รมต.คมนาคมแจงสื่อญี่ปุ่น เชื่อม 3 สนามบิน เพิ่มผู้โดยสาร 2 เท่าตัว ดันไทยแซงสิงคโปร์
รมต.คมนาคมของไทยระบุกับสื่อญี่ปุ่นว่า โครงการเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา จะเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารอีก 2 เท่าตัว และทำให้ประเทศไทยแซงหน้าสิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคมนาคมให้สัมภาษณ์กับ “นิเคอิ” สื่อของญี่ปุ่นว่า สนามบินแตะเภา ซึ่งเดิมเป็นสนามบินทหารจะได้รับการพัฒนาตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และจะรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี
ปัจจุบัน สนามบินอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารราว 300,000 คน ส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินเช่าเหมาจากจีนและรัสเซีย แต่หลังจากเชื่อมโยงกับ EEC สนามบินอู่ตะเภาจะเป็นประตูสำหรับนักธุรกิจด้วย
นายอาคมระบุว่า ขณะนี้สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองหนาแน่นมาก และรัฐบาลกำลังขยายพื้นที่ โดยสนามบินสุวรรณภูมิขยายความสามารถรองรับผู้โดยสารต่อปีจาก 45 ล้านคนเป็น 90 ล้านคน และสนามบินดอนเมืองจาก 30 ล้านคนเป็น 40 ล้านคน โดยเมื่อรวม 3 สนามบินแล้ว ศักยภาพการรองรับผู้โดยสารต่อปีจะเพิ่มเป็น 190 ล้านคน หรือ 2.5 เท่าตัวจากปัจจุบัน
เมื่อเทียบแล้ว สนามบินหลักในประเทศไทยจะแซงหน้าสนามบินชางฮีของสิงคโปร์ ที่รองรับผู้โดยสาร 150 ล้านคนต่อปีในปี 2030 เมื่ออาคารผู้โดยสารที่ 5 สร้างเสร็จ
รมต.คมนาคมระบุว่า ไทยยังตั้งเป้าจะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและพัฒนาอากาศยาน ซึ่งปัจจุบันสิงคโปร์เป็นศูนย์หลักในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับการส่งเสริมใน EEC
รัฐบาลไทยกำลังเปิดประมูลโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ระยะทาง 220 กม. มูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างสูงจากกลุ่มทุนทั้งไทยและเทศ เช่น กลุ่มซีพี , ปตท. รวมทั้งบริษัทจากจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี และมาเลเซีย โดยรัฐบาลไทยได้ทราบว่า จีนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกันในโครงการนี้ โดยเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 ชาติร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ

เส้นทางรถไฟนี้ยังจะเชื่อมโยงไปถึงประเทศจีน ตามแนวคิด “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หรือ Belt and Road ช่วงแรกของเส้นทางนี้ระหว่างกรุงเทพ-นครราชสีมา ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว และคาดว่าจะเปิดบริการได้ในปี 2022
เดิมทีรัฐบาลจีนจะให้การสนับสนุนโครงการนี้ แต่ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ได้ ทำให้ฝ่ายไทยตัดสินใจลงทุนเอง แต่รมต. คมนาคม ระบุว่า ไทยพร้อมจะรับเงินกู้จากจีนหากมีเงื่อนไขที่เหมาะสม แต่ฝ่ายไทยก็ไม่มีข้อผูกมัดว่าต้องใช้เงินทุนจากฝ่ายจีน
รมต.คมนาคม ระบุว่า โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินนี้ รัฐบาลไทยจะจ่ายค่าเวนคืนที่ดิน และค่าก่อสร้างบางส่วน แต่ภาคเอกชนจะต้องรับความเสี่ยงด้านการก่อสร้าง, การดำเนินงาน และการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทาง รัฐบาลจะไม่ช่วยรับประกันผลกำไรและการเงินของผู้ที่ได้รับสัมปทาน
https://mgronline.com/japan/detail/9610000095499
ชอบตรงนี้ค่ะ...โดยรัฐบาลไทยได้ทราบว่า จีนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกันในโครงการนี้ โดยเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 ชาติร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ




🚂~มาลาริน~เยี่ยมมาก..รมต.คมนาคมแจงสื่อญี่ปุ่น โครงการเชื่อม 3 สนามบิน จะเพิ่มผู้โดยสาร 2 เท่าตัว ดันไทยแซงหน้าสิงคโปรค์
รมต.คมนาคมแจงสื่อญี่ปุ่น เชื่อม 3 สนามบิน เพิ่มผู้โดยสาร 2 เท่าตัว ดันไทยแซงสิงคโปร์
รมต.คมนาคมของไทยระบุกับสื่อญี่ปุ่นว่า โครงการเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา จะเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารอีก 2 เท่าตัว และทำให้ประเทศไทยแซงหน้าสิงคโปร์ เป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคอาเซียน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีคมนาคมให้สัมภาษณ์กับ “นิเคอิ” สื่อของญี่ปุ่นว่า สนามบินแตะเภา ซึ่งเดิมเป็นสนามบินทหารจะได้รับการพัฒนาตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และจะรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี
ปัจจุบัน สนามบินอู่ตะเภารองรับผู้โดยสารราว 300,000 คน ส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินเช่าเหมาจากจีนและรัสเซีย แต่หลังจากเชื่อมโยงกับ EEC สนามบินอู่ตะเภาจะเป็นประตูสำหรับนักธุรกิจด้วย
นายอาคมระบุว่า ขณะนี้สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองหนาแน่นมาก และรัฐบาลกำลังขยายพื้นที่ โดยสนามบินสุวรรณภูมิขยายความสามารถรองรับผู้โดยสารต่อปีจาก 45 ล้านคนเป็น 90 ล้านคน และสนามบินดอนเมืองจาก 30 ล้านคนเป็น 40 ล้านคน โดยเมื่อรวม 3 สนามบินแล้ว ศักยภาพการรองรับผู้โดยสารต่อปีจะเพิ่มเป็น 190 ล้านคน หรือ 2.5 เท่าตัวจากปัจจุบัน
เมื่อเทียบแล้ว สนามบินหลักในประเทศไทยจะแซงหน้าสนามบินชางฮีของสิงคโปร์ ที่รองรับผู้โดยสาร 150 ล้านคนต่อปีในปี 2030 เมื่ออาคารผู้โดยสารที่ 5 สร้างเสร็จ
รมต.คมนาคมระบุว่า ไทยยังตั้งเป้าจะเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและพัฒนาอากาศยาน ซึ่งปัจจุบันสิงคโปร์เป็นศูนย์หลักในภูมิภาค โดยอุตสาหกรรมยานยนต์เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมหลักที่จะได้รับการส่งเสริมใน EEC
รัฐบาลไทยกำลังเปิดประมูลโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ระยะทาง 220 กม. มูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้รับความสนใจอย่างสูงจากกลุ่มทุนทั้งไทยและเทศ เช่น กลุ่มซีพี , ปตท. รวมทั้งบริษัทจากจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิตาลี และมาเลเซีย โดยรัฐบาลไทยได้ทราบว่า จีนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกันในโครงการนี้ โดยเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 ชาติร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ
เส้นทางรถไฟนี้ยังจะเชื่อมโยงไปถึงประเทศจีน ตามแนวคิด “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หรือ Belt and Road ช่วงแรกของเส้นทางนี้ระหว่างกรุงเทพ-นครราชสีมา ได้เริ่มก่อสร้างแล้ว และคาดว่าจะเปิดบริการได้ในปี 2022
เดิมทีรัฐบาลจีนจะให้การสนับสนุนโครงการนี้ แต่ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ได้ ทำให้ฝ่ายไทยตัดสินใจลงทุนเอง แต่รมต. คมนาคม ระบุว่า ไทยพร้อมจะรับเงินกู้จากจีนหากมีเงื่อนไขที่เหมาะสม แต่ฝ่ายไทยก็ไม่มีข้อผูกมัดว่าต้องใช้เงินทุนจากฝ่ายจีน
รมต.คมนาคม ระบุว่า โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินนี้ รัฐบาลไทยจะจ่ายค่าเวนคืนที่ดิน และค่าก่อสร้างบางส่วน แต่ภาคเอกชนจะต้องรับความเสี่ยงด้านการก่อสร้าง, การดำเนินงาน และการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทาง รัฐบาลจะไม่ช่วยรับประกันผลกำไรและการเงินของผู้ที่ได้รับสัมปทาน
https://mgronline.com/japan/detail/9610000095499
ชอบตรงนี้ค่ะ...โดยรัฐบาลไทยได้ทราบว่า จีนและญี่ปุ่นจะร่วมมือกันในโครงการนี้ โดยเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 ชาติร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต่างประเทศ