามเนื้อลายสลายตัวรุนแรง( rhabdomyolysis) ซึ่งนอกจากทำให้ไตวายแล้วก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
อ้างอิง
https://sarawutdammai.wordpress.com/2018/12/02/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%AB/