ชีวิตมหาลัยไม่ใช่เรื่องตลก

สวัสดีค่ะ เราคนเดิม เพิ่มเติมคือมาอัพเดทสถานการณ์เฟรชชี่ปี1 อยากมาบอกเล่าเรื่องราวและสถานการณ์เหมือนไดอารี่ให้อ่านค่ะ

หลังจากที่เราโพสกระทู้ถามไปว่าอยากซิ่วและควรซิ่วดีมั้ย คำตอบของเราที่เลือกคือ เรายังไม่อยากจะซิ่วตอนนี้ค่ะ เรารู้สึกเสียดายความพยายามของตัวเอง และไม่อยากเสียมันไป วิชาที่เรียนเราก็รู้สึกดีและไม่ได้รู้สึกแย่ไปกับมันเท่าไหร่ แต่สิ่งที่แย่และเกิดขึ้นจริงคือการปรับตัวให้เข้าสู่การเป็นสังคมมหาลัย เรายอมรับนะคะว่าเราเป็นคนที่ปรับตัวค่อนข้างยาก ในช่วงแรกเราไม่ใช่คนที่ขี้คุยเท่าไหร่หรือจะเริ่มต้นคุยกับใครได้ง่ายๆเพราะเราค่อนข้างเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เงียบๆ และรับฟังมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราโดนเพื่อนตำหนิมาว่าทำไมถึงไม่พูดอะไรบ้างเลย เราก็เลยเริ่มที่จะพูดบ้างค่ะ กลับกลายเป็นว่า เริ่มเป็นฝืนแทนค่ะ555

"ฝืนที่จะเป็นเราในแบบของเรา จนไปสู่สภาวะของโรคซึมเศร้าโดยสมบูรณ์และโรควิตกกังวลทั่วไป"

ในช่วงของการเปิดเทอม เราก็พูดเยอะขึ้นค่ะ เหมือนเป็นอีกคนเลย จนเพื่อนสนิทเตือนเราว่าไปหาหมอเถอะ เพราะเราทำอะไรก็ดูเหมือนไฮเปอร์ ไม่ฟังอะไรเลย และดูเปลี่ยนเป็นคนอีกคน ซึ่งเราก็รู้นะคะรู้สึกว่าเราไม่ใช่ตัวเองกลับบ้านมานั่งเฟล และเสียใจทุกวัน แต่ก็คิดในแง่ดีว่าก็คงเป็นปกติของการปรับตัว จนกระทั่งความรู้สึกเหล่านั้นสะสมมาเรื่อยๆ เราไม่สามารถควบคุมความคิดของเราได้อีกเหมือนเดิม เราเริ่มซึมและเริ่มมีปัญหากับที่ครอบครัว คนรอบข้าง รวมถึงเพื่อน เราก้าวที่จะไปหาหมอก่อนโดยที่ไม่บอกที่บ้านแต่เงินเราดันไม่พอค่ารักษาที่บ้านก็ต้องรับรู้อยู่ดี5555

เราพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับมหาลัยจนลืมไปว่าเรายังเป็นเราและลืมความรู้สึกในการเป็นเรา เราเป็นหนักขนาดที่กลับบ้านมาแล้วสติแตกใส่พ่อ ร้องไห้พูดจาไม่รู้เรื่อง ไม่กินอะไร น้ำหนักลดลง4กิโลภายในสองสัปดาห์ ไม่อยากคุยกับใคร หมกตัวคนเดียวในนห้อง ไปเรียนสายเพราะทำใจยากมากที่จะไปเรียน เราเริ่มสั่นเวลาที่จะต้องเจอคนเยอะๆ มันยากที่จะทำใจว่าเรากำลังหวาดกลัว

เรารู้สึกทนไม่ไหวที่เราไม่ใช่เรา เราเลยเริ่มที่จะแสดงความเป็นตัวเองออกมาบ้างทีละน้อยไม่อยากฝืนกลายเป็นว่าเราไม่เข้ากับกระแสสังคม ณ ตอนนั้น ทั้งตอนที่เราฝืนว่าเราเป็นคนที่คุยเก่ง และตอนเป็นตัวเอง ทำให้เราถูกมองว่า "เราต่าง" ไม่ว่าเราที่เป็นเรา หรือเราที่ไม่ใช่เรา เขาก็ให้เหตุผลเพียงแค่ว่าเราเข้ากันไม่ได้ เราก็เข้าใจ จากกันไปตามเส้นทาง เราเป็นถ้าสงสัยอะไรเราก็ต้องเค้นหาคำตอบและแก้ไข ตอนเกิดเรื่องเราอาจจะผิดที่ไม่ได้เคลียร์กันโดยตรงเพราะเราไม่มั่นใจ เลยไปถามเพื่อนอีกคนให้แน่ใจ จนแน่ใจแล้วเคลียร์กันตรงๆ ทั้งผ่านตัวกลาง และไม่ผ่าน ถูกแทงด้านหลังกันเบาๆ เราทั้งขอโทษในสิ่งที่เราผิด และยอมรับในสิ่งที่เราผิด เขาเองก็ยอมรับและขอโทษในสิ่งที่เขาผิดเหมือนกัน แต่เราไม่เจ็บเท่าเรื่องเหมือนจะจบ แต่เรื่องก็ไม่ได้จบง่ายสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้ทำตามคำพูดที่เขาพูดไว้เลย ว่า "จบก็คือจบ"

เราเริ่มถูกแกล้งกันทางสายตา ทุกที่มีคนจับจ้องแล้วคอยซุบซิบตลอดเวลา ไม่ว่าคนนั้นจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ทุกคนตอนนี้ตัดสินเราผ่านการฟังมากกว่าการสัมผัสและพบเจอ สถานการณ์ที่บังคับเพราะเรายังต้องทำงานกับคนหมู่มาก ทั้งที่สถานการณ์ทางจิตเราแย่จนเราเกือบต้องเข้าแอดมิดเพราะแพ้ยาที่หมอจ่ายมาอย่างรุนแรง เพราะยาที่จ่ายมาตอนแรกไม่สามารถเอาเราอยู่ได้ หมอเลยต้องจ่ายยาที่แรงขึ้น กลายเป็นว่าทุกวันนี้ที่บ้านต้องหวาดระแวงกลัวว่าเราจะเป็นอะไรอีก

แต่เราก็ไม่เคยลืมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายๆกันเพียงแค่เราไม่ได้เป็นในแบบที่สังคมต้องการและถูกสังคมกระทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสถานการณ์ตอนม.ต้นของเราสักเท่าไหร่ เปลี่ยนแค่ว่าตอนนั้นเรามีเพื่อนสนิทเคียงข้าง แต่ตอนนี้เรามีเขาอยู่ไกลๆ เรามีโรคทางจิตที่ต้องรักษา แต่ตอนนั้นเราไม่มี มีเพียงแต่ความไร้เดียงสา

เราหยุดเทคยาตั้งแต่เราแพ้ยา เรากลัว กลัวตาย กลัวที่จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบมากกว่าเราอยากหาย มันเป็นปกติที่คนเป็นโรคนี้อยากจะหาย แต่มันก็ยากที่ตอนแรกตัวพึ่งพาของเราเป็นยา แต่ยากลับทำร้ายเรา เรารู้สึกว่ายาไม่ใช่ที่พึ่งของเราอีกต่อไป ซึ่งหมอเองก็บอกเองอยู่แล้วว่า ไม่ค่อยอยากให้เราพึ่งยาสักเท่าไหร่นัก ที่บ้านก็ยังไม่ค่อยอยากให้เราหยุดเทคเท่าไหร่ เพราะอาการเราก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ตอนนี้เรากำลังรอปรึกษาหมออีกรอบในเร็วนี้ค่ะ ไว้มาอัพเดทสถานการณ์อีกรอบอมยิ้ม02

หรือทุกคนมีอะไรแนะนำเรามั้ยคะ ช่วยกันแชร์ประสบการณ์หรือปัญหาหรือวิธีการแก้ไข
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่