การได้รับบาดเจ็บของไตหลังจากการวิ่งมาราธอน

พอดีต้องเขียนแปลบทความลงวารสาร ฉบับหนึ่ง
คิดว่าช่วงนี้มีคนหันมาวิ่งออกกำลังกายกันมาก หวังว่าบทความคงจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆสมาชิกพันทิพไม่มากก็น้อยเพื่อเป็นความรู้สำหรับนักวิ่งระยะทางไกลมินิ ฮาฟ หรือนักวิ่งมาราธอน





“หวิดไตวายเฉียบพลัน! หนึ่งในนักวิ่งงานดังเมืองชล เข้า ICU หมอสั่งรอดูอาการ"

อันตรายถึงชีวิต! นักวิ่งการกุศลงานดังเมืองชล ถูกหามเข้าห้อง ICU รอดูอาการไตวายเฉียบพลัน หลังวิ่งฟูลมาราธอน 42 กม. ตลอดทางแทบไม่มีน้ำ ต้องขอน้ำคนงานก่อสร้างกิน…” อ่านข่าวต่อที่ https://www.thairath.co.th/content/1397558

นั่นเป็นพาดหัวข่าวไทยรัฐ 16 ต.ค.2018  หลังเกิดดราม่าและตำหนิทางผู้จัดในงานวิ่ง  Charity Chonburi marathon 2018 ที่เกิดทางผู้จัด จัดน้ำดื่มให้นักวิ่งไม่เพียงพอ

แล้วการวิ่งมาราธอนหรือมินิมาราธอนทำให้เกิดไตเสื่อมได้จริงหรือ มาดูข้อมูลกัน

เมื่อไม่นานมานี้มีงานการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล  โดย  Chirag Parikh, MD, Ph.D.และคณะ  พบว่าการวิ่งมาราธอนอาจทำให้ไตเสื่อมลงชั่วคราวและมีการทำลายของหน่วยไตได้หลังการวิ่ง  โดยแนวคิดของงานวิจัยชิ้นนี้มีพื้นฐานมาจาก ทีมวิจัยของเขาต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่คนงานในไร่อ้อยในเขตร้อนชื้นประเทศ นิการากัวได้เกิดโรคไตวายเรื้อรัง โดยทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่าการเกิดความเครียดทางร่างกายอย่างต่อเนื่องในอุณหภูมิที่ร้อนมีบทบาททำให้เกิดไตวายเรื้อรังได้

ดังนั้นเขาจึงมีแนวคิดที่จะวิจัยในนักวิ่งฮาร์ตฟอร์ดมาราธอน เพื่อศึกษาการทำงานของไต ก่อนและหลังวิ่ง   Parikh และคณะ ได้ทำการศึกษานักวิ่งมาราธอน 22 คน อายุเฉลี่ย 44 ปี  ใน Hartfford marathon ในตุลาคม 2015  โดย นักวิ่งทุกคน เคยผ่านการวิ่งมาราธอนก่อนหน้านี้โดยเฉลี่ย 5 ครั้ง  โดยได้เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะเพื่อดูค่าการทำงานของไต  โดยตรวจก่อน 1 วัน   หลังวิ่งทันที  และหลังจากวิ่ง  24 ชั่วโมง และ ผลการศึกษาของพวกเขาได้รับการเผยแพร่ออนไลน์ ในเดือน  28 มีนาคม 2017 โดยวารสาร American Journal of Kidney Disease

โดยได้เจาะดูค่า  creatinine ในเลือดซึ่งเป็นสารประกอบที่มักใช้ในการประเมินการทำงานของไตโดยพบว่านักวิ่งมาราธอนมีระดับที่บ่งบอกถึงการบาดเจ็บที่ไตระยะเฉียบพลันระยะที่ 1และ 2  โดยพบถึงร้อยละ 82 ของนักวิ่งหลังวิ่งมาราธอน และ พบว่าร้อยละ 73 พบว่าหน่วยไตถูกทำลาย(tubular injury)   แต่อย่างไรก็ตาม Parikh และผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าการใช้ค่า creatinine เพื่อดูการทำงานของไต อาจไม่ใช่สิ่งถูกต้องแม่นยำมากนัก  เพราะ creatinine  จะเกิดขึ้นมากในกระแสเลือดขึ้นเมื่อกล้ามเนื้อของคุณได้ถูกทำลายจากการวิ่งอย่างหนักและไตของคุณจะกรองออกจากกระแสเลือดของคุณ    หากมีค่า creatinine ในระดับสูง   สามารถบอกคุณได้ว่าการผลิต creatinine ในร่างกายของคุณสูงกว่าความสามารถของไตในการกรองออก และอาจไม่ใช่มีการเสื่อมของไตที่แท้จริงหากเอาค่า creatinine เป็นตัววัดอย่างเดียว  ตัวอย่างเช่นการเสียน้ำจากการวิ่งก็สามารถทำให้ระดับ creatinine สูงได้จากการกรองของเสียที่ลดลงของไตจากการขาดน้ำ  และ แม้เพียงแค่มีมวลกล้ามเนื้อที่มาก ในคนที่กล้ามเนื้อมาก สามารถนำไปสู่การอ่านแปลผลการทำงานของไตที่ผิดปกติได้จากค่า creatinine  ทีเพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อตรวจหาโรคไตก่อนหน้านี้ของนักวิ่งมาราธอน นักวิจัย  Parikh ได้ใช้  biomarkers ตัวอื่น เพื่อแสดงการบาดเจ็บที่ไต biomarkers เหล่านี้รวมถึงการตรวจ โปรตีน albumin  ที่รั่วออกมาซึ่งพบในปัสสาวะโดยเป็นผลจากเกิดการอักเสบหรือ ขาดเลือดหรือ เกิดโครงสร้างความเสียหายต่อเซลล์ในไต  สิ่งที่น่าแปลกใจคือระดับของ biomarkers เหล่านี้ยังสูงในหมู่นักวิ่งส่วนใหญ่   นอกจากนี้ผู้เขียนศึกษายังได้ศึกษาดูปัสสาวะของนักวิ่งภายใต้กล้องจุลทรรศน์เพื่อตรวจหาหลักฐานของเศษเซลล์ไต  ซึ่งปรากฎว่า  3 ใน 4  ของนักวิ่งการทดสอบนี้ให้ผลเป็นเป็นบวกหลังวิ่ง  ซึ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่ามีการทำลายหน่วยไตเกิดขึ้น    Parikh ยังกล่าวเพิ่มว่า   “ดังนั้นไม่มีคำถามใด ๆ เลยว่านี่ไม่ใช่แค่การบาดเจ็บจากการเสียน้ำ แต่ก็มีความตายที่แท้จริงของเซลล์ไตที่เรากำลังเห็นอยู่”

อะไรที่อยู่เบื้องหลังความเสียหายนี้? ขณะที่วิ่งร่างกายของคุณจะส่งเลือดจากอวัยวะภายในเช่นไตไปยังกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักของคุณ ในความเป็นจริงเพียงประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณเลือดตามปกติอาจไปถึงไตของคุณในระหว่างการออกกำลังกายที่หนักหน่วงทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและออกซิเจนที่จำเป็น

นอกจากนี้ความร้อนซึ่งอาจเกิดขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของร่างกายที่เพิ่มขึ้นแม้ว่าอาจไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ก็อาจมีส่วนช่วยเสริมทำให้ไตได้รับบาดเจ็บง่ายขึ้น

Parikh และ Sung Jo Kim, MD, หัวหน้าหน่วยโรคไตและความดันโลหิตสูงที่โรงพยาบาล Brookhaven Memorial ใน Patchogue, นิวยอร์กได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ โชคดีที่นักวิ่งมาราธอนทั้งหมด ค่าการทำงานของไต  กลับมาปกติ ได้หลังการแข่งขัน 1 วัน  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสำหรับคนที่มีสุขภาพดี  การตรวจพบความผิดปกตินี้อาจ ไม่มีนัยสำคัญหรือมีผลน้อยมากสำหรับคนที่มีสุขภาพ แต่    “สิ่งที่เราไม่ทราบคือ – มีกลุ่มย่อยของนักวิ่งที่บางคนอาจไม่ฟื้นตัวเต็มที่และอาการบาดเจ็บเหล่านี้อาจทำให้แผลเป็นเล็ก ๆ ในไตได้หรือไม่? และด้วยรอยแผลเป็นเหล่านี้คุณจะเป็นโรคไตเรื้อรังหรือไม่หลังจากวิ่งมาราธอนไปหลายๆปี

ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น มีความเห็นตรงกัน ว่า “หน้าที่ไตอาจกู้คืน 99% ของทั้งหมด ” และ”ถ้านักวิ่งหรือนักกีฬาแข่งมาราธอนกัน 10 ครั้งต่อปีเราอาจจะเห็นได้ว่าจะเกิดการเสียทำงานของไตอย่างช้าๆ ทีละนิด ๆ”

ความเสี่ยงอาจจะมากขึ้นในคนที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่นความดันโลหิตสูงโรคเบาหวานหรือประวัติบุคคลหรือครอบครัวที่เป็นโรคไต  และเมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการซ่อมแซมของไตจะลดลง

ดร. Jotwani กล่าวว่า “ฉันยังคงแนะนำว่าผู้ป่วยของฉันวิ่งออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมที่จะมีมีสุขภาพดีโดยรวม “อย่างไรก็ตามข้อมูลนี้อาจหมายถึงว่าคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคไตเช่นโรคเบาหวานเช่นควรระมัดระวังและมีการตรวจสอบการทำงานของไตอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ของตนหากพวกเขากำลังวิ่งมาราธอน”

นักวิ่งทุกคนสามารถปกป้องไตและสุขภาพโดยรวมได้โดยการดื่มน้ำอย่างเพียงพอเมื่อคุณกระหายน้ำ ดร. คิมกล่าว  นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เช่น ibuprofen และ naproxen ก่อนการแข่งขัน

ยาเหล่านี้ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของ prostaglandins สารประกอบที่มีบทบาทในการอักเสบ แต่ยังช่วยป้องกันการไหลเวียนของเลือดไปยังทำให้ไตมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น”

หลังจากงานวิจัยนี้ออกมา ได้กระทบกว้างขวางต่อในหมู่นักกีฬาวิ่งมาราธอน  ซึ่ง  Parikh  และคณะ ต้องศึกษาในระดับที่กลุ่มการศึกษาใหญ่ขึ้น  และติดตามการวิจัยต่อไปว่า  ท้ายสุดแล้ว   การวิ่งมาราธอนนั้น จริงแล้วสามารถทำให้เกิด ไตเสื่อมเรื้อรังได้หรือไม่

สรุปบทความทั้งหมดได้ว่า
ไตได้รับบาดเจ็บหลังการวิ่งมาราธอนจริง  และ สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ตามปกติใน 1 วัน
แต่สิ่งที่กังวลคือ แล้วอาจมีบางคน ที่ไตอาจฟื้นคืนมาได้ไม่หมด โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง  หรือคนที่ได้รับยาบางชนิดเช่นกลุ่ม NSAIDS  
หากจะวิ่งมาราธอนก็ไม่ควรเกิน 2 งาน ต่อปีเพื่อให้ไตซ่อมแซมและฟื้นตัวได้ทัน
ดังนั้นการหลีกเลี่ยงให้ไตได้รับความบาดเจ็บน้อยที่สุดระหว่างการวิ่งระยะยาวคือ

การได้สารน้ำอย่างเพียงพอระหว่างการวิ่ง  

,หลีกเลี่ยงการใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ คลายเส้นกลุ่ม NSAIDS

,   หากเป็นไข้หวัด หรือเจ็บป่วยเล็กๆน้อยก่อนวิ่งมาราธอนก็ไม่ควรวิ่ง  

หรือหากวิ่งแล้วอากาศร้อนจัด หรือมีตะคริวเกิดขึ้นระหว่างการวิ่ง ก็ไม่ควรวิ่งต่อไปเพราะนอกจากไตวายแล้วอาจทำกล้ามเนื้อลายสลายตัวรุนแรง( rhabdomyolysis) ซึ่งนอกจากทำให้ไตวายแล้วก็อาจทำให้เสียชีวิตได้


อ้างอิง  
https://sarawutdammai.wordpress.com/2018/12/02/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%AB/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่