เชื่อมั่นรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ดันอู่ตะเภาสู่ศูนย์กลางการบิน แซงหน้าซางฮีของสิงคโปร์

ในอดีต สนามบินอู่ตะเภา เป็นสนามบินที่ใช้ในกิจการทางทหาร ยุคต่อมาได้เปิดให้ใช้งานเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีการยึดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิเมื่อหลายปีก่อน สนามบินอู่ตะเภาจึงต้องให้บริการแทนสองสนามบินในกรุงเทพฯ ทำให้ได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของสนามบินแห่งนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น


ปัจจุบันสนามบินอู่ตะเภาสามารถรองรับผู้โดยสารได้ราว 300,000 คนต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนและรัสเซีย แต่หากได้รับการพัฒนาให้เป็นสนามบินพาณิชย์ ตามโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ก็จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 60 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว

สนามบินอู่ตะเภายังถูกกำหนดให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมสมบูรณ์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับรองรับการลงทุนในอีอีซี ของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและมีมูลค่าสูง อย่างเช่น อุตสาหกรรมอากาศยาน หุ่นยนต์ และไบโอเทคโนโลยี

ไม่เพียงเท่านั้น สนามบินอู่ตะเภายังถูกตั้งเป้าให้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและพัฒนาอากาศยานของภูมิภาค แทนที่สิงคโปร์ที่เป็นศูนย์หลักอยู่ในปัจจุบัน


ตามกำหนดปี 2566 รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจะสร้างเสร็จ ในเวลาไล่เลี่ยกับการปรับปรุงท่าอากาศยานอู่ตะเภาเฟสแรกแล้วเสร็จ ซึ่งจะทำให้รองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคนต่อปี

ส่วนสนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 45 ล้านคนเป็น 90 ล้านคนต่อปี และสนามบินดอนเมืองเพิ่มจาก 30 ล้านคนเป็น 40 ล้านคนต่อปี

เมื่อรวมกัน 3 สนามบินแล้ว จะมีศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 190 ล้านคน หรือ 2.5 เท่าจากปัจจุบัน

ในขณะที่ปี 2573 หากอาคารผู้โดยสารหลังที่ 5 สร้างเสร็จ สนามบินชางฮีของสิงคโปร์จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี

เห็นได้ชัดว่า หากโครงการต่าง ๆ สำเร็จตามแผนที่วางไว้ จะเป็นการพลิกโฉมประเทศไทยสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ยกระดับเศรษฐกิจไทยให้สดใสมั่นคง  


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่